เบื้องหลัง Toxic Criticism เหตุผลที่คนกล้าปากปีจอใส่ศิลปิน

by McKee
97 views
วิจารณ์ Toxic Criticism

หลังจากปล่อยเพลงไปไม่นาน ศิลปินหลายคนอาจได้รับคอมเมนต์ดี ๆ มากมายจากแฟนคลับที่ได้ลองฟังเพลงใหม่ของเขาแล้ว ก่อนจะมีใครซักคนที่เปิดประเด็นขึ้นมาด้วยคอมเมนต์ที่ว่า “ดนตรีคุ้น ๆ นะ”, “ก็อปใครมารึเปล่า”, “เพลงสั้นไปมั้ย” หรือ “โคตรห่วยเลย” กลายเป็นการเปิดประตูนรกให้อีกหลาย ๆ คอมเมนต์ถาโถมโจมตีศิลปินกันอย่างสนุกปาก

เหตุการณ์แบบเกิดขึ้นตลอดเวลาบนโลกอินเทอร์เน็ต มันคือภาพสะท้อนตรงไปตรงมาของสิ่งที่คนยุคนี้เรียกว่า “คำวิจารณ์” ทั้งที่จริงแล้วมันคือการทำร้ายจิตใจกันซึ่ง ๆ หน้า และสังคมออนไลน์พยายามทำให้สิ่งนี้เป็นเรื่องปกติ ศิลปินแทบทุกวงการ ตั้งแต่นักร้อง ป๊อปสตาร์ ไปจนถึงสายผลิตตัวน้อย ถูกบังคับให้คุ้นชินกับการโดนถล่มด้วยคำพูดโหดร้ายที่ถูกอ้างว่ามันคือรีวิว

ในยุคที่ใครก็ลุกขึ้นมาเป็นนักวิจารณ์ได้ แค่มีบัญชีโซเชียล คำติชมที่สร้างสรรค์มักจมหายไปในทะเลของคำด่าและการโจมตีตัวตน ลองเลื่อนดูคอมเมนต์ใต้โพสต์ของนักดนตรีชื่อดัง นักเขียน หรือดาราสักคนหนึ่ง คุณจะเห็นข้อความที่ไม่ได้มีสาระอะไรเลยนอกจากความโกรธเกรี้ยว คนพวกนี้มักอ้างว่านี่คือการแสดงความเห็น แต่พอข้ามเส้นบางเส้นไปแล้ว ความจริงใจก็กลายเป็นการคุกคามทันที

ทำไมบางคนถึงรู้สึกว่ามันคือหน้าที่ที่จะต้องทำลายศิลปินให้ย่อยยับ โดยอ้างว่ามันคือการวิจารณ์ นักจิตวิทยามองว่านี่คือส่วนผสมอันแปลกประหลาดระหว่างความไม่มั่นคงทางใจ กับแรงกระตุ้นจากวัฒนธรรมโลกออนไลน์ที่ชอบเห็นคนล้ม การเข้าใจกลไกนี้ช่วยให้เห็นทั้งด้านมืดของพวกท็อกซิก และช่วยให้เรามองออกว่าเส้นบาง ๆ ระหว่าง วิจารณ์ กับ คุกคาม มันอยู่ตรงไหนกันแน่

ประโยคที่ว่า “คำวิจารณ์แรง ๆ มักสะท้อนตัวคนพูดมากกว่าตัวศิลปิน” นี่ไม่เคยเกินจริง เพราะคำพูดที่ทำลายล้างส่วนใหญ่ไม่ได้พูดถึงงานศิลปะหรอก แต่มันสะท้อนความกลัว ความไม่มั่นคง หรือปมในใจของคนพูดเอง

บางครั้งความเกลียดนั้นมาจากความอิจฉา ไม่ชอบที่เห็นคนอื่นกล้าลงมือทำในสิ่งที่ตัวเองไม่กล้าทำ หลายครั้งคำพูดดูถูกเหล่านั้นก็เป็นการฉายภาพความกลัวในตัวเอง เพราะลึก ๆ ไม่เชื่อว่าตัวเองจะประสบความสำเร็จเหมือนเขาได้ และบางที ก็เป็นการปิดบังบาดแผลเก่า ๆ ของตัวเอง ด้วยการทำให้ความสำเร็จของคนอื่นดูไม่มีค่าอะไรขนาดนั้น

การตั้งตัวว่าอยู่คนละฝั่งกับศิลปิน มาจากความรู้สึกถูกคุกคามหรือรู้สึกด้อยกว่า เรียกว่า tall poppy syndrome เวลามีพุ่มไม้ต้นไหนสูงเกินไป คนบางกลุ่มจะอยากตัดให้เตี้ยลงแทนที่จะชื่นชมว่ามันโตดี การที่เรามองว่าความสำเร็จของใครบางคนมันมากเกินไป เขาไม่ได้ทำอะไรมากมายขนาดนั้น อาจพูดแทนใจเรามากกว่าที่คิด

นักจิตวิทยาอธิบายว่า การวิจารณ์แรง ๆ บางครั้งคือวิธีหนึ่งในการบริหารอำนาจที่ตัวเองมีหรือหลีกหนีจากความรู้สึกเป็นรอง ศิลปินที่กำลังประสบความสำเร็จจึงมักโดนก่อนใคร เพราะพวกเขามีในสิ่งที่คนท็อกซิกอยากมีบ้าง นิตยสาร i-D เคยเขียนไว้ตรง ๆ ว่า “คนในอินเทอร์เน็ตคือเกรียนคีย์บอร์ดที่ขับเคลื่อนด้วยความอิจฉา ความอาฆาต หรือความรู้สึกเกลียดตัวเอง

งานวิจัยหลายชิ้นก็ยืนยันสิ่งนี้เหมือนกัน พวกเกรียนคีย์บอร์ดส่วนใหญ่มักไม่ใช่นักวิจารณ์ที่สุขภาพจิตดีหรือมีเหตุผลอะไรหรอก แต่เป็นคนที่มีลักษณะนิสัยค่อนข้างน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะงานวิจัยด้านจิตวิทยาในปี 2014 ที่พบว่า คนที่ชอบบูลลี่หรือปั่นหัวคนอื่นในอินเทอร์เน็ตมักมีบุคลิกแบบ Dark Triad คือหลงตัวเอง (narcissism), ชอบล่อลวงและควบคุมคนอื่น (Machiavellianism) และมีแนวโน้มเป็นโรคจิต (psychopathy) บางรายยังมีความเป็นซาดิสม์ คือเห็นคนอื่นเจ็บปวดแล้วยิ่งรู้สึกดีกับตัวเอง ทำให้คนพวกนี้เลือกที่จะทำร้ายจิตใจคนบนโลกอินเทอร์เน็ตโดยไม่ต้องรับผิดชอบคำพูดของตัวเอง

ที่น่าสลดยิ่งกว่านั้นก็คือ งานวิจัยอีกชุดหนึ่งพบว่า คนกลุ่มนี้จำนวนไม่น้อย ก็เคยเป็นเหยื่อของการบูลลี่บนโลกออนไลน์มาก่อน หลายคนมีภาวะวิตกกังวล ซึมเศร้า หรือแม้แต่เคยคิดสั้นมาก่อนด้วยซ้ำ แต่พวกเขาเลือกที่จะส่งต่อความรู้สึกแย่ ๆ เหล่านั้นให้คนอื่นต่อไป จนกลายเป็นวงจรอุบาท

แน่นอน ไม่ใช่ทุกคนที่คอมเมนต์แรง ๆ จะเป็นโรคจิต บางคนก็แค่เป็นคนที่นิสัยไม่ดีเฉย ๆ ขาดความมั่นใจนิดหน่อย และต้องการเรียกร้องความสนใจในโลกออนไลน์ ซึ่งน่าเศร้าที่วิธีเร็วที่สุดที่จะโดนมองเห็น คือการพูดอะไรแรง ๆ ต่อสิ่งที่มีอิทธิพลต่อคนในวงกว้าง และการด่าศิลปินดัง ๆ นี่แหละ คือทางลัดสุดคลาสสิก

หลายคนเสพติดการได้เป็นคนมีอำนาจบนโลกอินเทอร์เน็ต นักจิตวิทยาใน Psychology Today เคยอธิบายไว้ว่า หนึ่งในแรงจูงใจของคนที่ชอบวิจารณ์เกินขอบเขต เพราะอยากรู้สึกว่าตัวเองสำคัญและมีพลัง การบูลลี่ศิลปินโดยเฉพาะคนดัง มันทำให้คนธรรมดาที่ไร้ตัวตนกลายเป็นคนดังได้ในพริบตา เมื่อวานคุณอาจยังเป็นใครก็ไม่รู้ แต่วันนี้คอมเมนต์ของคุณทำให้ดาราเสียหน้าได้ แค่นั้นก็รู้สึกชนะแล้ว

อีกหนึ่งพฤติกรรมสุดคลาสสิกของกลุ่มเกรียนคีย์บอร์ด คือทำเพราะมันสนุกดี มองการด่าเป็นเกมกีฬาอย่างหนึ่ง แข่งกันทิ่มแทงคนอื่นด้วยคำพูดแล้วแก้ตัวง่าย ๆ ว่า “แค่ล้อเล่น อย่าคิดมากสิ” พวกนี้จะพูดแนวแซวเล่นหรือโยนความผิดให้ศิลปินว่าใจบางเองรึเปล่า เพื่อลดทอนพฤติกรรมไม่น่ารักของตัวเอง

หน่วยงาน eSafety Commission ของออสเตรเลียอธิบายว่า กลุ่มคนที่ตั้งใจปั่นให้เกิดดราม่าบางครั้งพูดสิ่งที่ตัวเองก็ไม่ได้เชื่อ เพียงเพื่อดูคนอื่นเลือดขึ้นหน้า พวกเขาซ่อนอยู่หลังชื่อปลอม พูดอะไรก็ได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบ และรู้สึกมีอำนาจมากกว่าตอนพูดต่อหน้าใครจริง ๆ

โลกออนไลน์มีพลังพิเศษบางอย่างที่ทำให้เรื่องเล็ก ๆ กลายเป็นสงครามโลกในชั่วพริบตา โดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดีย ที่เส้นแบ่งระหว่างคนธรรมดากับศิลปินเบลอจนแทบไม่เหลือ ใคร ๆ ก็สามารถพิมพ์คำหยาบใส่ศิลปินระดับโลกได้ในไม่กี่วินาที โดยแทบไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย

นักจิตวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า online disinhibition effect หรือพูดง่าย ๆ ว่า “ทำไมคนถึงกล้าทำตัวเลวบนออนไลน์มากกว่าชีวิตจริง” เมื่อซ่อนอยู่หลังหน้าจอ โดยเฉพาะเมื่อไม่ได้เปิดเผยตัวตน กลไกควบคุมตัวเองที่ปกติเรามีเวลาคุยต่อหน้าก็หายวับไป เราไม่เห็นสีหน้าเจ็บปวดของคนที่ถูกด่า ไม่รู้สึกถึงผลสะเทือนของคำพูดนั้น พอไม่มีแรงต้านตรงหน้า หลายคนเลยปล่อยด้านมืดในใจออกมาเต็มที่

นักจิตวิทยาคนหนึ่งเคยบอกกับ Wired ว่า “สิ่งนี้ทำให้คนรู้สึกว่าปลอดภัยหลังจอคอมพิวเตอร์ ทำให้กล้าพูดหรือทำในสิ่งที่ในชีวิตจริงไม่มีวันกล้า” ในชีวิตจริง คุณคงไม่กล้าแม้จะเดินเข้าไปโห่ใส่นักร้องต่อหน้า หรือไม่ทางแพ้เสียงในหัวที่จะกล้าบอกนักเขียนที่กำลังแจกลายเซ็นต์ในงานหนังสือว่า “หนังสือคุณห่วยมาก” เพราะยังมีมารยาททางสังคม (social norms) กับความเห็นอกเห็นใจขั้นพื้นฐาน (basic empathy) อยู่

แต่บนโลกออนไลน์ สิ่งเหล่านี้กับมลายหายไปหมดสิ้น เหลือเพียงชื่อบัญชี กับรูปโปรไฟล์กลวง ๆ และข้อความแย่ ๆ ศิลปินที่อยู่หลังจอนั่นก็ไม่ต่างจากกระสอบทรายที่ให้ใครไม่รู้มารุมซัดเล่น หลายคนก็ลืมไปแล้วว่าฝั่งตรงข้ามของข้อความมีคนจริง ๆ ที่กำลังอ่านอยู่

อีกส่วนผสมสำคัญของเหตุการณ์นี้คือ อัลกอริทึมแห่งความเกลียด (algorithms of outrage) โซเชียลมีเดียอยู่ได้ด้วยเอนเกจเมนต์ และไม่มีอะไรดึงคนให้อยู่ได้นานเท่าความโกรธ ยิ่งคนเถียง ยิ่งแชร์ ยิ่งคอมเมนต์ ระบบก็ยิ่งได้เงินจากโฆษณา แพลตฟอร์มจึงสร้างแรงจูงใจให้ผู้คนใช้เวลาด่ากันบนแพลตฟอร์มให้ได้นานที่สุด

โพสต์ที่ด่าแรง ๆ หรือแซะกันตรงไปตรงมาโดยไม่ต้องนั่งเดาชื่อย่อ มักมีโอกาสไวรัลมากกว่าโพสต์ที่พูดในแง่บวก งานวิจัยใน PNAS ปี 2021 พบว่า โพสต์ที่ใช้คำพูดเพื่อกระตุ้นความโกรธ โดยเฉพาะข้อความที่โจมตีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งอย่างตรงไปตรงมา มีแนวโน้มถูกแชร์มากขึ้นถึง 70% พูดให้เห็นภาพ ถ้าคุณโพสต์ว่า “แฟนเพลงวงนี้โคตรโง่” คุณจะได้ยอดแชร์มากกว่าการเขียนรีวิวเพลงอย่างสุภาพแน่นอน

“โพสต์แบบนี้ทำลายความซับซ้อนของประเด็นจนเหลือแค่สองฝั่ง ถ้อยคำสุดโต่งถูกใช้เพื่อดึงดูดการตอบสนองทันที นั่นแหละเป้าหมายของคอนเทนต์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเอนเกจเมนต์” และมันได้ผลจริง ๆ เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งนี้ค่อย ๆ บิดเบือนบทสนทนาในโลกออนไลน์ให้รุนแรงก้าวร้าวขึ้นเรื่อย ๆ

ในชุมชนออนไลน์ที่อยู่ได้ด้วยความแซะ ความกัด และความขมขื่น การเป็น “คนปากแจ๋วที่สุด” กลับกลายเป็นสถานะทางสังคม ใครด่าได้แสบกว่า ก็ได้เสียงหัวเราะและยอดไลก์จากคนในโซเชียล แพลตฟอร์มอย่าง Twitter (หรือ X ที่ใครก็ยังไม่ชินจะเรียกซักที) ยิ่งทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นไปอีก แค่แท็กชื่อศิลปิน ความเกลียดก็วิ่งตรงถึงเจ้าตัวในพริบตา จากทวิตเดียว อาจกลายเป็นกองทัพธงแดงที่พร้อมจะถล่มทุกอย่างให้ราบคาบ

นักจิตวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า mob mentality สิ่งที่เริ่มจากคำเหน็บสั้น ๆ ของคนเดียว สามารถบานปลายเป็นการรุมยำบนโลกออนไลน์เต็มรูปแบบได้ในไม่กี่ชั่วโมง พวกเกรียนคีย์บอร์ดมักจงใจปลุกปั่นให้เกิดฝูงชนเพื่อให้การโจมตีดูชอบธรรมขึ้น

บางครั้งมันเริ่มจากแอคเคานต์แฟนคลับบ้านเบส ที่โพสต์แซะเพลงใหม่ของศิลปินอีกคนว่า “ขยะชัด ๆ” ไม่กี่นาทีต่อมา คนอีกนับร้อยก็เข้ามาสมทบ “ตกต่ำแล้ว”, “ขี้เกียจจัง” จากนั้นก็กลายเป็นสงครามแฟนคลับเต็มตัว แต่ละฝั่งพร้อมจะลากศิลปินของอีกฝ่ายลงไปในโคลน ชวนกันไปรีพอร์ตคลิปของศิลปินฝั่งตรงข้าม สแปมคอมเมนต์แย่ ๆ ไปจนถึงการปั่นเทรนด์ให้ฝ่ายตรงข้ามเสียชื่อ

สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ยุ่งยากขึ้นไปอีก คืออำนาจระหว่างศิลปินกับแฟนคลับมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป สมัยก่อนศิลปินอยู่บนเวทีส่วนคนดูอยู่ข้างล่าง แต่ตอนนี้คนธรรมดาที่มีผู้ติดตามแค่ 50 คนก็สามารถ “แซะ” ศิลปินระดับโลกให้สะเทือนได้ในโพสต์เดียว ชื่อเสียงไม่ได้ปกป้องพวกเขาจากคำด่าได้ เพราะทุกอย่างมันเด้งขึ้นมาบนฟีดของเขาโดยตรง

และเมื่อเกรียนคีย์บอร์ดเหล่านี้ รวมตัวกันบนโลกออนไลน์มากพอ ก็สามารถแบนหรือข่มขู่ศิลปินได้จริง ตั้งแต่บอยคอตเพลง อัลบั้ม ไปจนถึงขั้นทำให้งานอีเว้นต์ต้องยกเลิกเลยได้เหมือนกัน

แถมถ้าศิลปินเผลอตอบกลับหรือหลุดอะไรออกไป มันก็กลายเป็นข่าวขึ้นหน้าเพจต่าง ๆ ทันที แถมยังถูกมองว่ารังแกคนธรรมดาอีก โดยอ้างชื่อเสียงที่มีมากกว่า กลายเป็นหลุมพรางที่ศิลปินไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ พวกเกรียนคีย์บอร์ดได้ในสิ่งที่อยากได้ ศิลปินก็ต้องอดทน และบทสนทนาที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้สร้างคุณค่าอะไรให้ศิลปะเลย แถมยังถูกกลบด้วยดราม่าจนหมด

เพราะเอาเข้าจริง ไม่ใช่ทุกคำพูดด้านลบจะท็อกซิก ศิลปะควรถูกตั้งคำถามและถกเถียงได้อยู่แล้ว คำวิจารณ์ที่คมและมีเหตุผลคือเครื่องมือให้ศิลปินเติบโต และให้คนดูเข้าใจงานลึกขึ้น แต่เส้นแบ่งระหว่างคำแนะนำจริงใจกับคำด่าทำลายล้าง มันบางมาก และบ่อยครั้งก็เบลอหายไปอย่างง่ายดาย

สิ่งที่แยกทั้งสองแบบออกจากกันได้ชัดที่สุดคือ “เจตนา” คำวิจารณ์ที่สร้างสรรค์เกิดจากความตั้งใจจะช่วยให้ดีขึ้น หรืออย่างน้อยก็พยายามเข้าใจและประเมินงานอย่างจริงจัง ส่วนคำวิจารณ์ที่ท็อกซิก มักเกิดจากความต้องการทำให้คนอื่นเจ็บปวดมากกว่าจะเข้าใจงาน

นักเขียนคนนึงเคยพูดไว้อย่างเจ็บปวดว่า “คำวิจารณ์ที่ทำลายล้างมักแสร้งทำตัวเหมือนคำติเพื่อก่อ แต่จริง ๆ แล้วถูกออกแบบมาเพื่อเหยียบศิลปินให้จมดิน” สัญญาณบ่งชี้ของมันชัดเจน คอมเมนต์ที่โจมตีแบบกว้าง ๆ และพุ่งเข้าหาตัวคน (“เพลงนี้ขยะ คนทำก็ขยะ”) หรือการเยาะเย้ยแบบสนุกปาก เช่น “แมวที่บ้านฉันยังทำเพลงได้ดีกว่า” พวกนี้ไม่ได้ต้องการให้งานดีขึ้นหรอก แค่อยากเอาสะใจเท่านั้น

ในทางกลับกัน คำวิจารณ์จริงจังจะพูดกับงานไม่ใช่ตัวตนของคนทำ อย่าง “ท่อนฮุคดูซ้ำ ๆ เมื่อเทียบกับเพลงก่อนของวง” หรือ “ช่วงกลางเรื่องเดินช้าเกินไป ทำให้ความตึงเครียดลดลง” มันมีเหตุผล มีประเด็น มีพื้นที่ให้คิดต่อ และสำคัญสุด คนวิจารณ์แบบสร้างสรรค์ไม่มองศิลปินเป็นศัตรู แต่เป็นคนที่ “น่าจะทำได้ดีกว่านี้” และยังมีความเคารพต่อตัวบุคคลอยู่ในตัวอักษรเหล่านั้นอยู่เสมอ

อีกจุดที่ต่างกันคือเปิดรับการถกเถียงหรือเปล่า นักวิจารณ์ที่มีเจตนาดี มักพร้อมจะอธิบายหรือรับฟังถ้าเจ้าของงานมีมุมมองต่างออกไป คนพูดต้องการเข้าใจจริง ๆ ไหม หรือแค่ระบายอารมณ์ คำวิจารณ์ดี ๆ อาจตรงและแรง แต่ไม่โหดร้าย คำวิจารณ์ที่สร้างสรรค์ต่อให้เจ็บ ก็ยังมีอะไรให้กลับไปคิด คำด่าท็อกซิกต่อให้ดังแค่ไหนก็มีแต่เสียงรบกวน

แม้จะไม่จำเป็นต้องเป็นศิลปินถึงจะวิจารณ์ได้ แต่ถ้าคนหนึ่งชอบด่าคนอื่นเป็นอาชีพ โดยไม่เคยสร้างอะไรของตัวเองเลย โอกาสสูงมากที่สิ่งที่พูดมาจะสะท้อนปมส่วนตัวมากกว่า คนที่เคยลงแรงสร้างอะไรซักอย่างมักเข้าใจดีว่ามันยากแค่ไหน เขาอาจวิจารณ์แรงแต่คงไม่เยาะเย้ยถากถาง

“คนที่สร้างสรรค์จริง ๆ จะไม่ออกมาใช้พื้นที่สาธารณะเพื่อเหยียบย่ำงานของคนอื่นหรอก พวกเขาจะเอาพลังนั้นไปสร้างอะไรของตัวเองแทน”

เมื่อเข้าใจทุกอย่างแล้ว อีกหนึ่งคำถามทิ้งท้ายกันไปกับบทความนี้ … แล้วศิลปินควรทำยังไงกับโลกแบบนี้ดี?

การรู้ว่าคำวิจารณ์ท็อกซิกเหล้านี้ ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเราเลย อาจทั้งปลอบโยนและเจ็บใจในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าคุณจะสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมหรือยอดแย่แค่ไหน คนที่ตั้งใจจะด่าก็ยังจะด่าอยู่ดี เพราะมันตอบสนองความต้องการของเขา ไม่ใช่ของเรา

บล็อกเกอร์คนหนึ่งเคยเขียนไว้ว่า “คำวิจารณ์ที่แย่ ๆ ไม่ได้สะท้อนผลงานของคุณ ไม่ได้สะท้อนตัวตนของคุณเลยด้วยซ้ำ มันก็ไม่มีความหมายอะไรทั้งนั้น” ลองคิดดู คอมเมนต์แรง ๆ ที่ทำให้คุณร้องไห้เมื่อคืน จริง ๆ แล้วไม่มีอะไรเกี่ยวกับพรสวรรค์หรือคุณค่าของคุณเลย มันแค่เงาสะท้อนของใครบางคนที่กำลังฉายความไม่มั่นคงของตัวเองใส่คุณเท่านั้น เข้าใจจุดนี้ได้ ก็อาจช่วยให้ใจเบาขึ้นนิดหนึ่ง อย่างน้อยในวันที่จิตแข็งพอ

อีกมุมหนึ่งที่น่าคิดคือ การมีคนเกลียดอาจเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังทำอะไรถูกทาง เพราะงานที่ทรงพลังมักปลุกทั้งความรักและความเกลียดพร้อมกันเสมอ มีคนเคยกล่าวไว้ว่า ศิลปะชั้นยอดของโลกส่วนมากถูกทั้งบูชาและถูกเกลียดในเวลาเดียวกัน

ยิ่งผลงานคุณเข้าถึงผู้คนมากเท่าไร จำนวนคนที่ไม่ชอบก็ย่อมมากขึ้นตามไปด้วย U2 เป็นวงที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์ และก็น่าจะมีคนเกลียด U2 มากกว่าคนเกลียดเราแน่นอน แต่วงก็ยังคงเล่นเพลงต่อไปโดยไม่เดือดร้อนกับเสียงเหล่านั้น ไม่ใช่เพราะพวกเขาเฉยชา แต่เพราะเข้าใจแล้วว่าคุณไม่มีวันเป็นที่ชอบของทุกคน

ในฐานะแฟนเพลง การเข้าใจจิตวิทยาของพวกปากแจ๋วในเน็ตก็ช่วยให้เราวางตัวได้ดีขึ้น มันเตือนให้เราตรวจสอบตัวเองทุกครั้งก่อนจะคอมเมนต์อะไรว่า เราพูดเพราะอยากช่วยให้งานดีขึ้นจริง ๆ หรือแค่ระบายอารมณ์ เรากำลังพูดถึงงานหรือกำลังเหน็บตัวศิลปินกันแน่

และที่สำคัญ มันเตือนให้เราหยุดไหลตามกระแสลบ ๆ ที่โซเชียลชอบมาก การรุมคอมเมนต์อาจทำให้รู้สึกสนุกหรือมีส่วนร่วมในชั่วขณะ แต่สุดท้ายมันก็แค่ทำให้พื้นที่ถกเถียงปนเปื้อน คุณเกลียดหนังหรือเพลงสักเรื่องได้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องแท็กเจ้าของงานพร้อมคำด่าหยาบ ๆ ใส่เขาหรอก

ลองเปลี่ยนจาก “อัลบั้มนี้ห่วยแตก ศิลปินควรเลิกทำเพลงไปซะ” มาเป็น “อัลบั้มนี้ไม่ค่อยตรงรสนิยมผม รู้สึกว่าเนื้อเพลงยังซ้ำไปหน่อย” ทั้งคู่คือความเห็นลบเหมือนกัน แต่ต่างกันที่ความเคารพในความเป็นมนุษย์ของคนสร้าง”

คำวิจารณ์ดี ๆ ยังมีอยู่มาก ทั้งจากนักข่าว ศิลปินร่วมวงการ หรือแฟนเพลงที่น่ารักอีกมากมาย มันไม่ได้หมายความว่าเราต้องปลอบใจศิลปินตลอดเวลา แต่หมายถึงการวิจารณ์ด้วยเจตนาดีและปราศจากความแค้นส่วนตัว คำวิจารณ์ที่แรงแต่ซื่อสัตย์ สามารถเป็นแรงผลักให้ศิลปินโตขึ้นได้

Cardi B คือหนึ่งในศิลปินที่โดนวิจารณ์บนโลกออนไลน์อย่างหนักหน่วงมาตลอด ทุกครั้งที่ปล่อยเพลงจะมีคำพูดเหยียดเชื้อชาติที่หยาบคายบัญชีโซเชียลนิรนามที่ออกมาทวิตไล่จับผิดทุกอย่างในชีวิตเธอตั้งแต่เพลง การแต่งตัว ไปจนถึงชีวิตแต่งงานของเธอ จนความอดทนของเธอหมดลง เธอตอบกลับด้วยข้อความด่ากลับอย่างเดือดดาล

“พวกแกทำร้ายความรู้สึกฉัน พูดอะไรแย่ ๆ เกี่ยวกับตัวฉัน นี่แหละเหตุผลที่ฉันไม่อยากปล่อยเพลงอีกแล้ว” และในทวิตที่มืดหม่นที่สุด เธอทวิตออกมาว่า “ฉันอยากยัดลูกปืนใส่หัวตัวเองไปเลย”

ภายหลัง Cardi B เองก็ออกมาพูดว่า เธอจะไม่ให้คำพูดของคนอื่นมากำหนดคุณค่าของตัวเองอีก แทนที่จะหายไป เธอกลับยืนขึ้นด้วยการเป็นตัวเองมากขึ้น เธอเปลี่ยนประสบการณ์ที่ขมขื่นให้กลายเป็นบทเรียนเรื่องความเห็นอกเห็นใจและการเป็นตัวของตัวเอง

“ฉันจะไม่ยอมให้คำพูดของพวกเขามานิยามฉัน ฉันจะไม่ยอมแพ้”

เช่นเดียวกับศิลปินทุกคนที่ยังคงสร้างผลงานต่อไป แม้จะถูกเย้ย ถูกด่า ถูกหัวเราะ ทุกครั้งพวกเขาก็ยังเลือกที่จะทำต่อแทนที่จะหยุด นั่นคือการขีดเส้นให้ชัด ๆ ระหว่างคำวิจารณ์กับความใจร้าย

วิธีรับมือคำวิจารณ์แย่ ๆ อาจไม่ใช่การสู้กลับ แต่คือการนิยามสิ่งที่เราเป็น เราควบคุมไม่ได้ว่าใครจะพูดอะไร แต่เราควบคุมได้ว่าเราจะเลือกฟังใคร เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่มีคุณค่าจะอยู่กับเราตลอดไป ส่วนคำด่าบน X เมื่อวานนี้ก็จะจางหายไปในอากาศ เพราะพวกเขาก็ไปด่าคนอื่นกันต่อแล้ว

ถ้าวันหนึ่งคุณตกเป็นเป้าของพวกปากแจ๋ว อย่าปล่อยให้คนพวกนั้นย้ายเข้ามาโดยไม่จ่ายค่าเช่าในหัวเราฟรี ๆ อย่าให้เสียงที่ไม่ได้มีความหมายกับเรามาหยุดเสียงในหัวของเราเอง

+ posts

ชอบไปคอนเสิร์ตเพราะเป็นกิจกรรมที่ทำคนเดียวได้ และยังชอบแนะนำวงดนตรีใหม่ ๆ ผ่านตัวอักษรตลอดเวลา

Related Articles

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy