The Axeman of New Orleans ฆาตกรต่อเนื่องผู้หลงรักเพลงแจ๊ส เติมค่ำคืนสุดหลอนด้วยเสียงดนตรี

by McKee
49 views
The Axeman of New Orleans jazz Joseph John Davilla

ในปี 1918 เมืองนิวออร์ลีนส์เริ่มถูกปกคลุมด้วยความหวาดกลัว เมื่อมีข่าวลือแพร่สะพัดถึงฆาตกรลึกลับ The Axeman of New Orleans ที่ออกอาละวาดในยามค่ำคืน เกิดเหตุทำร้ายร่างกายอย่างโหดเหี้ยมหลายครั้ง ซึ่งสร้างความตื่นตระหนกให้กับชาวเมืองไปถึงขั้วหัวใจ วิธีการของคนร้ายมีรูปแบบชวนผวา ทั้งการแอบย่องเข้าไปในยามวิกาล แล้วใช้ขวานทำร้ายเหยื่ออย่างไร้ความปรานี โดยไม่มีร่องรอยของการลักทรัพย์ เงินสดและของมีค่าถูกทิ้งไว้โดยไม่แตะต้อง

เหยื่อส่วนใหญ่เป็นชาวอิตาเลียน-อเมริกันที่ทำร้านขายของชำ จนสื่อบางแห่งพาดหัวโยงไปถึงมาเฟีย แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันใด ๆ ว่าเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมดังกล่าว ผู้คนต่างตั้งข้อสงสัยกันอย่างบ้าคลั่ง หรือว่าเขาคือฆาตกรโรคจิตแบบ Jack the Ripper ที่ใช้ชีวิตสองด้าน หรือกระทั่งเป็นปีศาจเหนือธรรมชาติ ชุมชนชาวอิตาเลียนในเมืองรู้สึกตกเป็นเป้าและหวาดผวาอย่างรุนแรงเมื่อเหตุการณ์นองเลือดเริ่มทวีความรุนแรง

The Axeman of New Orleans jazz Joseph John Davilla
เมืองนิวออร์ลีนส์ ช่วงปี 1918

เหตุฆาตกรรมครั้งแรกที่เชื่อว่าเป็นฝีมือของ “Axeman” ตามชื่อที่สื่อมวลชนตั้งให้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 1918 โจเซฟ มาจโจ้ เจ้าของร้านขายของชำเชื้อสายซิซิเลียน ถูกพบเป็นศพพร้อมภรรยาในอพาร์ตเมนต์ที่อยู่ด้านหลังร้าน โดยผู้ร้ายได้งัดประตูห้องครัวเข้าไปแล้วใช้ขวานของครอบครัวเป็นอาวุธในการสังหาร ก่อนจะพบขวานเปื้อนเลือดในอ่างอาบน้ำเป็นหลักฐานถึงความโหดเหี้ยมเกินมนุษย์

ในเดือนต่อมา การโจมตีอันน่าพิศวงยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง เดือนมิถุนายน 1918 หลุยส์ เบซูเมอร์ เจ้าของร้านขายของชำ และแฮเรียต โลเว่ คนรักของเขา ถูกฟันด้วยขวานในร้านหลังบ้าน เดือนสิงหาคม 1918 แมรี หรืออันนา ชไนเดอร์ แม่ลูกสามที่กำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่สี่ ถูกทำร้ายขณะนอนหลับ และ โจเซฟ โรมาโน ชาวอิตาเลียน-อเมริกันอีกราย ซึ่งเป็นช่างตัดผมสูงวัย ถูกผู้บุกรุกใช้ขวานทำร้ายจนเสียชีวิตในบ้านที่เขาอาศัยอยู่กับหลานสาว มีพยานเห็นชายร่างใหญ่แต่งชุดดำหลบหนีออกจากที่เกิดเหตุ ตำรวจพบขวานเปื้อนเลือดถูกทิ้งไว้ที่จุดเกิดเหตุ พร้อมร่องรอยการงัดแผ่นไม้ที่ประตูหลัง ซึ่งล้วนเป็นลายเซ็นอันน่าขนลุกของ Axeman ตัวจริง

การเสียชีวิตอย่างโหดเหี้ยมของโรมาโนทำให้นิวออร์ลีนส์เข้าสู่ภาวะตื่นตระหนก ตลอดช่วงปลายเดือนสิงหาคม 1918 หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น The Times-Picayune รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับ “Axeman” และความล้มเหลวของการไล่ล่าคนร้ายอย่างต่อเนื่อง ประชาชนพากันเฝ้ายามหน้าบ้านในยามค่ำคืน ขณะที่ตำรวจได้รับแจ้งเบาะแสและทฤษฎีประหลาดนับไม่ถ้วน

พาดหัวข่าวหนึ่งในเดือนสิงหาคมสะท้อนความสิ้นหวังของเจ้าหน้าที่ได้อย่างชัดเจนว่า “ยังตามล่า Axeman: ตำรวจเชื่อว่าเขาแฝงตัวอยู่ในละแวกจุดเกิดเหตุของโรมาโน” โดยระบุว่า ความพยายามของตำรวจในการจับกุมฆาตกรเจ้าเล่ห์รายนี้…ยังไร้ผล ทั้งตำรวจ นักสืบ และพลเรือนติดอาวุธช่วยกันปูพรมค้นหา แต่ไร้ร่องรอยของคนร้าย

ความเงียบงันได้ปกคลุมเมือง ก่อนที่ฝันร้ายจะกลับมาอีกครั้งในต้นปี 1919 ย่ำรุ่งของวันที่ 10 มีนาคม ชาวบ้านในย่านเกร็ตนาได้ยินเสียงกรีดร้องแผดดังมาจากบ้านของชาร์ลส์และโรซี่ คอร์ทิมิกลียา ครอบครัวชาวอิตาเลียนเจ้าของร้านขายของชำอีกเช่นเคย ซึ่งถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเพราะผู้เสียชีวิตคือลูกสาวตัวน้อยของครอบครัวนี้ มันยิ่งสร้างความตื่นตระหนกให้กับเมืองขึ้นไปอีก

ภาพร่างจุดเกิดเหตุของ Axeman

แต่ก่อนจะไปไกลกว่านี้ เราต้องเท้าความถึงความรุ่งเรืองของดนตรีแจ๊สในยุคนั้นก่อน

นิวออร์ลีนส์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 คือเมืองที่ไม่เหมือนใครในอเมริกา เมืองท่าร้อนชื้นที่เปี่ยมด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรมและภาษาพูด ผู้คนรู้จักเมืองรูปเสี้ยวพระจันทร์แห่งนี้ในฐานะแหล่งรวมความครึกครื้นและเสียงดนตรี ที่นี่เองคือแหล่งกำเนิดของเสียงดนตรีแนวใหม่ในทศวรรษ 1900 เรียกกันว่า “แจ๊ส”

นี่คือยุคที่ ราชาแห่งคอร์เน็ต บัดดี้ โบลเดน เริ่มบุกเบิกจังหวะทองเหลืองอย่างเร้าใจในแดนซ์ฮอลล์ย่านอัพทาวน์ราวปี 1906 และเมื่อศิลปินอย่างเจลลี่ โรล มอร์ตัน และคิง โอลิเวอร์ ผสมผสาน ragtime blues และขบวนวงโยธวาทิตเข้าด้วยกัน ก็กลายเป็นดนตรีที่ต่อมาจะเรียกว่าแจ๊สดั้งเดิม

ภายในทศวรรษ 1910 แจ๊ส (ซึ่งมักสะกดว่า “jass” ในสมัยนั้น) กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วจากตรอกเล็ก ๆ ในนิวออร์ลีนส์สู่ถนนเส้นหลัก ในเมืองแห่งความหลากหลายที่มีทั้งชาวแอฟริกัน-อเมริกัน เครโอล เคจัน แคริบเบียน อิตาเลียน และอีกมากมาย ดนตรีจึงกลายเป็นภาษากลางที่ทุกคนเข้าใจ บาร์ในชุมชน งานปาร์ตี้ตามบ้าน ไปจนถึงขบวนพาเหรดริมถนน ต่างเปี่ยมด้วยจังหวะ syncopate สุดเร้าใจ

หนุ่มสาวยุคนั้นต่างโอบรับดนตรีแจ๊สในฐานะเสียงของเจเนอเรชันใหม่ที่พร้อมเฉลิมฉลองเสรีภาพหลังความโหดร้ายของสงครามโลกครั้งที่ 1 ดังที่นักประวัติศาสตร์คนหนึ่งกล่าวไว้ว่า ภายในสิ้นทศวรรษ 1910 แจ๊สกลายเป็นกระแสนิยมอย่างแท้จริง ซึ่งนำพาไม่เพียงแค่ดนตรีใหม่ ๆ แต่ยังพาเอาวิถีชีวิตแบบใหม่มาสู่เยาวชนอเมริกันด้วย

แต่แน่นอนว่า ไม่ใช่ทุกคนในนิวออร์ลีนส์ (หรืออเมริกา) ที่ต้อนรับแจ๊สด้วยความยินดี สำหรับผู้ฟังหัวอนุรักษนิยม ดนตรีแนวนี้คือเสียงอึกทึก ล่อแหลม หรือแม้กระทั่งฟังดูชั่วร้าย ผู้นำศาสนาและนักวิจารณ์สายอนุรักษนิยมโจมตีจังหวะอันหยาบโลนและท่าเต้นยั่วยวนที่แจ๊สนำมาด้วย

กระทั่งแจ๊สได้รับฉายาว่า “ดนตรีของปีศาจ” ในบางวงการ ภายในต้นทศวรรษ 1920 ศีลธรรมจารีตถึงกับประณามดนตรีนี้ว่าเป็น “เสียงของอสูรกาย ปีศาจ และสิ่งชั่วร้ายในยามค่ำคืน” พร้อมโยนความผิดให้มันในเรื่องต่างๆ ตั้งแต่ความวิกลจริต ความเสื่อมทราม ไปจนถึงโรคติดต่อ

ทั่วทั้งสหรัฐฯ นักบวชและนักการเมืองต่างประณามแจ๊สว่าเป็นภัยคุกคามร้ายแรง โดยเชื่อมโยงจังหวะอันปั่นป่วนเข้ากับสิ่งป่าเถื่อนและปีศาจ ความเป็นปฏิปักษ์เช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่หลุดพ้นจากนิวออร์ลีนส์ เพราะเพียงหนึ่งปีก่อนที่เหตุการณ์ฆาตกรรม Axeman จะเริ่มต้น กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้สั่งปิดย่านโสเภณีชื่อดังอย่างสตอรีวิลล์ เพื่อกวาดล้างเมืองก่อนที่ทหารจะออกไปรบ

สตอรีวิลล์คือแหล่งเพาะบ่มเพาะดนตรีแจ๊สอย่างแท้จริง ทั้งบาร์และซ่องในย่านนั้นได้หล่อเลี้ยงศิลปินแจ๊สรุ่นแรก ๆ มากมาย เมื่อถูกปิดตัวในปี 1917 นักดนตรีนับร้อยต้องกระจัดกระจาย บ้างเดินทางไปชิคาโกหรือรับงานตามเรือ บ้างยังอยู่และนำแจ๊สเข้าไปในพื้นที่ใหม่ เช่น บาร์ย่านชุมชน ปาร์ตี้ส่วนตัว หรือการแสดงในเต็นท์

ในทางกลับกัน ขณะที่ทางการพยายามดับไฟแห่งอบายมุขและดนตรีของปีศาจ กระแสความนิยมของแจ๊สกลับทวีขึ้นเรื่อย ๆ ปี 1917 เป็นปีที่แผ่นเสียงแจ๊สแผ่นแรก Livery Stable Blues บันทึกเสียงโดยกลุ่มนักดนตรีจากนิวออร์ลีนส์ชื่อ Original Dixieland Jass Band และสร้างปรากฏการณ์ยอดขายทะลุล้านแผ่น แจ๊สไม่ได้เป็นเพียงความคลั่งไคล้ท้องถิ่นอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นดนตรีประจำชาติอเมริกันในศตวรรษที่ 20 อย่างชัดเจน

ดังนั้น ในปี 1918–1919 นิวออร์ลีนส์จึงเป็นเมืองที่มีแจ๊สอยู่ในสายเลือด วงทองเหลืองยังคงบรรเลงในขบวนแห่ศพ นักเปียโนมือฉมังเคาะแร็กไทม์ในผับท้องถิ่น และวงแจ๊สหน้าใหม่ก็สามารถดึงดูดผู้ชมหลากหลายเชื้อชาติให้มาร่วมเต้นรำในแดนซ์ฮอลล์ แม้กฎหมายยังแบ่งแยกสีผิว แต่ดนตรีกลับเชื่อมโยงทุกคนเข้ากัน คนหนุ่มสาวในนิวออร์ลีนส์ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติหรือชาติพันธุ์ใด ต่างหลงใหลพลังแห่งแจ๊ส ขณะที่คนรุ่นก่อนบางส่วนกลับหวาดหวั่นต่ออิทธิพลของมัน

ความแตกแยกทางวัฒนธรรมนี้กลายเป็นฉากหลังของเหตุการณ์เหนือจินจนาการ เมื่อความสยองของ Axeman บรรจบเข้ากับจิตวิญญาณดนตรีของเมือง ไม่มีใครคาดคิดว่าฆาตกรต่อเนื่องจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ดนตรีแจ๊สนิวออร์ลีนส์

วันที่ 16 มีนาคม 1919 ชาวนิวออร์ลีนส์เปิดหนังสือพิมพ์วันอาทิตย์แล้วต้องผงะ เมื่อพบจดหมายฉบับหนึ่งที่กลายเป็นตำนานในเวลาต่อมา จดหมายนั้นส่งถึงบรรณาธิการ The Times-Picayune กล่าวอ้างว่าเป็นข้อความจากฆาตกรตัวจริงที่สร้างความหวาดผวาให้ทั้งเมือง

Hell, March 13, 1919

Esteemed Mortal:

They have never caught me and they never will. They have never seen me, for I am invisible, even as the ether that surrounds your earth. I am not a human being, but a spirit and a demon from the hottest hell. I am what you Orleanians and your foolish police call the Axeman.

When I see fit, I shall come and claim other victims. I alone know whom they shall be. I shall leave no clue except my bloody axe, besmeared with blood and brains of he whom I have sent below to keep me company.

If you wish you may tell the police to be careful not to rile me. Of course, I am a reasonable spirit. I take no offense at the way they have conducted their investigations in the past. In fact, they have been so utterly stupid as to not only amuse me, but His Satanic Majesty, Francis Josef, etc. But tell them to beware. Let them not try to discover what I am, for it were better that they were never born than to incur the wrath of the Axeman. I don’t think there is any need of such a warning, for I feel sure the police will always dodge me, as they have in the past. They are wise and know how to keep away from all harm.

Undoubtedly, you Orleanians think of me as a most horrible murderer, which I am, but I could be much worse if I wanted to. If I wished, I could pay a visit to your city every night. At will I could slay thousands of your best citizens, for I am in close relationship with the Angel of Death.

Now, to be exact, at 12:15 (earthly time) on next Tuesday night, I am going to pass over New Orleans. In my infinite mercy, I am going to make a little proposition to you people. Here it is: I am very fond of jazz music, and I swear by all the devils in the nether regions that every person shall be spared in whose home a jazz band is in full swing at the time I have just mentioned. If everyone has a jazz band going, well, then, so much the better for you people. One thing is certain and that is that some of your people who do not jazz it out on that specific Tuesday night (if there be any) will get the axe. 

Well, as I am cold and crave the warmth of my native Tartarus, and it is about time I leave your earthly home, I will cease my discourse. Hoping that thou wilt publish this, that it may go well with thee, I have been, am and will be the worst spirit that ever existed either in fact or realm of fantasy.

-The Axeman

เปิดหัวด้วยถ้อยคำที่ทั้งเยือกเย็นและชวนขนลุก “มนุษย์ผู้ทรงเกียรติ: พวกเขาไม่เคยจับฉันได้ และไม่มีวันจะทำได้ พวกเขาไม่เคยเห็นฉัน เพราะฉันล่องหน ดั่งอีเธอร์ที่ปกคลุมโลกของเจ้า ข้าหาใช่มนุษย์ไม่ แต่เป็นวิญญาณและปีศาจชั่วร้ายจากนรกโลกันต์ ข้าคือสิ่งที่พวกเจ้าในนิวออร์ลีนส์และตำรวจโง่เขลาเรียกว่า Axeman”

แต่จุดพลิกผันที่ทำให้จดหมายฉบับนี้ฝังแน่นในความทรงจำของเมือง คือข้อเสนออันแปลกประหลาดจากปีศาจตนนี้ ที่ขอให้ชาวเมืองเล่นดนตรีแจ๊สเพื่อเอาชีวิตรอด “ขอระบุให้ชัดเจนว่า เวลา 00:15 (เวลาบนโลกมนุษย์) คืนวันอังคารที่จะถึงนี้ ข้าจะลอยผ่านนิวออร์ลีนส์ ด้วยความเมตตาอันหาที่เปรียบมิได้ ข้าจึงมีข้อเสนอเล็ก ๆ มามอบให้พวกเจ้า ข้ารักดนตรีแจ๊สมาก และข้าขอสาบานต่อเหล่าปีศาจแห่งแดนล่างว่า ทุกผู้คนที่มีวงแจ๊สบรรเลงอยู่ในบ้านในเวลาที่ข้ากล่าวถึง จะได้รับการละเว้น แต่ขอให้แน่ใจไว้เถิดว่า ใครก็ตามที่ไม่ ‘แจ๊ส’ ในคืนวันอังคารนั้น… จะได้พบกับขวานของข้า”

สรุปง่าย ๆ คือ หากชาวเมืองอยากรอดพ้นจากการเป็นเหยื่อรายต่อไป ก็ต้องเล่นดนตรีแจ๊สในคืนที่ถูกลั่นวาจาไว้ จดหมายจบลงด้วยลีลาชวนสะพรึง พร้อมลงลายเซ็นไว้ว่า The Axeman

เมืองทั้งเมืองถึงกับตกตะลึง ข้อความข่มขู่ในแบบที่หลุดมาจากนิยายสยองขวัญราคาถูก ชายผู้ประกาศตนว่าเป็นปีศาจจากนรก กลับเรียกร้องให้ทั้งเมืองบรรเลงดนตรีแจ๊สราวกับงานฉลองกลางคืน คำขอเหนือจริงนี้จุดประกายจินตนาการของสาธารณชนทันที แม้หลายคนจะเชื่อว่าเป็นเพียงเรื่องล้อเล่นไร้รสนิยม แต่หลายคนก็ไม่กล้าเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยง เพราะจดหมายฉบับนี้ถูกเผยแพร่หลังเหตุการณ์สลดของเด็กสาวตระกูลคอร์ทิมิกลียาเพียงไม่กี่วัน ในโมงยามที่ความตึงเครียดในเมืองยังคุกรุ่น

การข่มขู่นี้เท่ากับเป็นคำสั่งให้ทั้งเมืองจัดปาร์ตี้แจ๊สครั้งใหญ่ หากอยากอยู่รอด เมื่อคืนวันอังคารที่ 18 มีนาคม 1919 ใกล้เข้ามา ชาวเมืองต่างเตรียมตัวกันอย่างขะมักเขม้น หากเสียงแจ๊สสามารถขับไล่ปีศาจนามว่า Axeman ได้จริง ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่เปิดมันให้ดังกระหึ่ม ทุกที่ ทุกหลังคาเรือน

เมื่อคืนวันอังคารนั้นมาถึง เมืองนิวออร์ลีนส์ก็ระเบิดเป็นมหกรรมแห่งเสียงดนตรีอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเมื่อเข็มนาฬิกาชี้เวลา 00:15 น. ตามเวลาที่ Axeman ได้ลั่นวาจาไว้ เสียงดนตรีแจ๊สก็ดังแว่วไปทั่วเมืองราวกับมนต์สะกดในความมืด The Times-Picayune รายงานต่อมาว่า “เสียงเพลงแจ๊สดังแว่วออกมาจากบ้านหลายสิบหลังในนิวออร์ลีนส์ เมื่อเวลา 00:15 น. ของเช้าวันพุธ แสดงให้เห็นว่าชาวเมืองจำนวนมากให้ความสำคัญกับจดหมายจาก Axeman อย่างจริงจัง และยังมีอีกหลายสิบบ้านที่แม้ไม่เชื่อ แต่กลับใช้มันเป็นข้ออ้างจัดงานปาร์ตี้ในบ้าน โดยมีดนตรีแจ๊สเป็นไฮไลต์หลักในค่ำคืนนั้น”

ทั่วทั้งเมือง เครื่องเล่นแผ่นเสียงที่ถูกเร่งเสียงจนสุด ผู้คนเคาะเปียโนเร่งจังหวะ นักดนตรีสมัครเล่นก็หยิบคลาริเน็ต ทรัมเป็ต และทรอมโบนขึ้นมาเป่า ขณะที่แดนซ์ฮอลล์และคาบาเรต์ซึ่งตามปกติอาจมีคนบางตาในคืนวันอังคาร กลับแน่นขนัดจนแทบไม่มีที่ยืน ทุกคลับแจ๊สในเมืองเต็มจนล้น ครอบครัวที่ไม่เคยมีเหตุผลใดจะจ้างวงแจ๊สมาก่อน ก็จัดงานดนตรีสดแบบเฉพาะกิจกันบนเฉลียงหน้าบ้านหรือในห้องรับแขก เมืองที่ขึ้นชื่อว่าพร้อมฉลองในทุกโอกาส ได้เปลี่ยนคืนแห่งความกลัวให้กลายเป็นค่ำคืนของดนตรีและการเฉลิมฉลอง

บันทึกจากพยานในเหตุการณ์และเรื่องเล่าภายหลังต่างบรรยายคืนดังกล่าวว่าเหมือนเทศกาลดนตรี การ์ตูนใน Times-Picayune ฉบับวันที่ 19 มีนาคม 1919 แสดงภาพครอบครัวหนึ่งกำลังเล่นดนตรีทุกชิ้นที่หาได้ ทั้งเปียโน ไวโอลิน และทรอมโบน พลางแอบชะโงกดูนอกหน้าต่างว่าฆาตกรจะมาหรือไม่ คำบรรยายใต้ภาพสะท้อนความรู้สึกผสมผสานของเมืองระหว่างความกลัวกับการประชดประชันว่า “โธ่เอ๊ย เราไม่ได้กลัวหรอก! แค่เล่นกันขำๆ เอง ใช่ไหม อัลมา?”

หนังสือพิมพ์ The West Bank Herald จากอีกฝั่งของรัฐรายงานว่า หลายครอบครัวเชื่อจริง ๆ ว่าวิธีเดียวที่จะช่วยชีวิตตัวเองและลูก ๆ ได้ คือทำตามคำสั่งทางดนตรีของ Axeman หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นถึงกับตำหนิ Times-Picayune ที่ตีพิมพ์จดหมายล้อเล่นที่สร้างความตื่นตระหนกไปหมด แถมเหน็บว่า ถ้าหนังสือพิมพ์ใหญ่เลิกมุ่งเสนอข่าวข่มขู่ของฆาตกรแล้วช่วยตำรวจจับคนร้าย เมืองนี้อาจอยู่ในสภาพที่ดีกว่านี้ก็เป็นได้

หลายคนยังคงสงสัยว่าจดหมายนั้นอาจเป็นเรื่องหลอกลวงตั้งแต่แรก ซึ่งเขียนโดยคนสติไม่ดี หรือแม้กระทั่งนักดนตรีท้องถิ่นที่อยากปลุกกระแสให้แจ๊สคึกคักขึ้นมาสักคืนหนึ่งก็เป็นได้

และดูเหมือนว่าจะไม่มีศิลปินคนใดในนิวออร์ลีนส์คว้าโอกาสจากเหตุการณ์ประหลาดนี้ได้รวดเร็วเท่า Joseph John Davilla นักเปียโนและนักแต่งเพลงท้องถิ่นผู้หนึ่ง ที่ในสัปดาห์เดียวกันนั้นเอง เขาแต่งเพลงใหม่ขึ้นมาทันทีในชื่อ The Mysterious Axman’s Jazz (Don’t Scare Me Papa) ซึ่งเป็นเพลงจังหวะร่าเริงที่ได้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์สยอง ดาวิลลาอ้างในภายหลังว่าเขาแต่งจบเพลงนี้ตอนตีสองของวันที่ 19 มีนาคม 1919 เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเส้นตายของ Axeman ผ่านไปโดยไม่มีใครถูกฆ่า

The Axeman of New Orleans jazz Joseph John Davilla

แผ่นโน้ตเพลงถูกตีพิมพ์และวางขายในเวลาไม่นาน ท่ามกลางกระแสที่กลายเป็นข่าวดังทั่วเมือง หน้าปกโน้ตเพลงยังใช้ภาพการ์ตูนจาก Times-Picayune ที่แสดงครอบครัวหนึ่งกำลังเล่นแจ๊สต้านปีศาจขวาน จนทำให้ชาวเมืองสามารถซื้อ Axman’s Jazz ไปเล่นที่บ้านได้ ราวกับเป็นของที่ระลึกจากคืนที่พวกเขาเต้นรำท่ามกลางความตาย

บางคนแซวแบบทีเล่นทีจริงว่าดาวิลลาอาจจะเป็นผู้ต้องสงสัยตัวจริง เพราะดูเหมือนคำสั่งดนตรีของ Axeman จะสร้างความต้องการมากมายต่อเพลงของเขาได้อย่างบังเอิญเกินไป นักวิเคราะห์อาชญากรรมสมัยใหม่คนหนึ่งถึงกับพูดว่า “ผมพนันเลยว่าเขานั่นแหละทำ”

แต่ความเป็นไปได้ที่แท้จริงคือ จดหมาย Axeman น่าจะมาจากพวกมือบอนหรือคนที่หลงใหลในความตื่นเต้นมากกว่าจะเป็นฆาตกรตัวจริง น้ำเสียงในจดหมายที่เว่อวังดูมีชั้นเชิงเกินกว่าคนที่ออกฆ่าเหยื่อด้วยขวานจะเขียนได้ แต่ไม่ว่าผู้เขียนจดหมายนั้นจะเป็นใคร พวกเขาได้สร้างสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธ ด้วยการเปลี่ยนเมืองที่กำลังจมอยู่ในความหวาดกลัวให้กลายเป็น jam session ย่ามค่ำคืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์

สุดท้ายแล้ว คำประกาศอันแปลกประหลาดของ Axeman กลับกลายเป็นจริง ไม่มีใครในนิวออร์ลีนส์ถูกฆ่าในคืนวันที่ 19 มีนาคม 1919 ขณะที่ดนตรีแจ๊สก้องออกมาจากทุกหน้าต่างทั่วเมือง และเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นในวันถัดมา เมืองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก คืนแห่งแจ๊สจบลงแล้ว และไม่ว่า Axeman จะแค่ขู่ให้กลัวหรือจะพอใจจริง ๆ กับเสียงดนตรีนั้น มันก็ได้ผลอย่างน่าอัศจรรย์

แม้การหวาดกลัวจะยังไม่จางหายโดยสิ้นเชิง แต่ช่วงเวลาแห่งความสยองก็ใกล้ถึงจุดจบ

ในช่วงฤดูร้อนปี 1919 เกิดเหตุจู่โจมประปรายอีกสองสามครั้ง เดือนสิงหาคม สตีฟ โบกา เจ้าของร้านขายของชำโดนฟันด้วยขวาน (แต่รอดชีวิต โดยจำอะไรไม่ได้มากนัก) และในเดือนกันยายน ซาราห์ ลอแมน หญิงสาวคนหนึ่งก็ถูกโจมตีในลักษณะเดียวกันแต่ก็รอดชีวิตเช่นกัน การโจมตีครั้งสุดท้ายที่เชื่อว่าเป็นฝีมือของ Axeman เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 1919 ไมค์ เปปิโทน เจ้าของร้านขายของชำอีกคน ถูกตีที่ศีรษะจนเสียชีวิตขณะนอนหลับข้างภรรยา

การสังหารเปปิโทนทำให้ยอดผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการมีถึงหกราย นับตั้งแต่เหตุการณ์เริ่มต้น และหลังจากนั้นการฆาตกรรมด้วยขวานอันลึกลับก็หยุดลงโดยสิ้นเชิง ราวกับคนร้ายละลายหายไปในอากาศ เขาไม่เคยถูกจับ ไม่เคยมีใครรู้ว่าเขาคือใคร The Axeman of New Orleans กลายเป็นเพียงเงาในตำนาน และยังคงเป็นหนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องที่ลึกลับที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกันจนถึงทุกวันนี้

คำสั่งแปลกประหลาดของ Axeman ที่ให้ผู้คนเล่นเพลงแจ๊สเพื่อความปลอดภัย ในเชิงจิตวิทยา มันอาจเป็นสิ่งที่สาธารณชนที่กำลังตื่นตระหนกต้องการที่สุด อย่างความรู้สึกว่าตนเองยังควบคุมบางสิ่งได้ แทนที่จะต้องหวาดกลัวอย่างหมดหนทางต่อฆาตกรล่องหน

เรื่องราวของ Axeman ยังมีแง่มุมที่น่าสนใจหากมองในบริบทของอัตลักษณ์เมืองนิวออร์ลีนส์ เมืองนี้ถูกมองมายาวนานว่าเป็นสถานที่ซึ่งเฉลิมฉลองให้กับความโศกเศร้า นี่คือเมืองที่ประดิษฐ์งานศพแบบแจ๊สขึ้นมา การเต้นรำและบรรเลงทำนองเร้าใจเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ล่วงลับ ในช่วงปี 1918–1919 นิวออร์ลีนส์ไม่เพียงต้องรับมือกับฆาตกรต่อเนื่อง แต่ยังต้องเผชิญกับช่วงปลายของสงครามโลกครั้งที่ 1 และโรคระบาดไข้หวัดใหญ่สเปนที่คร่าชีวิตผู้คนไปทั่วโลก การตอบสนองต่อภัยคุกคามด้วยเสียงดนตรีจึงสอดคล้องกับจิตวิญญาณของเมืองนี้อย่างที่สุด

กว่าหนึ่งศตวรรษผ่านไปนับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ Axeman เหวี่ยงขวานของเขา แต่ตำนานสยองผสมเสียงแจ๊สของเขายังคงดำรงอยู่ในวัฒนธรรมอเมริกันอย่างไม่มีเสื่อมคลาย สำหรับชาวนิวออร์ลีนส์ Axeman กลายเป็นบุคคลในตำนานพื้นบ้าน ราวกับปีศาจในเรื่องเล่าที่ถูกหยิบยกขึ้นมาในทัวร์ล่าท้าผี และนิทานวันฮาโลวีนทุกครั้งที่พูดถึงคดีฆาตกรรมลึกลับที่สุดของเมือง เรื่องของเขาจุดประกายให้เกิดนิยาย เช่น The Axeman’s Jazz โดย Ray Celestin, บทความอาชญากรรมไม่รู้จบ และแม้แต่ตัวละครในซีรีส์โทรทัศน์ American Horror Story ซึ่ง Axeman ถูกพรรณนาให้เป็นวิญญาณหลงใหลแจ๊สที่สิงสู่อยู่ในย่าน French Quarter

ปัจจุบัน โน้ตเพลง The Mysterious Axman’s Jazz พร้อมภาพการ์ตูนแสบ ๆ แบบยุคเก่า ถูกเก็บรักษาไว้อย่างเป็นทางการใน The Historic New Orleans Collection เป็นวัตถุโบราณที่จับต้องได้ของศิลปะสะท้อนชีวิต (และความตายแค่เอื้อม) โดยเฉพาะช่วงฮาโลวีน นักดนตรีนิวออร์ลีนส์อาจหยิบเพลงของดาวิลลาขึ้นมาเล่น หรือแต่งเพลงใหม่เกี่ยวกับ Axeman เป็นสีสันให้กับผู้ชม ยังมีงาน Axeman Ball และค่ำคืนแจ๊สที่อุทิศให้ตำนานนี้ เปลี่ยนประวัติศาสตร์อันน่าสะพรึงให้กลายเป็นการเฉลิมฉลองอย่างสนุกสนาน ช่างแตกต่างจากความกลัวที่เคยปกคลุมเมืองในครั้งนั้น

นักเขียนนิตยสารคนหนึ่งเคยกล่าวในบทความรำลึกว่า คำขู่ของ Axeman ให้ข้ออ้างที่ยอดเยี่ยมกับผู้คนในการปลดปล่อยตนเอง ไม่ว่าเรื่องราวนี้จะถูกแต่งเติมแค่ไหน ก็ยังคงสะท้อนอะไรบางอย่างที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับนิวออร์ลีนส์ และในภาพรวม ก็คือเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์

เราใช้เรื่องเล่าและบทเพลง เพื่อทำความเข้าใจความกลัวของตนเอง และเมื่อเวลาผ่านไป The Axeman of New Orleans ก็กลายเป็นหนึ่งในเรื่องเหล่านั้น ที่ถูกเล่าซ้ำในหนังสือ เพลง ซีรีส์โทรทัศน์ หรือบนโต๊ะในบาร์ยามค่ำคืน เรื่องที่เตือนว่า ชุมชนสามารถเผชิญหน้ากับสิ่งที่น่าหวาดหวั่นที่สุดได้ด้วยความคิดสร้างสรรค์ ความสามัคคี และแม้กระทั่งเสียงหัวเราะ

+ posts

ชอบไปคอนเสิร์ตเพราะเป็นกิจกรรมที่ทำคนเดียวได้ และยังชอบแนะนำวงดนตรีใหม่ ๆ ผ่านตัวอักษรตลอดเวลา

Related Articles

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy