เกิดอะไรขึ้นกับ Spotify ? เมื่อศิลปินทั่วโลกทยอยถอดเพลงออกจากที่นี่กันหมด

by McKee
12 views
Deerhoof Godspeed You! Black Emperor King Gizzard & the Lizard Wizard spotify Supergoods Xiu Xiu Bandcamp

ปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา วงร็อกจากแคนาดา Godspeed You! Black Emperor ได้ถอนเพลงทั้งหมดออกจากทุกบริการสตรีมมิ่งรายใหญ่ รวมถึง Spotify ด้วย และพวกเขาไม่ใช่ศิลปินคนเดียวที่ทำแบบนี้ ตลอดช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีศิลปินสายร็อกและอินดี้หลายวงตั้งแต่วงทดลองสุดคัลต์อย่าง Deerhoof และ Xiu Xiu ไปจนถึงวงไซคีเดลิกร็อกจากออสเตรเลีย King Gizzard & the Lizard Wizard ต่างทยอยถอดเพลงของตัวเองออกจากสตรีมมิ่งดังกล่าว หรือที่ใกล้ตัวเราสุด ๆ อย่าง Supergoods ที่ประกาศจุดยืนว่าอัลบั้มใหม่ของพวกเขาก็จะไม่ถูกปล่อยบน Spotify เหมือนกัน

ทุกคนต่างร่วมแสดงจุดยืนด้วยการถอนแคตตาล็อกเพลงทั้งหมดออกจากระบบ สำหรับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเพลงที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งมีผู้ใช้งานเกือบ 700 ล้านคน นี่คือช่วงเวลาสำคัญของ Spotify ที่จะต้องทบทวนตัวเองใหม่ คำถามคือ อะไรคือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังการอพยพของศิลปินครั้งนี้ และมันจะส่งผลอย่างไรต่ออนาคตของวงการสตรีมมิ่งเพลง?

กระแสศิลปินถอนเพลงออกจาก Spotify ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในฤดูร้อนปีนี้ เริ่มต้นขึ้นในเดือนมิถุนายน กระแสดังกล่าวลากยาวมาเรื่อย ๆ โดยในเดือนกันยายน ศิลปินอย่าง The Mynabirds, WU LYF, นักร้อง Kadhja Bonet และวง Young Widows ต่างตัดสินใจถอดเพลงของตัวเองออกจาก Spotify เช่นกัน หลายคนประกาศผ่านโซเชียลมีเดียโดยตรง เพื่ออธิบายให้แฟน ๆ ฟังว่าทำไมพวกเขาถึงไม่อยากอยู่บนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกอีกต่อไป ชนวนเหตุสำคัญที่จุดประกายการเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดจากสิ่งที่ดูไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับดนตรีเลย

ในเดือนมิถุนายน มีข่าวว่า Daniel Ek ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Spotify ได้ช่วยระดมทุนกว่า 600 ล้านยูโรให้กับบริษัท Helsing สตาร์ตอัปจากเยอรมนีที่พัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อใช้ในด้านการทหาร โดย Ek ลงทุนในบริษัทนี้มาตั้งแต่ปี 2021 และยังนั่งเก้าอี้ประธานบริษัทอีกด้วย ขณะที่ Helsing เริ่มขยายการผลิตไปถึงโดรนติดอาวุธและอาวุธอัตโนมัติอื่น ๆ

สำหรับศิลปินจำนวนมากนี่คือฟางเส้นสุดท้าย พวกเขาไม่อาจยอมรับได้ว่ารายได้จากการสตรีมเพลงของตนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนอุตสาหกรรมสงคราม “เราไม่ต้องการให้เพลงของเรากลายเป็นเครื่องมือสังหาร หรือให้ความสำเร็จของเราผูกโยงกับเทคโนโลยีสงคราม AI” Deerhoof เขียนไว้ในแถลงการณ์อย่างตรงไปตรงมา ส่วนค่ายอินดี้ Kalahari Oyster Cult ก็ระบุอย่างชัดเจนว่า “เราไม่สามารถสนับสนุนแพลตฟอร์มที่มีผู้นำลงทุนในเครื่องมือแห่งสงคราม การสอดแนม และความรุนแรงได้” ขณะที่ศิลปินชาวออสเตรเลีย David Bridie พูดตรง ๆ ว่า “Spotify เคยเป็นสิ่งที่จำเป็นแม้มันจะเลวร้าย แต่ตอนนี้มันเหลือแค่ความเลวร้ายอย่างเดียวแล้ว”

อย่างไรก็ตาม ความไม่พอใจที่ปะทุขึ้นครั้งนี้ไม่ได้มีแค่เรื่องการลงทุนของซีอีโอเท่านั้น แต่ยังเป็นการระเบิดของความอัดอั้นที่สะสมมานานในหมู่ศิลปิน ทั้งในแง่การของรายได้ จริยธรรมและการผูกขาดของอุตสาหกรรม โดยประเด็นหลัก ๆ ที่ศิลปินออกมาเรียกร้อง ได้แก่

การลงทุนในเทคโนโลยีอาวุธ: ศิลปินจำนวนมากไม่พอใจที่รายได้จากการสตรีมอาจหล่อเลี้ยงผู้บริหารที่ลงทุนในเทคโนโลยีสงคราม AI ศิลปินหลายคนจึงพยายามสร้างแรงสะท้อนกลับไป

ข้อมูลเท็จและจริยธรรมของแพลตฟอร์ม: Spotify เคยถูกวิจารณ์อย่างหนักจากกรณี Joe Rogan นักจัดพอดแคสต์ชื่อดังที่เผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 จนศิลปินระดับตำนานอย่าง Neil Young, Joni Mitchell และ India.Arie ถอนเพลงออกไปในปี 2022 (แม้ภายหลังจะกลับมาเมื่อสัญญาพอดแคสต์สิ้นสุดลง)

เพลงจาก AI และ “ศิลปินผี”: หลายคนกังวลกับการเพิ่มขึ้นของเพลงที่สร้างโดย AI และข่าวลือว่า Spotify ปลอมบัญชีศิลปินผีขึ้นเพื่อเติมเพลงราคาถูกลงในเพลย์ลิสต์ยอดนิยม โดยเฉพาะเพลงที่สามารถตอบโจทย์ให้กับเทรนด์การฟังเพลงได้ เพื่อฟันรายได้จากการสตรีมเข้ากระเป๋าตัวเอง ลดส่วนแบ่งรายได้ให้กับศิลปินจริง “มันทำให้เรารู้สึกเหมือนถูกแทนที่ได้ง่าย ๆ” แร็ปเปอร์ Mykele Deville จากชิคาโกกล่าว

ค่าตอบแทนที่ต่ำและไม่เป็นธรรม: ศิลปินได้รับรายได้เพียงเศษเสี้ยวของเซนต์ต่อการสตรีมหนึ่งครั้ง ทำให้ศิลปินอินดี้ไม่มีทางเลี้ยงตัวเองได้จริง Deville เสริมว่า “สำหรับศิลปินอินดี้ รายได้จาก Spotify แทบไม่มีอยู่จริง เพราะคุณจะได้แค่เศษของเศษเงิน” เขาจึงตัดสินใจถอนอัลบั้มล่าสุดออกจาก Spotify เพื่อหาช่องทางที่ให้ค่าตอบแทนยุติธรรมกว่า

การผูกขาดและการใช้ข้อมูล: ปัญหาที่ใหญ่กว่าทั้งหมดคืออิทธิพลมหาศาลของ Spotify ที่ทำให้ศิลปินรู้สึกว่าไม่มีทางเลือกอื่น และถูกระบบอัลกอริทึมควบคุมพฤติกรรมผู้ฟังให้เสพเพลงแบบเฉื่อยชา ซึ่งทำให้ดนตรีกลายเป็นเพียงเสียงประกอบหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่การฟังเพื่อความสนุกอีกต่อไป แม้ Spotify จะปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ แต่ความรู้สึกต่อต้านก็ยังขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ

ความขัดแย้งระหว่างศิลปินกับ Spotify ไม่ใช่เรื่องใหม่ ตั้งแต่ยุคที่การสตรีมเริ่มเข้ามาแทนดาวน์โหลดและซีดี ศิลปินก็มีปัญหากับโมเดลธุรกิจของแพลตฟอร์มนี้อยู่เรื่อย ๆ ย้อนกลับไปในปี 2013 Thom Yorke ฟรอนต์แมนแห่ง Radiohead เคยถอนอัลบั้มเดี่ยวทั้งหมดออกจาก Spotify เพื่อประท้วงเรื่องค่าลิขสิทธิ์อันน้อยนิด พร้อมทิ้งคำพูดแรง ๆ ว่า “the last desperate fart of a dying corpse” (กลิ่นตดสุดท้ายของซากศพที่กำลังเน่าหนอน)

ต่อมาในปี 2014 ซูเปอร์สตาร์ป็อปอย่าง Taylor Swift ก็กลายเป็นข่าวใหญ่เมื่อเธอถอดเพลงออกทั้งหมด พร้อมเขียนบทความแสดงความคิดเห็นว่า “ดนตรีไม่ควรเป็นของฟรี” และการสตรีมทำให้คุณค่าของงานศิลปะลดลง (Swift กลับมาในปี 2017 หลังยอดรายได้รวมจากการสตรีมในอุตสาหกรรมเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ)

เหตุการณ์ที่ถือว่าเดือดที่สุดเกิดขึ้นในต้นปี 2022 เมื่อ Neil Young ออกมาท้าทายให้ Spotify เลือกระหว่างเพลงของเขา หรือพอดแคสต์ของ Joe Rogan” โดย Young กล่าวหา Rogan (ที่มีสัญญาฉบับพิเศษกับ Spotify มูลค่า 100 ล้านดอลลาร์) ว่าเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 สุดท้าย Spotify เลือกจะปกป้องนักจัดพอดแคสต์คนนี้ ส่งผลให้ Young ถอนเพลงทั้งหมดออกจากแพลตฟอร์ม พร้อมมีศิลปินอย่าง Joni Mitchell และ Graham Nash ร่วมด้วย

การประท้วงได้รับเสียงสนับสนุนจากบุคลากรสาธารณสุขทั่วโลก รวมถึงองค์การอนามัยโลกด้วย แต่ Spotify ก็ยังไม่ยอมอ่อนข้อ สุดท้าย Young และ Mitchell กลับมาในปี 2024 หลังรายการของ Rogan ถูกปล่อยให้ฟังบนแพลตฟอร์มอื่น เป็นการยอมรับโดยปริยายว่าการไม่อยู่บน Spotify หมายถึงการถูกตัดขาดจากผู้ฟังนับล้าน ซึ่ง Young เองก็ชี้ว่านี่คือหลักฐานของอำนาจเบ็ดเสร็จที่แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งมีเหนือวงการดนตรีในปัจจุบัน

สิ่งที่ทำให้การถอนตัวรอบนี้แตกต่างคือหัวใจของการเคลื่อนไหว นี่ไม่ใช่แค่การประท้วงของซูเปอร์สตาร์คนเดียว แต่คือการรวมพลังของศิลปินอินดี้และอัลเทอร์เนทีฟทั่วโลก เป็นการลุกขึ้นสู้ของชนชั้นกลางแห่งวงการดนตรี วงร็อก วงโฟล์ก และศิลปินทดลองที่ไม่เคยติดชาร์ตเลยซักครั้งแต่มีฐานแฟนเหนียวแน่นทั่วโลก

การคว่ำบาตรครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องของจริยธรรมและศักดิ์ศรีในฐานะศิลปิน Deerhoof เขียนไว้ตรง ๆ ว่า “Spotify กำลังเทตัวเองลงชักโครก” และเรียกมันว่า “บริษัทหลอกลวงที่ขุดข้อมูลผู้ใช้แล้วแสร้งทำตัวเป็นบริษัทเพลง” ขณะที่ Jamie Stewart แห่ง Xiu Xiu วิจารณ์อย่างเจ็บแสบว่า “คุณภาพเสียงแย่มาก ความรู้สึกว่าดนตรีกลายเป็นของใช้แล้วทิ้งมันแพร่กระจายไปทั่ว และแน่นอน เรื่องรายได้มันก็ตลกร้ายสุด ๆ Spotify ไม่เคยทำอะไรดี ๆ ให้กับวงดนตรีเลย มันทำดีแค่กับตัวเอง”

ศิลปินเหล่านี้เชื่อว่าความสะดวกและขนาดของ Spotify มาพร้อมราคาที่ต้องจ่ายด้วยความเสื่อมของคุณค่าทางดนตรีและปากท้องของคนทำเพลง

ด้าน Spotify เอง พยายามลดความสำคัญของการถอนตัวครั้งนี้ โดยทั้ง Spotify และบริษัท Helsing ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นต่อกระแสประท้วงดังกล่าว อย่างไรก็ตาม Spotify ได้ออกมาปกป้องตัวเองด้วยการอ้างถึงบทบาทในอุตสาหกรรมและจำนวนเงินที่จ่ายให้ศิลปิน “แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งรายใหญ่ทั้งหมดใช้โมเดลรายได้แบบเดียวกัน และเราคือรายที่จ่ายมากที่สุด” โฆษกของ Spotify ให้สัมภาษณ์กับ NPR พร้อมระบุว่าในปี 2024 บริษัทจ่ายเงินกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ให้กับเจ้าของลิขสิทธิ์เพลงทั่วโลก ซึ่งมากกว่าคู่แข่งรายใด

นอกจากนี้ Spotify ยังชี้ว่า จำนวนศิลปินที่สามารถทำรายได้หลักพันถึงหลักแสนดอลลาร์ต่อปีจากแพลตฟอร์มเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่านับตั้งแต่ปี 2017 อีกทั้งยังเพิ่งประกาศมาตรการใหม่เพื่อจัดการกับสแปม การสวมสิทธิ์และการหลอกลวงของคอนเทนต์เพลงที่สร้างโดย AI เพื่อตอบสนองต่อคำวิจารณ์จากวงการศิลปินด้วย แม้ Spotify จะยอมรับว่าแพลตฟอร์มขนาดเล็กบางแห่งอาจจ่ายค่าลิขสิทธิ์ต่อสตรีมสูงกว่า แต่บริษัทให้เหตุผลว่านั่นเป็นเพราะมีผู้ฟังน้อยกว่า ซึ่งเมื่อเทียบในภาพรวมแล้ว ขนาดของ Spotify ทำให้ศิลปินจำนวนมากได้รับรายได้รวมมากกว่าอยู่ดี

แต่เหตุผลเหล่านั้นกลับไม่ทำให้ศิลปินหรือค่ายอินดี้รู้สึกคล้อยตาม หลายค่ายออกมาสนับสนุนศิลปินที่ตัดสินใจถอนเพลงออกจากระบบ Joyful Noise Recordings ค่ายของ Deerhoof ออกแถลงการณ์สนับสนุนการตัดสินใจที่ยากลำบากของวง พร้อมเชิญชวนให้แฟนเพลงสนับสนุนศิลปินโดยตรงเพื่อให้พวกเขาสามารถอยู่รอดได้

“นับตั้งแต่ยุคสตรีมมิ่งเริ่มต้น ศิลปินและค่ายอินดี้ถูกบังคับให้เข้าร่วมระบบนี้เพื่อความอยู่รอด แม้ว่าจะต้องร่วมมือกับองค์กรที่ขัดกับคุณค่าของเราเอง” Joyful Noise เขียนอย่างตรงไปตรงมา

ในอีกด้าน กลุ่มศิลปินอิสระและศิลปินโลคัลเริ่มรวมตัวกันเพื่อขยายเสียงประท้วงในชิคาโก ศิลปินกว่า 80 คนเพิ่งลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกประกาศถอนเพลงออกจาก Spotify โดยให้เหตุผลตั้งแต่เรื่องค่าตอบแทนไม่เป็นธรรมไปจนถึงการเพิ่มขึ้นของเพลงที่สร้างโดย AI โดยไม่ระบุข้อมูลผู้สร้าง

ผู้จัดการแคมเปญ Sam Cantor และ Austin Koenigstein ตั้งเป้าที่จะลดความน่าเชื่อถือของ Spotify และชวนผู้ฟังให้หันไปใช้บริการอื่น โดยเชื่อว่าถ้าศิลปินรวมตัวกันมากพอก็จะเสียงดังเทียบเท่ากับศิลปินดัง โดยระบุว่าจำนวนผู้ร่วมลงชื่อเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวภายในไม่กี่วัน ขณะที่ Mykele Deville ซึ่งถอดอัลบั้มล่าสุดออกจาก Spotify ไปก่อนหน้านี้แล้ว ก็ร่วมลงชื่อด้วย เขากล่าวว่า “ผมตัดสินใจจะให้แฟน ๆ รู้จักหาผลงานของผมในที่ที่ผมได้รับค่าตอบแทนอย่างเป็นธรรม” พร้อมวิจารณ์ Spotify ว่าจ่ายรายได้ให้ศิลปินอินดี้เหมือนกระดาษเปล่าสำหรับเขา การร่วมลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกนี้คือการทวงคืนอำนาจและศักดิ์ศรีของศิลปินในยุคที่อุตสาหกรรมดนตรีถูกแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งครอบงำ

แน่นอน ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถละทิ้งแพลตฟอร์มที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ แม้แต่ศิลปินที่ร่วมประท้วงบางคนก็ยอมรับว่าการตัดสินใจนี้ต้องแลกด้วยรายได้ Jamie Stewart แห่ง Xiu Xiu ยอมรับว่า Spotify เป็นแหล่งรายได้ดิจิทัลหลักของวง การเดินออกย่อมกระทบทางการเงินในระยะสั้น “มันคงไม่ส่งผลอะไรกับ Spotify หรอก” เขากล่าว “แต่มันคือวิธีเล็ก ๆ ในการลุกขึ้นต่อต้านสิ่งที่บริษัทเทคโนโลยีเป็นอยู่ทุกวันนี้” สำหรับศิลปินเหล่านี้ การยืนหยัดในหลักการคือคุณค่าที่ไม่อาจวัดเป็นตัวเงินได้

แวดวงดนตรีกำลังหันกลับมาสำรวจเส้นทางใหม่ในการเชื่อมโยงกับแฟนเพลงและสร้างรายได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบสตรีมมิงเหมือนเดิม ศิลปินอย่าง Kadhja Bonet จากลอสแอนเจลิสตัดสินใจถอนผลงานทั้งหมดออกจากทุกแพลตฟอร์มสตรีมมิงหลัก หลังเจรจาออกจากสัญญากับค่าย เธอประกาศว่าอีพีใหม่จะไม่ลงใน Spotify, Apple Music, Amazon หรือแม้แต่ YouTube โดยให้เหตุผลว่าทำไมเราต้องมอบอำนาจให้บริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ด้วยการส่งต่อไอเดียที่ดีที่สุดของเราไปให้พวกเขา พร้อมชวนแฟนเพลงไปสนับสนุนเธอบนแพลตฟอร์มอย่าง Bandcamp และ Qobuz ซึ่งให้รายได้ที่เป็นธรรมและมีคุณภาพเสียงที่ดีกว่า

ขณะเดียวกันวงอินดี้ร็อกอย่าง Hotline TNT ก็เลือกเส้นทางเดียวกัน หลังถอนตัวจาก Spotify พวกเขาไลฟ์ 24 ชั่วโมงผ่าน Twitch, YouTube และ Instagram เพื่อโปรโมตอัลบั้ม Raspberry Moon และชวนแฟนเพลงซื้ออัลบั้มนี้ผ่านวงตรง ๆ ทำให้พวกเขาขายอัลบั้มได้กว่า 300 แผ่นในวันเดียวบน Bandcamp ซึ่งเป็นรายได้ที่มากกว่าที่เคยได้จากการสตรีมหลายเดือน และยอดขายแผ่นเสียงก็พุ่งขึ้นสามเท่าระหว่างทัวร์ “ผมอยากเห็นพฤติกรรมผู้บริโภคกลับมาซื้อและเป็นเจ้าของมากกว่าการ ‘เช่าฟัง’ แบบทุกวันนี้ และไม่มีใครมาถอดเพลงออกจากชั้นวางได้เหมือนที่ Spotify ทำกับเรา”

แนวทางแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร นักร้องโฟล์กป็อป Caroline Rose เคยทดลองออกอัลบั้ม The Year of the Slug แบบเอ็กซ์คลูซีฟบน Bandcamp และแผ่นไวนิลจำนวนจำกัดโดยไม่ลงสตรีม ผลลัพธ์คือเธอทำรายได้ได้สูงที่สุดในอาชีพของเธอ เพราะเธอขายเองและถือสิทธิ์ทั้งหมดเอง Rose กล่าวว่านี่เป็นประสบการณ์ที่เติมเต็มไฟในตัวของเธอ ทั้งการได้กลับมาสื่อสารกับแฟนเพลงโดยตรงและโฟกัสที่คุณภาพของเพลงของตัวเอง มากกว่าทุกอย่างที่วัดเป็นตัวเลขได้

แต่เธอก็ยอมรับว่านี่ไม่ใช่ทางเลือกสำหรับทุกคน เพราะการไม่อยู่บนแพลตฟอร์มสตรีมมิงทำให้ศิลปินหน้าใหม่เข้าถึงผู้ฟังยากขึ้น การต้องแลกระหว่างอิสรภาพกับการถูกมองเห็นเป็นสิ่งที่แต่ละคนต้องตัดสินใจเองว่าจะเลือกทางไหนดี

อ่านต่อ: 4 วิธี ซัพพอร์ตศิลปิน ให้พวกเขาอยู่รอดในยุคสตรีมมิ่ง

กระแสคว่ำบาตร Spotify ที่กำลังขยายตัวในตอนนี้นำไปสู่คำถามสำคัญว่า การประท้วงของศิลปินเหล่านี้จะเปลี่ยนโฉมหน้าวงการสตรีมมิ่งได้จริงหรือไม่ หรือสุดท้ายจะเป็นเพียงแค่การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น

ในความเป็นจริง ศิลปินที่ถอนตัวออกจาก Spotify ยังเป็นเพียงสัดส่วนเล็กน้อยเมื่อเทียบกับผู้สร้างสรรค์หลายล้านรายบนแพลตฟอร์ม ส่วนใหญ่ยังคงจำกัดอยู่ในกลุ่มศิลปินอินดี้และศิลปินร็อก ขณะที่ศิลปินระดับซูเปอร์สตาร์และค่ายใหญ่ยังไม่ซื้อไอเดียนี้เท่าไหร่ เนื่องจากพวกเขายังได้รับผลตอบแทนคุ้มค่าจากการสตรีม (และค่ายเพลงเองก็มักมีข้อตกลงเบื้องหลังที่ดีกว่า)

ผู้บริหารของ Spotify ยังชี้ว่า ในปี 2024 ศิลปินอิสระรวมกันได้รับรายได้กว่า 5 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็นครึ่งหนึ่งของเงินค่าลิขสิทธิ์ทั้งหมดที่บริษัทจ่ายออกไป ซึ่งแสดงให้เห็นว่า อย่างน้อยรายได้บางส่วนก็ยังไปถึงกระเป๋าของศิลปิน แม้จะเป็นเพียงเศษสตางค์ต่อการฟังหนึ่งครั้งก็ตาม แม้จะมีข้อบกพร่องมากมาย แต่ Spotify ก็ยังคงเป็นแพลตฟอร์มที่ให้พื้นที่และความสะดวกในระดับที่คู่แข่งรายอื่นยากจะเทียบได้

แต่ความไม่พอใจที่สะสมอยู่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลย ทุกครั้งที่วงดนตรีชื่อดังออกมาวิพากษ์ Spotify ต่อสาธารณะ มันค่อย ๆ บั่นทอนภาพลักษณ์ “
home of all music” หรือบ้านของดนตรีทุกแนวที่บริษัทเคยภาคภูมิใจ พร้อมจุดประกายคำถามใหญ่เกี่ยวกับเศรษฐกิจดนตรียุคใหม่ว่าควรดำเนินไปอย่างไร ปัจจุบันการสตรีมครองสัดส่วนกว่า 2 ใน 3 ของรายได้จากดนตรีบันทึกเสียงทั่วโลก ฟื้นคืนชีพอุตสาหกรรมที่เคยอยู่ในภาวะวิกฤตเมื่อสิบปีก่อน

แต่การเติบโตนี้ไม่ได้ทำให้คำถามเรื่องความยุติธรรมและความยั่งยืนถูกแก้ไข ผลสำรวจในปี 2024 พบว่า 69% ของนักดนตรีอาชีพไม่สามารถเลี้ยงชีพได้ด้วยรายได้จากดนตรีเพียงอย่างเดียว ทั้งที่อุตสาหกรรมโดยรวมกลับมีรายได้สูงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ตัวเลขเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำข้อโต้แย้งของศิลปินที่คว่ำบาตรว่า ระบบในปัจจุบันบิดเบี้ยวและไม่เป็นธรรมจริง แม้แต่ Spotify เองก็ยอมรับว่าตลาดเองก็มีการปรับตัวแล้ว มีศิลปินที่ได้รับส่วนแบ่งจากเค้กก้อนนี้มากขึ้น แต่การกระจายรายได้อาจยังคงไม่เท่าเทียมเท่าที่ควร

ทั้งวงการกำลังจับตาดูผลลัพธ์ของการต่อสู้ครั้งนี้ หากการเติบโตของผู้ใช้และกำไรของ Spotify ยังคงไม่สะเทือน บริษัทก็อาจไม่มีแรงกดดันให้ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร แต่ถ้ามีผู้ฟังจำนวนมากเริ่มเดินตามศิลปินที่ชื่นชอบไปยังแพลตฟอร์มอื่น เช่น ซื้อเพลงใน Bandcamp หรือหันไปใช้บริการที่ให้ผลตอบแทนยุติธรรมกว่า นั่นอาจก่อแรงกดดันทางการแข่งขันที่แท้จริง เราเริ่มเห็นความพยายามในบางกลุ่มแล้ว เช่น การเสนอโมเดลจ่ายเงินแบบ “user-centric royalties” ที่แบ่งค่าบริการรายเดือนของผู้ใช้ไปให้เฉพาะศิลปินที่พวกเขาฟัง หรือการตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแลเกี่ยวกับการผูกขาดและความเป็นธรรมของแพลตฟอร์มขนาดใหญ่

แม้ตอนนี้ยังไม่มีการดำเนินการเชิงกฎหมายใดเกิดขึ้น แต่การอพยพของศิลปินในตอนนี้ก็ส่งสารชัดเจนว่า พวกเขาไม่ต้องการเป็นเพียงผู้ผลิตคอนเทนต์ให้กับบริษัทเทคโนโลยีของคนอื่นอีกต่อไป ศิลปินกำลังทวงสิทธิ์ในเสียงของตน และยืนยันว่าศิลปะของพวกเขามีคุณค่ามากกว่าแค่สิ่งที่อัลกอริทึมจะวัดได้

สุดท้ายแล้ว การประท้วงครั้งนี้จะยังคงเป็นเพียงกระแสเฉพาะกลุ่ม หรือจะขยายกลายเป็นขบวนการใหญ่ระดับโลก อาจขึ้นอยู่กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป “เราหวังว่าผู้คนในเมืองอื่น ๆ จะใช้สิ่งที่เราทำเป็นต้นแบบในการจัดการอพยพออกจาก Spotify ของตัวเอง” Sam Cantor ผู้ร่วมร่างจดหมายเปิดผนึกจากชิคาโกกล่าว หรือพูดอีกแบบคือ วันนี้ชิคาโก วันหน้าอาจถึงคราวของบรู๊กลิน ลอนดอน เมลเบิร์นหรือกรุงเทพ

เสียงเรียกร้องนี้ชวนให้นึกถึงจิตวิญญาณ DIY ของพังก์ การสร้างซีนของตัวเอง สนับสนุนชุมชนของตัวเอง และไม่ต้องพึ่งพาประตูที่บริษัทยักษ์เป็นคนกำกุญแจไว้คนเดียว สำหรับแฟนเพลง มันคือการเตือนว่าวิธีที่เราฟังเพลงก็มีผลกับอุตสาหกรรม ทุกครั้งที่เรากดสตรีมเท่ากับกำลังลงคะแนนให้ระบบเดิม ในขณะที่การซื้อเพลงโดยตรงจากศิลปินคือการโหวตให้กับอนาคตแบบใหม่

อย่างไรก็ตาม Spotify คงไม่ถึงขั้นล่มสลายเพียงเพราะศิลปินอินดี้ไม่กี่สิบวงถอนตัว แพลตฟอร์มยังมีคลังเพลงมหาศาลหลายล้านเพลงที่ฟังได้ฟรีบน Spotify ตามสโลแกนของบริษัท และประสบการณ์ใช้งานที่ไร้รอยต่อซึ่งผูกผู้ใช้กว่า 700 ล้านคนไว้ได้ แต่รอยร้าวบนภาพลักษณ์ที่ดูใจถึงพึ่งได้นี้ก็เริ่มปรากฏขึ้น

คำถามคือ รอยร้าวนั้นจะขยายจนกลายเป็นรอยแยกระหว่างชุมชนดนตรีกับแพลตฟอร์มเทคโนโลยีหรือไม่ อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ บทสนทนาระหว่างศิลปินกับ Spotify ในปี 2025 แตกต่างจากเมื่อสิบปีก่อนโดยสิ้นเชิง หากครั้งหนึ่ง Spotify เคยถูกยกย่องว่าเป็นผู้กอบกู้ของอุตสาหกรรมเพลง ทุกวันนี้มันกลับถูกมองว่าเป็นปีศาจจำเป็น(หรือปีศาจที่แท้จริง)ที่ช่วยหล่อเลี้ยงอุตสาหกรรมให้เติบโต และหาก Spotify ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าบริษัทเทคโนโลยีสามารถรับใช้ทั้งผู้ถือหุ้นและศิลปินไปพร้อมกันได้ การคว่ำบาตร Spotify ครั้งนี้อาจถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ว่าเป็นสัญญาณเตือนแรกของโมเดลสตรีมมิ่งที่เริ่มหลงคีย์ของตัวเอง และถึงเวลาต้องเปลี่ยนเมโลดี้ใหม่ทั้งหมดก็ได้

+ posts

ชอบไปคอนเสิร์ตเพราะเป็นกิจกรรมที่ทำคนเดียวได้ และยังชอบแนะนำวงดนตรีใหม่ ๆ ผ่านตัวอักษรตลอดเวลา

Related Articles

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy