ในบ่ายวันที่อากาศร้อนอบอ้าว ณ ตลาดจตุจักรชื่อดังของกรุงเทพฯ นักท่องเที่ยวต่างชาติคนหนึ่งกำลังพลิกดู เสื้อวินเทจ ยืดเก่า ๆ ของวง Nirvana และ Metallica ด้วยผ้าฝ้ายบาง ๆ พิมพ์ลายแบบเอียง ๆ ใบหน้าของ Kurt Cobain ถูกปรับแต่งในโทนสีนีออนพร้อมใบกัญชา โลโก้ Metallica เองก็เบี้ยวไปนิด สมกับราคาที่ถูกเหลือเชื่อเพียง 150 บาท หรือประมาณ 5 ดอลลาร์เท่านั้น ไม่ไกลกัน พ่อค้าอีกรายก็วางขายเสื้อฮู้ดวง K-pop ควบคู่กับเสื้อเถื่อนของวงคาราบาวไปด้วย
เสื้อวงเสื้อวินเทจที่ขายกันโดยไม่ได้รับอนุญาตเหล่านี้ ถูกผลิตและจำหน่ายโดยปราศจากการรับรองจากศิลปินหรือค่ายเพลง เป็นทั้งสิ่งของผิดกฎหมายแต่แพร่หลายในเวลาเดียวกัน มันกลายเป็นของฝากเชิงขบถ เป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมแฟนคลับในไทยและทั่วโลก เชื่อมโยงเศรษฐกิจเข้ากับวัฒนธรรมความคลั่งไคล้ในแบบที่อุตสาหกรรมไหน ๆ ก็ไม่มี ทั้งหมดนี้อยู่ในเส้นแบ่งบาง ๆ ระหว่างละเมิดลิขสิทธิ์และการโปรโมตวงดนตรีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในโลก
จากชาวฮิปปี้สู่ชาวเฮฟวีเมทัล ประวัติโดยย่อของเสื้อ bootleg เสื้อวินเทจ
เสื้อปลอมหรือที่หลายคนอาจจะเรียกว่า เสื้อ bootleg มีอายุเกือบจะเท่ากับดนตรีร็อกแอนด์โรล ความต้องการของแฟนเพลงที่จะประกาศตัวเป็นแฟนวงดนตรีที่ตนรัก อย่างตรงไปตรงมา นักวิชาการบางคนสามารถย้อนรอยกำเนิดของเสื้อเหล่านี้ไปไกลถึงยุค bobby soxer ในช่วงทศวรรษ 1940 ที่วัยรุ่นคลั่งเพลง Frank Sinatra มักเขียนชื่อเขาลงบนแจ็กเก็ตของตัวเอง แต่เสื้อปลอมในรูปแบบที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน เริ่มปรากฏขึ้นมาช่วงปลายทศวรรษ 1960 ถึงต้น 1970 เมื่อดนตรีร็อกเริ่มกลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก
ในยุคนั้น สินค้าของวงดนตรีหรือ Merchandise ยังหาได้ยากมากหรือแทบไม่มีเลย บรรดาแฟนเพลงคลั่งรักและพ่อค้าหัวใสจึงฉวยโอกาสนี้ ผลิตเสื้อยืดเองโดยพิมพ์โลโก้วง ปกอัลบั้ม หรือวันทัวร์ลงบนผ้าฝ้ายราคาถูก แล้วขายกันหน้าคอนเสิร์ตหรือในตรอกซอกซอย แม้เสื้อเหล่านี้จะไม่เนี้ยบ แต่กลับมีเสน่ห์เฉพาะตัวและกลิ่นอายบางอย่าง ที่ทำให้ผู้สวมใส่ไม่ใช่แค่ตามเทรนด์แฟชั่น แต่เหมือนได้เป็นส่วนหนึ่งของลัทธิลึกลับนอกกฎหมายอีกด้วย
ในช่วงทศวรรษ 1970–80 ซึ่งเป็นยุคทองของคอนเสิร์ตสเตเดียม เสื้อปลอมกลายเป็นภาพคุ้นตาในงานดนตรีทั่วโลก ไม่ว่าจะที่ลอสแองเจลิสหรือลอนดอน ในสหรัฐฯ พ่อค้าจะเปิดกระโปรงหรือแบกะดินตามลานจอดรถ แล้วปูผ้าขายเสื้อ KISS หรือ Led Zeppelin ของปลอม จนกว่ารปภ.หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้ามาไล่ ฝั่งอังกฤษเองก็มีภาพคล้ายกันหน้าสนามเวมบลีย์หรือเอิร์ลส์คอร์ต แฟนเพลงสามารถซื้อเสื้อ Iron Maiden ราคาสบายกระเป๋าจากข้างถนน แทนที่จะเสียเงินไปกับเสื้อแพงหูฉี่ในงาน แม้เสื้อปลอมยุคแรกมักพิมพ์ลายเบี้ยวหรือสะกดผิดแบบน่าขัน แต่สำหรับแฟนเพลงแล้ว มันคือหลักฐานของการได้เป็นส่วนหนึ่งของคอนเสิร์ตที่พวกเขารอคอย
ในความเป็นจริง ความแพร่หลายของเสื้อปลอมนี่เองที่ทำให้หลายวงเริ่มหันมาทำ Merchandise อย่างเป็นทางการในช่วงปลายยุค 70 ศิลปินร็อกเริ่มตระหนักว่าแฟนเพลงยอมควักเงินซื้อเสื้อกันอยู่แล้ว ก็ควรให้เงินตรงนั้นเข้ากระเป๋าวงดีกว่า แทนที่จะตกไปอยู่ในมือคนอื่น เมื่อดนตรีเฮฟวีเมทัลและดนตรีกรันจ์เริ่มเฟื่องฟูในยุค 80–90 เสื้อวงถูกลิขสิทธิ์ก็กลายเป็นธุรกิจใหญ่ แต่เสื้อ bootleg ก็ยังคงซ่อนตัวอยู่ในเงามืด คอยหล่อเลี้ยงลัทธิเล็ก ๆ ของนักสะสมและนักล่าเสื้อวินเทจต่อไป
ตลาดเสื้อปลอมในกรุงเทพและเครือข่ายที่ใหญ่กว่าที่เราคิด เสื้อวินเทจ
ในบ้านเราเองก็สะท้อนอิทธิพลระดับโลกของเสื้อวงปลอมได้ชัดเจนเหมือนกัน ตั้งแต่จตุจักรจนถึงสยามสแควร์ เราสามารถพบประวัติศาสตร์ดนตรีหลายทศวรรษที่ถูกนำมาพิมพ์ซ้ำลงบนเสื้อยืดราคาถูก ดีไซน์วงร็อกยุค 90 ยังคงได้รับความนิยมเป็นพิเศษ: แค่เดินผ่านแผงขายของ คุณก็จะเห็นรอยยิ้มของสมาชิกวง Nirvana (ที่มักอยู่บนอกเสื้อของวัยรุ่นที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปกอัลบั้มที่มีเด็กน้อยที่กำลังแหวกว่ายหาแบงค์อยู่ใต้น้ำนั้น ชื่ออัลบั้ม Nevermind) โลโก้ไม้กางเขนของ Guns N’ Roses หรือแม้แต่ของหายากอย่าง Joy Division หรือ The Cure หลายตัวเป็น “เสื้อวินเทจ” ที่เพิ่งพิมพ์ใหม่โดยตั้งใจให้ดูเก่าและซีด พร้อมป้าย Made in Thailand ที่เป็นเอกลักษณ์
เสื้อปลอมที่ผลิตในไทยเหล่านี้มีชื่อเสียงในหมู่นักสะสม บางตัวเป็นที่ต้องการเพราะความแหวกแนว บางตัวโด่งดังจากความผิดพลาดสุดฮา เช่นเสื้อรำลึก Kurt Cobain ที่สะกดชื่อผิดเป็น “Kurt Kobain” ซึ่งชาว Reddit บางคนแซวว่านี่แหละ คือลายเซ็นของของเถื่อนจากเมืองไทย
บทบาทของเมืองไทยในระบบนิเวศเสื้อปลอมไม่ได้จำกัดอยู่แค่การขายเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางการผลิตอีกด้วย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา โรงงานขนาดเล็กในไทย (รวมถึงในประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย) ได้ผลิตเสื้อวงละเมิดลิขสิทธิ์เพื่อส่งออกไปมากมาย
ย้อนกลับไปในยุค 90 ลาย Nirvana และ Metallica ที่สกรีนในกรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่มักถูกส่งออกไปสู่ตลาดในตะวันตก จนถึงทุกวันนี้ นักขายเสื้อวินเทจยังสามารถระบุเสื้อปลอมจากไทยได้จากผ้าบาง ๆ และลายพิมพ์เต็มตัว ซึ่งต่างจากเสื้อทัวร์แบบเป็นทางการในอเมริกาอย่างชัดเจน น่าขันที่ของก็อปที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าไร้ค่า วันนี้กลับกลายเป็นของสะสมสุดฮิต เสื้อ Nirvana ปลอมของไทยจากยุคปลาย 90 บางตัวมีราคาขายออนไลน์เกิน $100 หรือ 2,000 กว่าบาทเลยทีเดียว จากลายเฉพาะตัวและความหายาก สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นแฟชั่นวินเทจที่คนทั่วโลกอยากไขว่คว้า
วงการดนตรีไทยเองก็ไม่รอดพ้นจากกระแสนี้เหมือนกัน ศิลปินขวัญใจมหาชนอย่างคาราบาวก็ถูกนำภาพมาใช้บนเสื้อยืดที่ขายเกลื่อนตามตลาดกลางคืน แม้จะมีเสื้อคาราบาวแบบลิขสิทธิ์ให้เลือกซื้อ แต่แฟนพันธุ์แท้ในต่างจังหวัดอาจเลือกเสื้อปลอมราคา 200 บาทแทน ซึ่งสามารถแสดงถึงความเป็นแฟนเพลงได้เหมือนกัน ในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางรายได้สูง เสื้อปลอมจึงกลายเป็นทางเลือกที่ทำให้ทุกคนเข้าถึงวัฒนธรรมแฟนคลับได้

เงิน ของก็อป และรายได้ที่หายไปของศิลปิน เสื้อวินเทจ
เบื้องหลังภาพอันโรแมนติกของเสื้อแฟนคลับทำมือ กลับแฝงไว้ด้วยปัญหาเศรษฐกิจที่จริงจัง เสื้อวงเถื่อนคือธุรกิจขนาดใหญ่และเป็นหนามยอกใจของศิลปินกับค่ายเพลงมาตลอด เว็บไซต์ Blabbermouth เคยเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยชวนทุกคนย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1983 วารสารกฎหมายฉบับหนึ่งเคยกล่าวถึงอุตสาหกรรมมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ที่สร้างขึ้นจากของละเมิดลิขสิทธิ์เหล่านี้
มันคือเรื่องง่าย ๆ ของอุปสงค์และอุปทาน แฟนเพลงเต็มใจจ่ายเงินเพื่ออะไรก็ตามที่มีชื่อหรือหน้าศิลปินที่พวกเขารักบนนั้น ในคดีความเกี่ยวกับบริษัทขายสินค้าของ Guns N’ Roses เป็นโจทก์ ทนายความของพวกเขาให้การว่า แฟนเพลงยอมจ่ายเสื้อยืดที่มีโลโก้วงในราคาพันกว่าบาท หรือ $35 ทั้งที่ต้นทุนเสื้อเปล่าเพียงร้อยเดียว ($4) ช่องว่างของกำไรที่สูงขนาดนี้คือสิ่งที่พ่อค้าเถื่อนจ้องจะฟันให้เละ และนั่นคือเงินที่ไม่มีทางกลับไปเข้ากระเป๋าศิลปินเจ้าของผลงานเลย
สำหรับศิลปินในยุคนี้ รายได้จาก Merchandise ระหว่างทัวร์กลายเป็นแหล่งเงินสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อรายได้จากยอดขายเพลงลดลงอย่างหนักในยุคสตรีมมิง แม้แต่วงคัฟเวอร์ก็ยังระบุว่าสินค้าที่ระลึกมีสัดส่วนรายได้ถึง 10–20% ซึ่งตอกย้ำว่าเรื่องนี้หมายถึงความเป็นอยู่ของศิลปินเลยทีเดียว
เหล่าพ่อค้าเสื้อปลอมเองก็ดำเนินธุรกิจด้วยต้นทุนที่ต่ำลงเรื่อย ๆ สวนทางกับกำไรอย่างมหาศาลที่น่าดึงดูดสุด ๆ จากการวิเคราะห์ล่าสุดพบว่า เมื่อซื้ออุปกรณ์สกรีนและเสื้อเปล่าจำนวนมากในล็อตแรก พ่อค้าเหล่านี้สามารถผลิตเสื้อได้ในราคาต่ำสุดเพียงตัวละ 200 บาท ($5.60) จากนั้นนำมาขายต่อที่ราคา 550 บาท ($15) ซึ่งยังถูกกว่าสินค้าลิขสิทธิ์เกินครึ่ง ได้กำไรไปไม่น้อย
เทียบกับทัวร์ของ Taylor Swift ปี 2023 เสื้อยืดของแท้ขายอยู่ที่ 2,000 บาท ($55) ขณะที่เสื้อแบบเดียวกันโผล่บนเว็บ Etsy ในราคาประมาณหนึ่งในสามเท่านั้น จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมใคร ๆ ก็อยากลงมาเล่นในสนามนี้ด้วย เพราะแค่ขายได้ไม่กี่ตัวในคอนเสิร์ตที่มีผู้ชมหลักหมื่น ก็สามารถโกยเงินสดมากมายไปได้ง่าย ๆ
ต่างจากบริษัทขาย Official Merchandise พ่อค้าใต้ดินพวกนี้ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม ไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้ศิลปิน ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าพื้นที่ให้กับสถานที่จัดงาน และหายตัวไปในเงามือโดยไม่ต้องเสียภาษีจากการขายแม้แต่บาทเดียว
แล้วศิลปินต้องสูญเงินไปมากแค่ไหนในอุตสาหกรรมนี้? แม้จะไม่มีตัวเลขที่แน่ชัด แต่คอนเสิร์ตใหญ่ ๆ ล้วนให้ความสำคัญกับปัญหาเสื้อปลอมอย่างจริงจัง ในปี 2023 บริษัทที่ได้สิทธิ์ในการขาย Merchandise ของ Metallica ได้ยื่นฟ้องหลายคดีในหลายรัฐของสหรัฐฯ เพื่อสกัดการขายของเถื่อนในทัวร์สเตเดียมของวง คำฟ้องสะท้อนข้อกล่าวหาซ้ำ ๆ คือ เสื้อปลอมคุณภาพต่ำทำให้แฟนสับสนและแย่งรายได้ที่ควรเป็นของศิลปินไป
สำหรับวงระดับตำนานอย่าง Metallica ยังคงยึดหลักการเดิม การขายอะไรก็ตามโดยไม่ได้รับอนุญาตจากวงคือการขโมยทรัพย์สินทางปัญญาและรายได้ทั้งหมด วงหน้าใหม่เองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ในขณะที่วงใหญ่ ๆ อาจจะมีสายป่านที่ยาวพอจะเสียอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้บ้าง แต่วงเล็ก ๆ อาจต้องพึ่งยอดขายเสื้อทัวร์ละ 50 ตัวเพื่อให้ไม่ขาดทุน ถ้ามีพ่อค้าเถื่อนรอขายอยู่หน้างาน เขาอาจจะไม่มีเงินเติมน้ำมันหรือจ่ายค่ารถเพื่อทัวร์ในเมืองต่อไปไม่ได้ด้วยซ้ำ
บางคนอาจแย้งขึ้นมาว่าเสื้อเหล่านี้อาจเป็นการช่วยโปรโมตวงให้ฟรีก็ได้ โดยเฉพาะในตลาดที่ศิลปินยังไม่เป็นที่รู้จัก เช่น แฟนเพลงในกรุงเทพฯ ที่สวมเสื้อ Gun N’ Roses ของปลอม ก็อาจช่วยเผยแพร่วงให้คนที่เห็นได้ลองฟังก็ได้ ในระยะยาว เสื้อ bootleg อาจกระตุ้นยอดขายแผ่นเสียงหรือยอดสตรีมมิงได้บ้างก็ได้
แต่ประโยชน์ทางอ้อมเหล่านี้อาจไม่ช่วยอะไรนักสำหรับวงที่กำลังเติบโต ผู้จัดการวงคนหนึ่งพูดติดตลกว่า “การเป็นที่รู้จักไม่ได้จ่ายค่าจ้างทีมงานบนรถทัวร์หรอก รายได้จากเสื้อยืดต่างหากที่จ่าย” สำหรับศิลปินจำนวนมาก เสื้อปลอมที่ขายได้หนึ่งตัวอาจหมายถึงข้าวหนึ่งมื้อที่หายไปบนรถทัวร์ด้วย
แล้วของปลอมกลายเป็นเทรนด์แฟชั่นได้ยังไง
แม้จะวิพากษ์ในแง่เศรษฐกิจไปอย่างออกรสแค่ไหน เสื้อวงปลอมหรือ bootleg ก็ยังครองใจแฟนเพลงมาเสมอ เสื้อเหล่านี้เปรียบเสมือนหลักฐานและความทรงจำที่สวมใส่ได้ของอัลบั้มโปรดและคอนเสิร์ตของวงในดวงใจ
และเสื้อปลอมพวกนี้เองก็ช่วยขยายความหลากหลายให้กับโลกของแฟนคลับ บางดีไซน์สร้างสรรค์แปลกตาจนกลายเป็นของสะสม ยกตัวอย่างเสื้อฮิปฮอปเถื่อนยุค 90 ที่ขายตามคอนเสิร์ตหรือริมถนนในเมืองใหญ่ มักเป็นภาพตัดต่อศิลปินกับวันทัวร์แบบดิบ ๆ แม้จะไม่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการ แต่ความดุดันแบบ DIY ก็กลายเป็นภาพจำอันทรงพลัง หลายทศวรรษต่อมา เสื้อเถื่อนของศิลปินระดับตำนานอย่าง 2Pac หรือ Notorious B.I.G. กลับมีมูลค่าสูงถึงหลักร้อยดอลลาร์ในหมู่นักสะสม
วงการแฟชั่นเองก็ไม่อยากพลาดกระแสอะไรแบบนี้เช่นกัน ในปี 2021 นิตยสาร GQ เขียนเกี่ยวกับ “faux bootleg” ซึ่งแบรนด์สตรีตแวร์ระดับไฮเอนด์และนักบาส NBA สวมเสื้อใหม่ที่ออกแบบให้ดูเหมือนเสื้อเถื่อน มีทั้งลายที่ซีด กราฟิกยุค 80 และความ “ไม่เนี้ยบ” ที่เคยถูกมองว่าเป็นของปลอมไร้ค่า บัดนี้กลับกลายเป็นความชิคร่วมสมัยได้อย่างน่าประหลาด
บนโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะ TikTok เสื้อวงเถื่อนยังจุดกระแสความคิดถึงในหมู่ Gen Z วัยรุ่นที่เกิดไม่ทันยุคทองของ Nirvana กลับใส่เสื้อที่สกรีนหน้า Kurt Cobain เป็นแฟชั่น บางคนอาจยังไม่เคยฟัง Smells Like Teen Spirit ด้วยซ้ำ เทรนด์นี้ทำให้ตลาดขายต่อเสื้อวงวินเทจพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ งานวิจัยล่าสุดพบว่าเสื้อ Nirvana คือเสื้อที่มีมูลค่าสูงสุดในตลาดวินเทจ โดยมีราคาขายเฉลี่ยราวหมื่นกว่าบาท ($279) ต่อชิ้น เทียบกับเสื้อ Red Hot Chili Peppers ที่เฉลี่ย 9,000 บาท ($241) และ Earth, Wind & Fire ที่ราว 7,000 บาท ($200)
บน TikTok มี sub-culture ที่เกิดขึ้นจากการตามล่าหาเสื้อวงหายากราคาในราคาถูก เพื่อนำไปขายต่อในราคาหลายร้อยดอลลาร์ อินฟลูเอนเซอร์รุ่นใหม่เล่าที่มาของกราฟิกบนเสื้อ Metallica หรือ AC/DC โอเวอร์ไซซ์ของตัวเองอย่างภาคภูมิ แม้เรื่องราวเหล่านั้นจะเกิดก่อนพวกเขาเกิดหลายปี และในหลาย ๆ ครั้ง เสื้อวินเทจเหล่านี้ก็ไม่ใช่ของแท้ด้วยซ้ำ
หากเป็นเสื้อ bootleg จากยุค 80–90 ที่กลับมามีมูลค่าเพราะความหายากและความปลอมของมัน นักสะสมรายหนึ่งให้สัมภาษณ์กับ Vice ว่ามีคนญี่ปุ่นถึงขั้นบินไปอังกฤษเพื่อหาซื้อเสื้อ Oasis และ Iron Maiden ปลอมหายาก ทั้งที่เสื้อตัวนี้ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นของไม่มีราคาที่ถูกวางเกลื่อนหน้าลานจอดรถ แต่บัดนี้กลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์สำหรับแฟนคลับตัวจริงและสายแฟ’ยุคใหม่
ที่สำคัญ เสื้อปลอมยังเปิดโอกาสให้แฟนคลับได้แสดงความคิดสร้างสรรค์ในแบบที่ของมีลิขสิทธิ์ไม่สามารถทำได้แน่ ๆ เสื้อของแท้มักออกแบบบนข้อจำกัดไร้สาระมากมาย ต้องยึดกับปกอัลบั้ม ติดกับแบรนดิ้งทัวร์ และคำสั่งเด็ดขาดของผู้จัดการ แต่เสื้อเถื่อนกลับกล้าเล่น กล้าเล่าสิ่งที่เฉพาะเจาะจงมากกว่า บางตัวเอาโลโก้วงไปผสมกับ pop-culture บางตัวพิมพ์เฉพาะวันทัวร์ในเมืองใดเมืองหนึ่งพร้อมมุกเฉพาะท้องถิ่น ในไทยเองก็มีเสื้อที่เอาหน้าวงร็อกดังไปผสมกับลวดลายศิลปะไทย นี่คือสิ่งที่ค่ายเพลงไม่กล้าทำ ทั้งที่รู้ว่าโดนใจแฟนเพลงในแต่ละประเทศที่ไปแน่นอน
ความสร้างสรรค์แบบนี้แทบจะกลายเป็นแฟนอาร์ตที่สวมใส่ได้ และนำไปสู่คำถามที่น่าสนใจ — เสื้อที่แฟนคลับทำขึ้นเองจากความรัก ถึงจะผิดกฎหมายแน่นอน แล้วมันผิดต่อศิลปินมากขนาดนั้นเลยหรอ สำหรับหลายคนในวงการนี้ หลายคนเห็นตัวเองเป็นแฟนเพลงก่อนเป็นพ่อค้าเสมอ มันผิดมากเลยหรอกับที่คน ๆ นั้นมีหน้าที่สร้างของที่ระลึกให้กับแฟนเพลงด้วยกัน ที่อาจไม่มีโอกาสเข้าถึงสินค้าออฟฟิเชียลเหล่านี้เลยด้วยซ้ำ
เส้นแบ่งของการละเมิดลิขสิทธิ์และล้อเลียน (Parody) อยู่ตรงไหน
ความถูกต้องตามกฎหมาย (legality) โดยนิยามแล้ว เสื้อวง bootleg ถือเป็นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (IP) ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับเครื่องหมายการค้า เช่น โลโก้และชื่อวง รวมถึงผลงานที่มีลิขสิทธิ์อย่างภาพถ่ายหรือภาพวาด แต่เรื่องนี้อาจมองได้หลายมิติ ด้านหนึ่งคือการลอกเสื้อทัวร์ของวงมาแบบตรง ๆ ส่วนอีกด้านคือการโลโก้หรือชื่อของวงมาล้อเลียนแนวขำขันโดยไม่ได้คัดลอกแบบหนึ่งต่อหนึ่งมา กฎหมายลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้าบางประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ อนุญาตให้ใช้ “การล้อเลียน” เป็นแนวทางป้องกันได้ภายใต้หลัก fair use (เพื่อการวิจารณ์ (criticism), การเสียดสี/ล้อเลียน (parody), การศึกษา (education), การรายงานข่าว (news reporting), การวิจัย (research)) หากการล้อเลียนนั้นมีเจตนาวิพากษ์หรือตั้งคำถามกับต้นฉบับ ก็อาจถือว่าถูกกฎหมายได้ แม้จะใช้ IP บางส่วนของศิลปินเช่นปกอัลบั้มมาทำให้ตลกขบขันโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ตาม
แต่ค่าใช้จ่ายในการทำก็สูงมากเหมือนกัน เพราะการล้อเลียนนั้นต้องเห็นได้ชัด และไม่มุ่งเน้นผลกำไรมากเกินไป ผู้เชี่ยวชาญด้าน IP เตือนว่า หากดีไซน์นั้นคล้ายของจริงจนทำให้คนเข้าใจผิด โดยเฉพาะหากผู้บริโภคเข้าใจผิดว่าได้รับอนุญาตจากวงแล้วล่ะก็ อาจเข้าข่ายละเมิดและโดนฟ้องได้ พูดให้ชัด ๆ คือ มุกตลกอาจไม่ช่วยอะไรเลย ถ้าลายบนเสื้อยังทำให้แฟนของวงคิดว่าเป็นสินค้าจากวงเอง
หลายเคสเองก็สะท้อนความซับซ้อนของเรื่องนี้ เช่น คดีที่ Nirvana ยื่นฟ้อง Marc Jacobs ในปี 2018 ที่มีรูปหน้ายิ้มคล้ายโลโก้ลิขสิทธิ์ของวง แม้ Jacobs จะเปลี่ยนดีเทลบางส่วน เช่น ดวงตาและเพิ่มแฮชแท็ก พร้อมอ้างว่าเป็นการล้อเลียน แต่สุดท้ายก็ต้องใช้เวลาเกือบหกปีกว่าจะจบด้วยการไกล่เกลี่ยนอกศาล แม้แต่แบรนด์ใหญ่ ๆ เองก็ยังหาทางลงระหว่างยกย่อง (tribute) กับละเมิดลิขสิทธิ์ได้ยากเหมือนกัน
เสื้อปลอมที่ใช้การเล่นคำหรือใช้มุกตลกก็อาจตกเป็นเป้าหมายของการโดนฟ้องได้เช่นกัน อย่างกรณีของพ่อค้าคนหนึ่งที่พิมพ์เสื้อว่า “Enjoy Coke? Try Crüe” ด้วยฟอนต์สไตล์ Coca-Cola พ่วงกับชื่อวง Mötley Crüe ก็ได้รับจดหมายจากทั้งโค้กและวงในแบบไม่ต้องเดาเลย เพราะกฎหมาย Lanham Act (กฎหมายเครื่องหมายการค้าสหรัฐฯ) มีหน้าที่คุ้มครองแบรนด์จากการถูกทำให้สับสนหรือเสียภาพลักษณ์นั่นเอง
ที่สำคัญคือ ถ้าคุณขายเสื้อปลอมหรือ bootleg โดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อหวังกำไร ไม่ว่าคุณจะอ้างว่าเป็นแค่ล้อเล่นหรือทำเป็นของที่ระลึกยังไง ศาลก็อาจมองว่าคุณกำลังแสวงหาผลประโยชน์จากชื่อเสียงของวงอยู่ดี
ทนายในวงการดนตรีมักเน้นย้ำเสมอว่า วงต้องคอยปกป้องเครื่องหมายการค้าของตนเองตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นอาจเสี่ยงต่อการเสียสิทธิ์ในแบรนด์ของตัวเอง หากปล่อยให้ใครก็ได้พิมพ์โลโก้ลงบนเสื้อยืด วันหนึ่งโลโก้นั้นอาจกลายเป็นคำทั่วไปจนไม่สามารถคุ้มครองทางกฎหมายได้อีก สิ่งนี้ทำให้ศิลปินหลายคนมักมีคนจัดการเรื่องกฎหมายของตัวเอง ถึงจะไม่ใส่ใจเสื้อปลอมแค่ไม่กี่ตัวก็ตาม ทนายของพวกเขาอาจจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อสร้างบรรทัดฐานให้กับทุกคนได้เข้าใจตรงกัน
เราจึงได้เห็นการฟ้องร้องจำนวนมากในช่วงหลังมานี้ ซึ่งมักพุ่งเป้าไปที่ผู้ขายของเถื่อนในเส้นทางทัวร์ของศิลปิน เช่น Harry Styles ที่ยื่นฟ้องพ่อค้าบนอินเทอร์เน็ตที่ขายสินค้าปลอมของเขาไปมากมายในปี 2023 โดยเรียกร้องทั้งคำสั่งห้ามของศาลพร้อมค่าเสียหายเป็นล้านดอลลาร์ ในทำนองเดียวกัน BTS วงบอยแบนด์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกจากเกาหลีใต้ ก็ให้ต้นสังกัดฟ้องพ่อค้าจำนวนมากล่วงหน้า ก่อนคอนเสิร์ตที่ลอสแอนเจลิสเพื่อเปิดทางให้เจ้าหน้าที่สามารถยึดเสื้อและแท่งไฟปลอมในคอนเสิร์ตได้ทันที
ความผิดส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับการละเมิดเครื่องหมายการค้า บางกรณีมีเรื่องลิขสิทธิ์ร่วมด้วย และศาลมักออกคำสั่งชั่วคราวระหว่างทัวร์เพื่อช่วยศิลปิน ไม่ว่าจะที่ลอนดอนหรือโตเกียว หลักการกฎหมายก็ตรงกัน ถ้าคุณนำชื่อหรือภาพของศิลปินไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อต่อยอดทางการค้า คุณกำลังละเมิดสิทธิ์ทั้งหมด
แต่ความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายก็แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ในอังกฤษ วงดนตรีและผู้จัดมักร่วมมือกับเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค (Trading Standards) เพื่อบุกตรวจแผงขายเสื้อปลอมหน้าคอนเสิร์ต แต่พ่อค้าบางคนก็ยังเล็ดลอดไปได้ โดยเฉพาะในงานเทศกาลหรือตลาดเปิดท้ายขายของ
ญี่ปุ่นซึ่งมีกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาที่เข้มงวด จึงแทบไม่มีแผงขายของเถื่อนเลย แต่ตลาดของมือสองที่เฟื่องฟูทำให้เสื้อวินเทจหลายตัวกลับมามีชีวิตในร้านเสื้อผ้า ซึ่งขายในราคาสูงมาก แฟนเพลงญี่ปุ่นบางคนยอมจ่ายเงินก้อนโตเพื่อซื้อเสื้อ Iron Maiden เถื่อนยุค 80 เพราะมองว่ามันคือส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ร็อก ไม่ว่ามันจะผิดกฎหมายหรือไม่ก็ตาม
ในทางตรงข้าม ไทยมีการบังคับใช้ที่ค่อนข้างผ่อนปรน(มาก) แม้เจ้าหน้าที่จะมีการกวาดล้างสินค้าลอกเลียนแบบแบรนด์หรูหรือสินค้าปลอมจากวง K-pop อยู่บ้าง แต่ด้วยจำนวนผู้ค้ารายย่อยอันมหาศาล และค่านิยมที่มองว่าการลอกเลียนแบบเป็นเรื่องเข้าใจได้ ทำให้ยากจะกำจัดเสื้อวงปลอมได้หมด
ผลก็คือ ตลาดในกรุงเทพฯ ยังคงเป็นเซฟโซนของแฟนเพลงผู้กระหายของหายากเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นศิลปินยุคไหน ประเทศใด แค่เดินตลาดก็มีโอกาสเจอเสื้อที่ทุกคนกำลังตามหาก็ได้
จะผิดกฎหมายหรือไม่ พ่อค้าเสื้อปลอมบางคนต่างก็ออกมาสร้างจุดยืนทางจริยธรรมให้กับสิ่งที่พวกเขาทำ บางคนมองว่าตนเองกำลังเติมเต็มช่องว่างที่ศิลปินหรือค่ายเพลงมองข้าม เช่น ถ้าวงไม่เคยมาเปิดคอนเสิร์ตในบ้านเรา ไม่ยอมขาย Merchandise อย่างเป็นทางการเอง แล้วจะให้แฟนคลับทำอย่างไร? บ้างก็อ้างสิทธิ์ในฐานะศิลปินเช่นกัน โดยเฉพาะในการทำเสื้อที่ออกแบบมาเพื่อล้อเลียนหรือผสมงานใหม่ ซึ่งคนทำมองว่าเป็นการแปลงภาพต้นฉบับให้กลายเป็นสิ่งใหม่โดยชอบธรรม
อย่างไรก็ตาม เส้นแบ่งนั้นลื่นไหลก็บางมาก สิ่งที่ใครบางคนมองว่าเป็น tribute ก็อาจถูกมองว่าเป็นการขโมยได้เช่นกัน จริยธรรมที่อ้างกันจึงมักถูกตีตกไปเมื่อพูดถึงความเสียหายที่เกิดขึ้น เสื้อเหล่านี้เป็นแค่แฟนอาร์ต หรือกำลังแย่งรายได้และคุกคามภาพลักษณ์ของศิลปินกันแน่
Jerry Garcia แห่งวง Grateful Dead คือหนึ่งในศิลปินที่ปล่อยวางต่อเรื่องนี้ไปแล้ว วงไม่เพียงอนุญาตให้แฟนเพลงถ่ายวีดีโอในคอนเสิร์ตได้ แต่ยังยอมรับตลาดเสื้อ bootleg อย่างเปิดเผยในคอนเสิร์ตของตน เขาไม่ติดใจอะไรเลยที่แฟน ๆ ใส่เสื้อมัดย้อมที่สกรีนชื่อวงพวกเขามาตั้งแผงขายของของวงแม้พวกเขาจะไม่เคยอนุญาตเลยก็ตาม พื้นที่นี้ถูกขนานนามว่า Shakedown Street การ์เซียเคยกล่าวไว้ว่า “ตราบใดที่เสียงดนตรีถูกแพร่ออกไป วงก็จะคงอยู่ตลอดไป” และในความเป็นจริง ไอคอนของ Grateful Dead ก็ยังคงอยู่ในกระแสวัฒนธรรมมาจนถึงทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งเพราะของละเมิดลิขสิทธิ์เหล่านั้น
ท่าทีแบบ “กูยอมมึงแล้วโหม๋ว” ของพวกเขากลายเป็นข้ออ้างในหมู่แฟนคลับ ศิลปินบางคนมองว่าเสื้อปลอมคือคำชมและการโปรโมตแบบฟรี ๆ ขณะที่ศิลปินอีกกลุ่มกลับมองว่านั่นคือการขโมยผลงานโดยไม่ให้เกียรติกันเลย
แล้วอนาคตของอุตสาหกรรมเถื่อนนี้จะเป็นยังไง เสื้อวินเทจ
ความตึงเครียดระหว่างคอมมูนิตี้คนฟังเพลงคือหัวใจของข้อถกเถียงเรื่องเสื้อเถื่อน ข้างหนึ่งคือศิลปินและคนในอุตสาหกรรมดนตรีที่ต้องการปกป้องผลประโยชน์ของตน ไม่ใช่แค่เพื่อกำไร แต่รวมถึงคุณภาพและภาพลักษณ์ของพวกเขาด้วย พวกเขาให้เหตุผล (ซึ่งก็ถูกอยู่) ว่าเสื้อวงปลอมหรือ bootleg มักมีคุณภาพต่ำ ผ้าบาง ซีดและอาจขาดหรือพังง่าย ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของศิลปินได้
คดีความของ Guns N’ Roses ระบุอย่างชัดเจนว่า “เสื้อปลอมคุณภาพแย่เหล่านี้สามารถทำลายภาพลักษณ์ของศิลปินในสายตาผู้บริโภคได้” อีกประเด็นสำคัญคือความสวยงาม ศิลปินทุกคนล้วนใส่ใจในรายละเอียดของดีไซน์เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางของวง ขณะที่เสื้อปลอมสามารถพิมพ์อะไรก็ได้ ซึ่งบางครั้งก็หยาบคายหรือล้ำเส้นเกินไป ศิลปินจึงมีสิทธิ์กังวลว่าของพวกนี้จะทำให้คนเข้าใจวงผิดได้
คำฟ้องในคดีต่าง ๆ ชี้ชัดว่า ผู้ละเมิดสิทธิ์เหล่านี้ไม่เคยสนใจว่าศิลปินอยากจะถูกนำเสนอในสายตาสาธารณชนยังไง และยังทำให้แฟนเพลงเข้าใจผิดว่าเสื้อเหล่านั้นได้รับการรับรองจากวงแล้ว คำกล่าวทั้งหมดนี้ยิ่งมีน้ำหนักในยุคที่แบรนดิ้งคือหัวใจสำคัญของการเป็นศิลปิน และการที่ไม่สามารถควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้ อาจหมายถึงการเสียความเชื่อมั่นต่อแฟนเพลงทั้งหมดไปเลย
อีกข้างหนึ่งคือกลุ่มแฟนเพลง พ่อค้า และศิลปินอิสระ ซึ่งหลายคนให้เหตุผลว่าการควบคุมที่เข้มงวดเกินไปอาจบั่นทอนจิตวิญญาณอันมีชีวิตชีวาที่ดนตรีได้จุดประกายขึ้นมา เสื้อที่เล่นมุกอย่างชาญฉลาดหรือดีไซน์ของแฟนคลับ มันสามารถเติมเต็มประสบการณ์ความเป็นแฟนเพลงได้อย่างอิ่มเอมใจ ไม่ใช่ทุกคนที่ซื้อเสื้อวงปลอมจะยอมจ่ายเงินเป็นพันให้กับของแท้ หลายคนแค่อยากได้ของที่ระลึกที่จับต้องได้ในราคาที่เอื้อมถึง
โดยเฉพาะในเอเชียหรืออเมริกาใต้ ที่ Merchandise ทางการของศิลปินมักหายาก หรือแพงจนเกินเอื้อมด้วยต้นทุนการนำเข้าและการขนส่ง เสื้อวงปลอมจึงกลายเป็นช่องทางให้แฟนเพลงรุ่นใหม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของศิลปินที่ตนชื่นชอบ
นอกจากนี้ยังมีอีกแง่มุมหนึ่งที่คนกลุ่มนี้อยากพูดถึง คือการเป็นเจ้าของร่วมในวัฒนธรรม (Collective Cultural Ownership) โลโก้ของวงดนตรีในตำนานหลายวงได้กลายเป็นภาษาสากลในโลกป๊อปคัลเจอร์ เช่นโลโก้ลิ้นของ The Rolling Stones ตราวงกลมของ Ramones ตัว “W” ของ Wu-Tang Clan สิ่งเหล่านี้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่หลุดพ้นจากกรอบของวงดนตรีไปแล้ว และไปปรากฏอยู่บนสินค้านับไม่ถ้วนทั่วโลกโดยส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รับอนุญาตด้วย
นักอนุรักษ์สิทธิ์อาจยืนกรานว่า การใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นคือการขโมยทั้งสิ้น แต่คนอีกกลุ่มมองว่าการยกย่องในเชิงสร้างสรรค์เช่นนี้คือการทำให้สัญลักษณ์ยังคงมีชีวิตและดำรงอยู่ในโลกต่อไปได้
แน่นอนว่าในทางกฎหมาย ศาลมักยืนอยู่ข้างเจ้าของลิขสิทธิ์เสมอ และการกวาดล้างก็ไม่มีทีท่าว่าจะผ่อนปรน เราน่าจะยังได้เห็นมาตรการหลากหลายแนวทางควบคู่กันไป ทั้งการฟ้องร้องทางกฎหมาย, การตรวจสอบแพลตฟอร์มออนไลน์, และใช้เทคโนโลยีมาช่วยระบุตัวตน เช่นสติกเกอร์โฮโลแกรมหรือ QR code เพื่อยืนยันของแท้ในคอนเสิร์ต
ศิลปินบางคนก็เริ่มหาทางสร้างสรรค์ในการรับมือ เช่น Billie Eilish ที่เปิดตัวไลน์เสื้อสไตล์ bootleg ของตัวเอง ด้วยดีไซน์แปลก ๆ ตั้งใจให้ดูเถื่อนตลก ๆ เพื่อชิงเกมจากพ่อค้าเสื้อปลอมก่อนเลย ขณะที่บางศิลปินหันไปใช้กลยุทธ์แบบดรอปสินค้ารุ่นพิเศษแบบจำนวนจำกัด หรือร่วมมือกับดีไซเนอร์ท้องถิ่น เพื่อให้สินค้าของแท้มีความพิเศษและน่าจับจองยิ่งขึ้น โดยหวังว่าแฟน ๆ จะเลือกของจริงแทนของเลียนแบบ
ขณะเดียวกัน วงการเสื้อ bootleg ก็ปรับตัวตามเหมือนกัน พ่อค้าในยุคใหม่มีความเข้าใจเทคโนโลยี ใช้ช่องทางอย่าง WhatsApp เพจ Facebook หรือแม้แต่โฆษณาบน TikTok เพื่อโปรโมต เสื้อวงลายเท่ ๆ ไปยังกลุ่มเป้าหมาย พวกเขามักเดินนำอยู่หนึ่งก้าวเสมอ ด้วยการโปรโมตในพื้นที่สีเทา ที่ลึกลับเกินกว่าจะไล่จับทัน
สิ่งที่น่าขำคือ อินเทอร์เน็ตที่เปิดโอกาสให้ศิลปินขายสินค้าของตัวเองไปทั่วโลก กลับกลายเป็นช่องทางให้ธุรกิจของเสื้อปลอมเข้าถึงลูกค้าได้โดยตรงเช่นกัน แฟนเพลงในชนบทอังกฤษสามารถสั่งซื้อเสื้อทัวร์ The Smiths ของปลอมจากโรงพิมพ์ในอินโดนีเซียได้ง่าย ๆ แค่ไม่กี่คลิก เศรษฐกิจนอกระบบนี้แม้วัดขนาดได้ยาก แต่ก็ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมดนตรีโดยรวมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน
ยังไงก็ตาม วัฒนธรรมเสื้อปลอมก็มีสิ่งจับต้องไม่ได้ที่เติมเต็มระบบนิเวศทางดนตรี มันช่วยรักษาภาพจำของศิลปินให้ยังอยู่ในกระแส แม้ในช่วงที่ไม่มีอัลบั้มหรือทัวร์ใหม่ ๆ มันจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ในระดับชุมชน บางดีไซน์ยังส่งอิทธิพลต่อแฟชั่นอย่างไม่น่าเชื่อด้วยซ้ำ หลายแบรนด์ไฮเอนด์เคยนำดีไซน์เสื้อเถื่อนของ Iron Maiden และ Metallica ขึ้นรันเวย์มาแล้ว
เสื้อปลอมเหล่านี้ยังสร้างพื้นที่ให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างคน การเห็นใครสวมเสื้อวงลายแปลก ๆ อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนาที่เสื้อจาก H&M ให้ไม่ได้ นักวิชาการด้านทรัพย์สินทางปัญญาคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า “เราไม่ควรปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์และการ tribute อย่างจริงใจของแฟนคลับ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องแน่ใจว่าศิลปินจะไม่ถูกเอาเปรียบในเชิงพาณิชย์โดยไม่มีผลตอบแทน” แม้เส้นแบ่งระหว่างสองสิ่งนี้อาจไม่เคยชัดเจนเลยก็ตาม

ชอบไปคอนเสิร์ตเพราะเป็นกิจกรรมที่ทำคนเดียวได้ และยังชอบแนะนำวงดนตรีใหม่ ๆ ผ่านตัวอักษรตลอดเวลา