ปูน—ธนบดี คัชมาตย์ ผู้ปลุกปั้นเมืองอยุธยาให้ขึ้นมาเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงดนตรี ผ่านงาน ‘โฟล์คข้างวัด’ และ A Youth Thaya

by McKee
262 views
โฟล์คข้างวัด ปูน ธนบดี คัชมาตย์ Junk House Stockholm Records A Youth Thaya อยุธยา

ถ้าไม่มีงาน โฟล์คข้างวัด เชื่อว่าหลายคนก็อาจจะไม่เคยไปเมืองอยุธยาเลยซักครั้งในชีวิต จากงานเล็ก ๆ ที่รวบรวมวงโฟล์กไว้ กลายเป็นเทศกาลดนตรีที่ดึงดูดให้คนฟังเพลงหลายรุ่นแห่กันมาเที่ยวที่เมืองนี้ต่อเนื่องจนเป็นปีที่ 5 แล้ว เบื้องหลังงานที่อบอุ่นและเป็นกันเอง คือ ปูน—ธนบดี คัชมาตย์ อดีตนักบอลอาชีพที่ผันตัวมาสร้างซีนดนตรีบ้านเกิดให้คึกคักขึ้นด้วยมือตัวเอง

จาก Junk House Music Bar ที่กลายเป็นตำนานของวงนอกกระแสในเมืองรอง ไปจนถึงค่ายเพลง Stockholm Records ที่เคยปลุกไฟให้วงโฟล์กรุ่นใหม่ได้มีที่ยืน ปูนก็ยังขยับจากงานดนตรีไปสู่งาน A Youth Thaya ที่สร้างพื้นที่สร้างสรรค์ให้เด็กอยุธยาได้กล้าทำสิ่งที่รัก ไม่ต่างจากที่ตัวเขาเคยเลือกจะทำเมื่อสิบปีก่อน

COSMOS Creature วันนี้ เราได้มีโอกาสคุยกับปูนถึงชีวิตที่โลดโผนสุด ๆ ก่อนจะเข้ามาอยู่ในวงการดนตรี ไปจนถึงเบื้องหลังสนุก ๆ กับการทำโฟล์กข้างวัด และเหตุผลที่ทำไมทุกคนถึงไม่ควรพลาดงาน A Youth Thaya ที่จะจัดขึ้นในเดือนตุลาคมนี้

โฟล์คข้างวัด ปูน ธนบดี คัชมาตย์ Junk House Stockholm Records A Youth Thaya อยุธยา

ตั้งแต่เด็กเลยนะ ผมมีความฝันเดียวเลยคืออยากเป็นนักบอลอาชีพ ก็เล่นบอลให้โรงเรียนตอนอยู่กรุงเทพฯ เล่นจตุรมิตร ติดเยาวชนทีมชาติ แล้วก็ได้เล่นอาชีพ เล่นไทยลีกประมาณ 3-4 ปี แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้ติดทีมชาติ รู้สึกว่าความฝันมันไปไม่ถึงอะ คือการเป็นนักบอลอาชีพในไทยมันก็อยู่ได้แหละ แต่ผมคิดว่าถ้าเกษียณตอนสามสิบต้น ๆ แล้วค่อยเริ่มอาชีพใหม่ มันน่าจะไม่ทัน ก็เลยรู้สึกว่ามันไม่มั่นคง ตอนนั้นอายุแค่ 23 เอง แล้วก็รู้ตัวว่าเราไม่เก่งขนาดจะไปเล่นต่างประเทศได้ ซึ่งถ้าไปได้รายได้มันก็จะมั่นคงกว่า เมืองไทยตอนนั้นเงินไม่เยอะ ก็เลยคิดว่าโอเค เบนเข็มดีกว่า

แต่บังเอิญว่าเราชอบเรื่องดนตรีอยู่แล้ว ฟังเพลงมาตลอด เป็นเด็กแฟตมาตั้งแต่ ม.1 ไปกับพี่สาวกับเพื่อน ฟังเพลงนอกกระแสมาตลอด ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่าชอบ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรได้ พอเลิกเป็นนักบอลก็ยังไม่รู้จะทำอะไรเหมือนกัน เคยลองสมัครงานหลายที่แบบค้นหาชีวิต ขอแค่อย่างเดียว ไม่อยากกลับอยุธยา ที่บ้านพ่อแม่ทำร้านวัสดุก่อสร้าง ถ้าเราล้มเหลวที่กรุงเทพฯ ก็ต้องกลับไปช่วยงานที่บ้าน แต่เรารู้สึกว่าไม่อยากทำตรงนั้น

เคยสมัครเป็นยามด้วยนะ แต่เขาไม่รับ เพราะเรามีวุฒิสูงเกินไป แล้วสุดท้ายเดินผ่านแถวสีลม เจอโฮสเทลแห่งหนึ่งก็เลยลองสมัครดู ภาษาอังกฤษก็พอได้ เขาก็รับเลยเป็นรีเซปชันที่นั่น เลือกที่นี่เพราะตอนสัมภาษณ์เขาบอกว่าใส่ขาสั้น รองเท้าแตะมาทำงานได้เลย สบาย ๆ ดื่มเหล้าได้ด้วย มีสวัสดิการเบียร์ให้ด้วย คือโคตรดี แล้วหน้าที่ก็คือทำให้แขกสนุก ต้อง entertain แขกด้วย ดื่มด้วย ขายเบียร์ด้วย คือเหมือนเราเป็นเด็กเอ็นยุคแรก ๆ เลยของโฮสเทล สนุกมาก (หัวเราะ)

แล้วที่บ้านพ่อมีตึกแถวร้างอยู่หลังหนึ่ง ก็เลยกลับไปดู แล้วคิดว่าเอามาทำโฮสเทลของตัวเองดีกว่า แล้วมันก็กลายเป็น community ที่มีแต่ฝรั่ง เราก็แลกเพลงกัน พูดคุยกันทุกวัน ฟังเพลง แลกเปลี่ยนกันตลอด พอเปิดโฮสเทลก็อยู่กับฝรั่งเยอะ บางวันก็เล่นดนตรีกันเอง เราก็เลยคิดว่าอยากจัดอีเวนต์ ก็เริ่มหาวงดนตรี ตอนนั้นขี่จักรยานไปร้านเหล้าในอยุธยา หาเลยว่ามีวงไหนน่าสนใจ ก็ไปเจอกับ Abandoned House ตอนนั้นยังไม่ได้ทำเพลงกันเลย เป็นบาสกับไมค์ เล่นโฟล์คแนวที่เราชอบเลย พวก Jack Johnson, John Mayer หรือของไทยอย่าง Desktop Error กับ Selina and Sirinya

เราก็เลยชวนมาเล่นที่โฮสเทลก่อน เป็นอีเวนต์แรก ปิ้งบาร์บีคิวกับแขก ขำ ๆ สนุก ๆ แล้วจากนั้นก็จัดต่อมาเรื่อย ๆ โฮสเทลมันจะมีเรื่องเพลงอยู่เสมอ เพราะแขกต่างชาติก็มาแชร์เพลงกับเรา เราก็เปิดแผ่นเสียงที่ล็อบบี้ แล้วก็แลกเพลงกันตลอด แล้วข้าง ๆ โฮสเทลมีห้องว่างอยู่สองห้อง เป็นของไปรษณีย์เก่า ตอนนั้นเขาย้ายออกพอดี เราก็ไปถามค่าเช่าเพราะมันใช้เสียงได้แล้ว เลยคิดว่าเปิดร้านเหล้าเลยดีกว่า เพราะยังไงเราก็กินทุกวันอยู่แล้ว (หัวเราะ) ก็เลยเปิดร้านชื่อ Junk House Music Bar นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นเลย

จากนั้นมันก็ขยายขึ้นเรื่อย ๆ เพราะพอมีร้านของตัวเอง เราก็จัดอีเวนต์ได้ เหมือนเป็นไลฟ์เฮาส์ขนาดเล็ก แล้วตอนนั้นก็มีแรงบันดาลใจจากร้านที่เราเคยไปอย่าง Play Yard, Loyshy, มหานิยม อะไรพวกนี้ ก็เลยคิดว่า เราน่าจะทำได้เหมือนกัน ก็เลยเริ่มจากตรงนั้นเลยครับ

ไม่มีเลยครับ เพราะฉะนั้นตอนที่เราเริ่มต้นเนี่ย เรายืนยันได้เลยว่าวงในอยุธยาที่ทำเพลงเองจริง ๆ เกิดขึ้นจาก Junk House หมดเลย เราอยู่กันแบบ community อยู่ตรงนั้นทั้งวันทั้งคืน ทำงานด้วยกัน ใช้ชีวิตอยู่ตรงนั้นเลย ก่อนหน้านั้นไม่มีใครทำเพลงเองเลย ส่วนใหญ่พูดตรง ๆ เลยว่า คนอยุธยาในยุคนั้นจะให้ความเคารพวงดนตรีที่เล่น cover ได้เนียน ๆ มากกว่า คือทุกร้านก็จะมีวง cover คล้าย ๆ กันหมด

ซึ่งตอนนั้น Junk House มันก็เหมือนแกะดำเลยนะ ลูกค้าบางคนก็เข้ามาด่าเลยก็มี เพราะวงเราเล่นไม่เหมือนร้านอื่น แล้วก็ไม่ซ้ำกับใคร นักดนตรีที่เล่นที่ร้านเราก็ไม่ได้ไปเล่นร้านอื่น เพราะแนวเพลงมันไม่แมส มันจะคล้าย ๆ มหานิยม ที่มีเด็กอยากเล่นเพลงที่ตัวเองชอบ แต่ร้านอื่นไม่รับ ส่วนลูกค้าพอมาเจอร้านเราก็อยากฟังเพลงฮิตเพลงดัง ซึ่งเราก็ไม่มีให้เขา เขาก็ไม่พอใจด่าเราก็มี คือมันก็เป็นลูปอยู่อย่างนั้นแหละ

จะเรียกว่าแจ้งเกิดก็ไม่เชิงหรอกนะ แต่เอาเป็นว่าพอเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นละกัน ก็มีวงอย่าง Abandoned House, The Luis แล้วก็ตอนนั้นเราก็ทะลึ่งทำค่ายเพลงขึ้นมาด้วย ชื่อว่า Stockholm Records (หัวเราะ) วงในค่ายก็มี Yerm, Jinta แล้วก็อีกหลายวงเลย ทำอยู่ประมาณ 3 ปี แล้วก็เจ๊ง (หัวเราะ) คือช่วงนั้นมันไม่มีความรู้ไง ใช้แต่ทุนตัวเองล้วน ๆ ก็ใช้แค่คอนเนกชันที่มีกับความกล้าแบบเด็ก ๆ นั่นแหละ สุดท้ายก็ไม่รอด

ตอนนี้ในอยุธยาจริง ๆ แล้ว อาจจะยังไม่มีวงที่ทำเพลงเองในซีนที่เราชอบเลย หรือถ้ามีก็อาจจะตกหล่นไปบ้าง อย่างวงลูกทุ่งหรือวงที่อยู่คนละวงการกัน อันนี้อาจจะยังไม่เคยเจอ แต่ถ้าพูดถึงวงที่อยู่ในแนวที่เราสนใจ แล้วเคยทำร่วมกันมา ก็ยังไม่มีใครทำต่อเนื่องจริงจังนะครับ พวกน้อง ๆ ที่เคยเริ่มทำกัน ก็ไม่ได้อัปเดตผลงาน ไม่ได้ปล่อยอะไรใหม่ ๆ ออกมาแล้ว ซึ่งมันก็น่าเสียดายนะ แต่ก็เข้าใจได้

มันไม่ได้มีระบบรองรับอะไรแบบในกรุงเทพเลย มันไม่ได้ active เท่าไง ไม่มีพื้นที่ ไม่มีเวที ไม่มีการขับเคลื่อนที่ต่อเนื่อง เหมือนที่บอกไปก่อนหน้านี้นะครับ ว่าศิลปินจากกรุงเทพฯ จะไปเล่นที่ต่างจังหวัดได้เพราะมีคนจัด มีงบ มีการซัพพอร์ต แต่สำหรับเด็ก ๆ ที่ทำเพลงกันเอง ไม่มีค่าย ไม่มีทุน ต้องทำเองทุกอย่าง ตั้งแต่แต่งเพลง อัดเพลง หาทางโปรโมต มันยากมากนะ

แล้วแค่จะเข้าห้องอัดที ก็ต้องใช้เงินเยอะแล้ว ไหนจะค่ามิกซ์ ค่าเดินทาง ค่าโปรโมตอีก โชคดีที่ยุคนี้ยังพอมีทางเลือก อย่างโฮมสตูดิโอ หรือทำเพลงกันเองที่บ้านได้บ้าง แต่มันก็ยังมีข้อจำกัดเยอะอยู่ดี โดยเฉพาะสำหรับเด็กต่างจังหวัดที่ต้นทุนต่ำกว่าคนในเมือง ทั้งในแง่การเงินและโอกาสครับ

ถ้าย้อนกลับไปตอนเริ่มต้นจริง ๆ เลยนะ ก็เป็นยุคแฟตเรดิโอนั่นแหละ ตอนนั้นก็ฟังเพลงที่เปิดในแฟตทั่วไป อย่าง Monotone, Scrubb ประมาณนั้น แล้วก็ Modern Dog ด้วย แต่ถ้าพูดถึงช่วงที่ทำให้เริ่มรู้สึกสนใจจริง ๆ ว่าแบบ เฮ้ย เพลงมันแตกต่างจากสิ่งที่เราเคยได้ยินในสื่อทั่วไปนะ ก็น่าจะเป็นยุคของ Bakery Music ตอนนั้นฟังตามพี่สาวอะไรแบบนั้น ฟังไปเรื่อย ๆ ก็แบบ โห เพลงไทยมันมีแบบนี้ด้วยเหรอวะ

แล้วมันก็เป็นจุดเริ่มที่ทำให้เราฟังต่อไปเรื่อย ๆ จนรู้สึกอินมากขึ้นเรื่อย ๆ จริง ๆ

ตอนนั้นจัดงานในร้านจนเริ่มรู้สึกเบื่อแล้ว เพราะจัดบ่อยมาก เดือนหนึ่งก็สองสามครั้ง แล้วเรารู้สึกว่า เฮ้ย ครั้งแรกที่เราจัดงานอะ จุดเริ่มต้นมันคือดนตรีโฟล์กจริง ๆ เลยนะ แต่พอผ่านไปโฟล์คข้างวัดมันก็ไม่ใช่แค่โฟล์คแล้ว ตอนนั้นเราแค่อยากจัดงานที่มันโฟล์กขึ้นมา เพราะเล่นโฟล์กในร้านอะ มันไม่ได้ฟีลมู้ดมันไม่พา เลยคิดว่าลองออกไปจัดข้างนอกดู ไปหาโลเคชันว่าง ๆ ริมน้ำ แล้วก็เจอที่นึงก็เลยลองจัดดู

ครั้งแรกมีคนมาประมาณ 500 คน ไม่ได้เยอะมาก คือคนก็งงเหมือนกันว่าเราจัดอะไร (หัวเราะ) แล้วจริง ๆ ตอนนั้นเรายังไม่ได้คิดถึงคำว่า Music Festival เลยนะ เพราะเรารู้สึกว่ามันเกินตัว เราแค่ทำร้านเหล้าเล็ก ๆ แล้วก็คิดว่า การจะจัดเฟสติวัลต้องมีเงินเยอะ ต้องมีทีมใหญ่ ซึ่งตอนนั้นไม่มีเลย

งานแรกใช้เงินน้อยมาก แทบไม่มีความรู้อะไรเลย แล้วก็เป็นเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ กันทั้งนั้นที่มาเล่นให้ บางวงตอนนั้นก็ยังไม่ได้ดังมาก อย่างคณะขวัญใจ, The Bottom Blues, BEHINDTHESMILE, เขียนไขและวานิช, Abandoned House วงท้องถิ่นอื่น ๆ ก็มี พอจัดแล้วคนชอบ ฟีดแบ็กดี ก็เลยรู้สึกว่ามันไปต่อได้นี่หว่า ก็เลยเริ่มต่อยอดมาจนกลายเป็นโฟล์คข้างวัดอย่างทุกวันนี้ครับ

เราเชื่อว่าทุกอย่างมันพัฒนาตามตัวเราเองเลยนะ พอเราโตขึ้น ทุกปีที่ผ่านไป ไม่ใช่แค่รสนิยมในการฟังเพลงที่เปลี่ยน แต่วิธีคิดในการจัดงานก็เปลี่ยนไปด้วย อย่างตอนจัดครั้งแรกมันคือดนตรีโฟล์กล้วน ๆ เลย เป็นภาพที่ชัดมาก แต่พอมาครั้งที่สอง เราเริ่มมีความคิดว่า ไม่อยากให้ไลน์อัพซ้ำกับปีที่แล้ว ถ้าปีนี้เชิญวงนี้มาแล้ว ปีหน้าเราจะพักไว้ก่อน ค่อยวนกลับมาในอีก 1-2 ปีข้างหน้า เพราะเรารู้สึกเบื่อกับมิวสิกเฟสติวัลหลายงานในบ้านเราที่วงเดิม ๆ มาเล่นซ้ำตลอด

พอเป็นแบบนั้น มันกลายเป็นว่าเราไม่ได้เปิดโลกให้กับคนฟังในละแวกนั้นเลย แล้วเราจะขยายคนฟังออกไปได้ยังไงล่ะ? เหมือนตอนที่ทำ Junk House เราอยากนำเสนอให้คนรู้ว่า ดนตรีมันหลากหลายกว่านั้นเยอะมาก เพราะฉะนั้นตั้งแต่งานครั้งที่สอง เราก็เริ่มทดลองมากขึ้น อย่างตอนนั้นเอาวงที่ไม่ใช่โฟล์กเลยมาเล่นแบบอะคูสติกทั้งหมด มีทั้ง Solitude is Bliss หรือแม้แต่ H3F ก็เอามาเล่นอะคูสติก ซึ่งตอนนั้นฟีดแบกก็ดีนะ แต่ตัวเราเองกลับรู้สึกว่า มันไม่ใช่ว่ะ เหมือนเราไปบังคับเขา ทั้งที่เพลงของเขามันไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อจะเล่นในบรรยากาศแบบนั้น มันเริ่มไม่สนุกละ

ตั้งแต่ครั้งที่ 3 เป็นต้นมาเลยเป็นจุดเปลี่ยนจริง ๆ ถ้าเราบอกว่าตัวเองอยากเป็นพื้นที่ที่เปิดให้ดนตรีหลากหลายจริง ๆ เราก็ต้องถอยออกจากกรอบของตัวเอง ไม่ไปยัดเยียดความชอบตัวเองให้ศิลปินต้องเปลี่ยนเพื่อเข้ากับเรา ตอนนี้ถ้าสังเกตดู ไลน์อัพมันจะมีครบทุกแนว ทุกเจเนอเรชันเลย แล้วพูดตรง ๆ บางวงเราก็ไม่ได้ฟังเองนะ ไม่ใช่สไตล์เราด้วยซ้ำ แต่เรารู้ว่าคนยุคนี้เขาชอบ และเราก็ไม่ได้คิดว่า taste ของเราคือมาตรฐานของโลกใบนี้

เราฟังออกว่าอะไรคือเพลงคุณภาพ ต่อให้เราไม่ชอบ แต่ถ้ามันดีเราก็รู้สึกว่าควรให้พื้นที่ มันก็จะมีทั้งวงที่เราชอบจริง ๆ ส่วนตัว วงที่ตอบโจทย์คนเจนใหม่ วงที่ยังไม่มีชื่อเสียงแต่ควรค่าที่ทุกคนจะได้ฟัง ได้เห็นว่าทั้งหมดนี้คือพัฒนาการของงาน ที่เติบโตตามวิธีคิดของเราเหมือนกันครับ

เรารู้สึกว่าตัวเราเองก็เป็นคนที่หลากหลายประมาณนึง เราชอบอะไรหลายอย่าง เราชอบของแมส ๆ ด้วยนะ อย่างเพื่อนเราก็เป็นพวกนักบอล เวลาอยู่ในวงเหล้าเพื่อนจะมีกฎเลยว่า “ห้ามไอ้ปูนเปิดเพลง” เพราะเขาฟังเพลงที่เราเปิดไม่ได้ (หัวเราะ) แต่เราก็ยังอยู่กับเขาได้นะ เพราะพวกมันตลกดี มันมีความลูกทุ่ง ความฮา เราก็สนุกแบบนั้นเหมือนกัน

เราชอบเพื่อชีวิตมากเลยด้วยซ้ำ ฟังได้หมด ไม่ได้จำกัดว่าต้องเพลงอินดี้หรือเพลงนอกกระแสอย่างเดียว แต่ก็มีบางคนแซวเรานะ บอกว่า “ไอ้ปูนแม่งแอ๊ก เท่จังเลยนะ” อะไรอย่างนี้ แต่เรารู้สึกว่ามันก็เป็นเรื่องปกติแหละ ด้วยนิสัยเราเอง เราเข้ากับคนได้หมด เราก็ไม่ได้คิดมากอะไร

พอทำงานนี้ เราก็อยากให้มันสะท้อนบุคลิกเรา คือไม่ว่าใครจะมาจากเพลสไหน จะดูยังไงจะชอบอะไร ขอแค่อยู่ร่วมกันได้ มันก็โอเคแล้ว เราอยากให้บรรยากาศมันเป็นมิตรที่สุด ถ้าสังเกตดี ๆ งานโฟล์คข้างวัดจะไม่มีความติดแอ๊คอะไรเลย ทุกคนเข้ามาได้หมด เสื้อยืด รองเท้าแตะ ไม่ต้องแต่งตัวเท่ ไม่ต้องแนวอะไรก็มาได้ เราอยากต้อนรับคนทุกแบบให้มาอยู่ด้วยกันในพื้นที่นี้

เราอยากให้ โฟล์คข้างวัด มันมีตั้งแต่เด็กเลย ไม่จำกัดอายุ แล้วก็มีตั้งแต่ผู้ใหญ่อายุสี่สิบมาอะไรแบบนั้น วิธีเลือกวงเราก็จะแบ่งเป็นหมวด หมวดเลเจนด์ อย่างเช่น โมเดิร์นด็อก ที่คนรุ่นใหญ่จะรู้สึกว่าเอ็นจอยได้ แล้วก็หมวดที่ยังไม่หลุดเทสต์นะ แต่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ตอนนี้

อีกหมวดหนึ่งคือความชอบส่วนตัว อันนี้เป็นของเราล้วน ๆ เลย แล้วก็หมวดสุดท้ายคือหมวดของวงดนตรีรุ่นใหม่ ซึ่งเราจะชอบหรือไม่ชอบก็แล้วแต่ แต่เขาต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเป็นของจริง ทั้งเรื่องการแสดงสด เรื่องเพลง แล้วก็เรื่องความต่อเนื่อง

อีกอย่างหนึ่งที่อยากบอกสำหรับวงรุ่นใหม่ คือถ้าจะหาโอกาส เราว่าไม่ใช่แค่ในเฟสติวัลของเราหรอก ผู้จัดหลายคนก็อยากสนับสนุนวงที่ทำต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำแล้วหายไป เราคิดว่าความต่อเนื่องมันทำให้เราสนใจ เพราะมันบอกว่า วงนี้มีไฟ มันเอาว่ะ แล้วเราก็รู้สึกว่า ถ้าเราสนับสนุนพื้นที่ให้วงแบบนี้ มันจะเติบโตได้ อันนี้ก็น่าจะเป็นเกณฑ์หลัก ๆ ที่ใช้ครับ

เราก็เห็นเยอะเลยนะ แพชชั่นมันเกิดขึ้นง่ายมาก เด็กคนหนึ่งหรืออย่างเราสมมติพูดขึ้นมาว่า เชี่ย ฉันจะทำวงว่ะ หรือฉันจะเป็นนักบอลว่ะ กินเหล้าคุยกันแป๊บเดียวก็มีแพชชั่นได้แล้ว แต่ว่า process ระหว่างทางกว่าจะไปถึงจุดนั้นน่ะ มันเต็มไปด้วยความน่าเบื่อ สิ่งที่พวกเราอยากเห็นจากน้อง ๆ คือทำให้เราเห็นว่า เชี่ย พวกมึงแม่งเอาจริงว่ะ

คือมันเหมือนว่าพอเราทำไปเรื่อย ๆ community มันค่อย ๆ พัฒนาขึ้นเยอะเลยนะ เรากล้าพูดเลยว่า ตอนนั้น Junk House คือร้านเดียวในอยุธยาที่ทำอะไรแบบนี้ ทำดนตรีแบบนี้ จัดงานแบบนี้ เทียบได้กับ Live House ในกรุงเทพเลยอะ แล้วตอนนี้พอกลับไปอยุธยา ร้านใหม่ ๆ ที่เริ่มเปิดขึ้น ส่วนใหญ่ก็เป็นลูกค้าเรานี่แหละที่ไปเปิดกันเอง เริ่มขยับ เริ่มสร้างซีนให้มันค่อย ๆ โตขึ้น

อาจจะยังไม่มีใครจัดงานใหญ่เท่าพวกโฟล์คข้างวัดก็จริง แต่เราก็เห็นการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ เห็นการขับเคลื่อน เห็นน้อง ๆ ที่เคยบิ้วกันให้เริ่มทำเพลง ตั้งแต่ยุคที่เราทำงานกับพวก Abandoned House อะไรพวกนี้ ตอนนี้เขาก็ไปสร้าง community ใหม่กันต่อ บางคนก็ไปชวนรุ่นน้องทำเพลงต่ออีก คือเรารู้สึกดีอะ มันเป็นสิ่งที่เราภูมิใจเลยนะ

เราเองก็แค่คนตัวเล็ก ๆ อะ แต่พอทุกคนเอาไฟไปต่อยอดกันได้ มันขยายกันไปทุกทางแล้วก็กลายเป็นสิ่งที่สวยงามมาก ๆ

นั่นสิ เราเองยังตอบไม่ได้เลย กระทั่งที่อยุธยาเอง แม้แต่ตอนเราจัดคอนเสิร์ตในกรุงเทพฯ หรือที่ภาคอีสาน อย่างตอนคุยกับพี่เบนซ์ มหานิยม เรากำลังลิสต์ไลน์อัพงาน เต้ย Festival อยู่ พี่เบนซ์ก็บอกว่า ร้านมหานิยมของเขาอะ ทุกวงอินดี้ทั้งประเทศเคยมาเล่นหมดแล้ว ผ่านมากี่รุ่นแล้วไม่รู้ แต่ตอนนี้เราอยู่ในยุคที่มีวงมาเล่นเพลง Safeplanet แล้วถามว่าเพลงใครเหรอ คือมันยากมากเลยว่าเด็กตอนนี้เขาฟังอะไรกัน เราก็เลยต้องไปรีเสิร์ชจากน้อง ๆ ฝึกงาน หรือน้อง ๆ ที่รู้จัก ให้เขาแนะนำอะไรหน่อย

ซึ่งสิ่งที่น้อง ๆ แนะนำมาก็หลากหลายมากนะ แต่มันไม่ได้เข้าถึงในแบบที่เราคุ้นเคย อย่าง Noise Figure เนี่ย น้อง ๆ หลายคนก็ไม่รู้จักเลย ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้เขาไปฟังเพลงกันจากช่องทางไหน หรือได้รับคำแนะนำจากใคร ผู้จัดหลายคนก็คุยกันเองนะ แบบ เชี่ย ตอนนี้ไม่รู้จักเทรนด์ไหนเลย กูงง เด็กฟังอะไรกันวะ?

พฤติกรรมคนฟังมันเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ เมื่อก่อนยุคเราการออกไปแฮงเอาท์คือการได้ไปดูคอนเสิร์ตไปเจอเพื่อน มันสนุกมาก แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันอยู่ในมือถือหมด ความบันเทิงอยู่ตรงนั้น เราก็ตอบได้จากการจัดงานนะว่าตอนนี้ โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ ออกมาดูน้อยลงจริง ๆ สปอนเซอร์เราก็เห็นชัดเลย ขายเบียร์ได้น้อยลงเยอะ เพราะมันไม่ใช่กิจกรรมที่ตรงกับเทรนด์ของเด็กสมัยนี้แล้ว

เราก็ได้ยินมาหลายครั้งว่า วงเก่า ๆ กลับมาดังเพราะ TikTok ทั้งที่วงรุ่นใหม่ ๆ ตั้งใจทำเพลง ทำคอนเทนต์กันมากมาย แต่ก็เข้าใจได้ โลกมันก็หมุนไปแบบนั้นแหละ เราก็ต้องปรับตัวเหมือนกัน ต้องพยายามเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในแพลตฟอร์มพวกนั้นให้ได้ แต่มันก็เหนื่อย ศิลปินคนหนึ่งกว่าจะทำเพลงดี ๆ ขึ้นมาได้ก็เหนื่อยมาก ใช้ต้นทุนความคิด ใช้เวลา ใช้แรงเยอะมาก แต่พอทำเสร็จแล้ว โลกยุคนี้ยังบังคับให้ต้องคิดคอนเทนต์อีก ต้องออกมาทำอะไรอีก มันเยอะไปหมด

ขอเล่าครั้งที่ 3 ละกัน คือเราตกแต่งงานทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว พรุ่งนี้คือวันโชว์ พายุดันเข้าคืนนั้น ของทุกอย่างที่เราเตรียมไว้ เวที เต็นท์ ของตกแต่งอะไรทุกอย่างปลิวลงน้ำหมดเลย ตอนนั้นอยู่กับหุ้นส่วนก็แพนิคแหละ แต่เราทำใจนิ่งไว้ น้อง ๆ ทุกคนก็มองหน้าแบบ เชี่ย จะเอายังไงดีวะ? มันไม่ใช่งานในฮอลล์ไง มันเป็นงานเอาต์ดอร์ที่ตกแต่งทุกอย่างด้วยมือ แล้วพอของพวกนั้นหายไป ไวบ์มันพังหมดเลยจริง ๆ

คืนนั้นแหละ เรารู้สึกประทับใจมากที่สุดเลย คือเรายกหูโทรหาใครก็ได้ที่พอนึกออก ขอคำปรึกษา โทรหาพี่ปูม Seen Scene Space, พี่เบนซ์ มหานิยม, พี่เมธ Minimal Records ทุกคนรับสาย ตีหนึ่งตีสองก็ยังคอลกันอยู่ ทุกคนช่วยหาซัพพลายเออร์ ช่วยโทรหาคน ช่วยดูว่าจะอุดตรงไหนได้บ้าง บางคนก็ให้คำแนะนำเรื่องจิตใจ ทุกคนเข้ามา support เต็มที่ สุดท้ายงานวันรุ่งขึ้นก็เกิดขึ้นได้ เรารู้สึกขอบคุณมาก แบบ เชี่ย มันโคตรดีเลยจริง ๆ

คือถ้าเราอยู่คนเดียวแบบหัวเดียวกระเทียมลีบอะ บอกเลยว่าตอนนั้นเราน่าจะเหวอไปแล้ว แต่พอได้เห็นว่าคนในวงการมันยังเกื้อกูลกัน มันยังหันหน้าหากันได้ มันทำให้เรารู้เลยว่า เออ เราไหว เราไปต่อได้ มันต้องช่วยกันจริง ๆ

พูดถึง pain point ในการทำเฟสติวัลต่างจังหวัดนะ เอาจริง ๆ มันเป็นปัญหาที่ไม่ได้จำกัดแค่ต่างจังหวัดหรอกครับ มันเกิดได้ทุกที่ อย่างหนึ่งที่เจอแน่ ๆ คือเรื่อง สถานที่ ถึงแม้งานเราจะจัดที่บ้านตัวเองนะ อย่าง โฟล์กข้างวัด มันจัดในพื้นที่ของเราเอง แต่จริง ๆ แล้วเราก็เคยคิดว่า อยากจัดในพื้นที่มรดกโลกที่สวย ๆ ข้างหลังเป็นเจดีย์ เป็นวัด เป็นแลนด์สเคปที่มีความขลัง แต่มันไม่ง่ายเลย การติดต่อ การทำความเข้าใจกับภาครัฐท้องถิ่น เพื่อให้เขาเข้าใจสิ่งที่เราทำ มันยากพอสมควร เราไม่ได้ขอเงินสนับสนุนนะ บางทีแค่ขอใช้พื้นที่ ขออำนวยความสะดวกนิดหน่อย มันก็ยังไม่ราบรื่น ซึ่งเราก็เข้าใจนะว่ามันมีเรื่องกฎหมาย เรื่องข้อจำกัด แต่เอาจริง ๆ มันกลายเป็นอุปสรรคใหญ่เลยสำหรับคนที่อยากทำอะไรแบบนี้ให้เกิดขึ้นในพื้นที่ตัวเอง

อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องพูดตรง ๆ เลยก็คือเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนที่เข้ามาขูดรีด ยิ่งงานเราประสบความสำเร็จมากเท่าไหร่ การโดนเก็บ การโดนบีบมันก็ยิ่งหนักขึ้นเท่านั้น แน่นอนว่าเราทำงานนี้ เราก็หวังกำไรครับ แต่ระหว่างทางเราก็พยายามพัฒนาพื้นที่นั้นให้ทุกคนได้ประโยชน์ร่วมกันจริง ๆ เรากล้าพูดว่าเจตนาของเราบริสุทธิ์ แต่พอเจอเรื่องพวกนี้มันก็เหนื่อยจริง ๆ

งาน โฟล์คข้างวัด กว่าจะเริ่มมีกำไรก็คือปีที่ 4 ก่อนหน้านั้น 3 ปี ขาดทุนยับเลย แต่เราก็ทำ เพราะเรารู้สึกว่าสิ่งที่ทำมันมีความหมาย พูดกันตรง ๆ นะ ตอนนี้ใครจะทำอะไรแบบนี้ได้ต้องรักจริงเท่านั้นแหละ ไม่รักจริง ไม่ทำแน่ ๆ เพราะถ้าไม่เจ๊งก็เจ็บอะครับ

เรื่องพวกนี้มันไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะในต่างจังหวัดหรอก มันคือความจริงของการจัดงานเฟสติวัลในไทยโดยรวมเลย ถ้าพูดถึง pain point แบบ inside หน่อย ก็คือเรื่องเงินกับการจัดการศิลปินนี่แหละ เป็นสองเรื่องหลักเลย การจัดงานในต่างจังหวัด ค่าใช้จ่ายมันเยอะกว่าที่หลายคนคิด อย่างค่าที่พัก ค่ารถ ค่าเดินทางศิลปิน โอเค ถ้างานอยู่แค่อยุธยา ยังพอ manageable อยู่ แต่ถ้าไปไกลกว่านั้น อย่าง พี่เบนซ์ มหานิยม จัดที่ขอนแก่น ค่าเครื่องบินก็บวกเข้าไปอีก Cost สูงขึ้นทันที

แถมราคาบัตรในต่างจังหวัด ก็ขายไม่ได้เท่ากรุงเทพฯ ด้วย เพราะว่าที่ต่างจังหวัด คนเขาคุ้นกับงานที่เข้าฟรี หรืองานร้านเหล้าที่บัตรร้อยเดียวเอง แล้วจะให้เราขายบัตรแพงเท่ากรุงเทพฯ มันก็ไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ต้นทุนจริง ๆ มันแทบไม่ต่างกันเลยด้วยซ้ำ บางทีต้นทุนยังสูงกว่าเพราะต้องรับผิดชอบเรื่องการเดินทางที่มากขึ้น

อีกอย่างคือเรื่องการจัดตารางวง อย่างงานเรามีวงประมาณ 20 วง สมมุติว่าต้องเช็คซาวด์ให้ครบวันเดียวไม่มีทางทันแน่นอน เราก็ต้องให้บางวงมาล่วงหน้า พักโรงแรมก่อน ต้องจ่ายค่าที่พักเพิ่ม ค่าตัวบางวงก็ต้องเบิ้ลอีกครึ่งหนึ่งเพื่อให้มาเช็คซาวด์ก่อนวันจริง ซึ่งค่าใช้จ่ายแบบนี้มันคือ hidden cost ที่คนดูไม่เห็น แต่มันหนักมากสำหรับทีมจัดงาน

ไม่มี แม้แต่เรื่องง่าย ๆ เราก็เคยพยายามคุยแล้วนะ ตอนที่ผมทำโฮสเทลช่วงแรก ๆ มีฝรั่งมาเที่ยวอยุธยาเยอะนะ แต่เขาทำกันเป็นแค่ day trip คือมากลางวันแล้วกลับกรุงเทพฯ เย็นเลย เคยถามเขานะว่าทำไมไม่ค้างล่ะ เขาตอบว่าก็เพราะตอนกลางคืนเมืองมันมืดหมดเลย ทั้งที่จริง ๆ มีโบราณสถานสวย ๆ เต็มไปหมด แต่ไม่มีการเปิดไฟ ไม่มีอะไรให้เดินดูต่อเลย

ตอนนั้นเราเป็นผู้ประกอบการ เราก็รู้สึกว่า เฮ้ย ถ้าเปิดไฟแค่ตรงโบราณสถานนะ เมืองมันจะเปลี่ยนเลยนะ คนจะค้างคืน ฝรั่งจะอยู่ต่อ คนขายของจะได้ขายเพิ่ม ผู้ประกอบการอย่างผมก็ขายห้องได้มากขึ้น ทั้งเมืองได้ประโยชน์ร่วมกันหมด เราเลยไปคุยกับเทศบาล ถามตรง ๆ ว่าทำไมไม่เปิดไฟ แค่เปิดไฟเท่านั้นเองนะ ไม่ต้องใช้งบอะไรใหญ่เลย คำตอบคือ ต้องไปคุยกับกรมศิลป์ค่ะ โอเค เราก็ไปคุยกับกรมศิลป์ กรมศิลป์ก็บอกต้องไปคุยกับเทศบาล

แกไม่คุยกันเองเหรอ (หัวเราะ) จะให้เราคนเดียวเดินเรื่องเองหมดเลย แล้วที่เราพูดไปมันไม่ได้แค่เพื่อผลประโยชน์ของเราคนเดียวนะ มันคือทั้งเมืองได้หมดอะ แต่ไม่มีใครคิดจะทำอะไรเลย เราก็เลยรู้สึกว่า แค่เรื่องพื้นฐานยังไม่ขยับ แล้วจะหวังอะไรกับนโยบายด้านศิลปะหรือวัฒนธรรมที่มันลึกกว่านั้น

ถ้าถามผมนะ ผมว่าอยุธยามีเสน่ห์มาก ๆ เลยนะ ลองคิดง่าย ๆ เวลาเราไปเที่ยวต่างประเทศ สมมุติเราไปญี่ปุ่น เราก็ต้องอยากไปโตเกียวใช่มั้ย แต่พอไปถึงแล้ว เราก็อยากไปเกียวโต อยากไปเมืองที่มันมีประวัติศาสตร์ มีวัฒนธรรม มีความขลัง อยุธยาควรจะเป็นเมืองแบบนั้นในไทยนะ เมืองมันสวยนะ ทั้งโบราณสถาน ทั้งภาพรวมของเมือง อาหารก็หลากหลาย ของกินอร่อย ๆ เยอะมาก แล้วก็มีอาหารที่เป็นซิกเนเจอร์ของจังหวัดอีก คือถ้าพูดกันตรง ๆ โลเคชันก็ได้เปรียบมาก เพราะใกล้กรุงเทพฯ สุด ๆ

ผมว่าจริง ๆ แล้วอยุธยาควรจะเป็นเมืองที่คนไปเที่ยวได้ทุกสุดสัปดาห์ด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ สิ่งที่ทำให้เมืองมันน่าสนใจขึ้นในช่วงหลัง มันเกิดจากภาคเอกชนล้วน ๆ เลย ไม่ใช่จากนโยบายรัฐ ทุกวันนี้ถ้าใครไปเที่ยวแล้วรู้สึกว่าอยุธยาคูลขึ้น คาเฟ่ดี อาหารดี ซีนมันมี มันเป็นเพราะคนตัวเล็ก ๆ ลุกขึ้นมาทำกันเองทั้งนั้นด้วย passion ล้วน ๆ อย่างผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นแหละ สู้กันเองทั้งหมด

ถ้ามองกันดี ๆ อยุธยามันไม่ได้ต่างจากเชียงใหม่เท่าไหร่เลย โบราณสถานเยอะเหมือนกัน มีคูเมืองเหมือนกัน มีโซนน่ารัก ๆ ที่คนเดินได้ ถ่ายรูปได้ เพียงแต่อาจจะไม่มีภูเขาหรืออากาศหนาว แต่สิ่งที่ไม่มีคือการขับเคลื่อนจากภาครัฐ ที่จะมาบอกต่อหรือผลักดันเมืองนี้ให้ชัด ๆ จริง ๆ สักที ผมเชื่อว่าอยุธยามีทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว ขาดแค่แรงผลักจริง ๆ จากระบบเท่านั้นเอง

แล้วพอซีนที่พวกเราทำกันมันเริ่มมีตัวตนขึ้นมา เวลาอยากขอการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐในพื้นที่ อย่างเทศบาลหรืออะไรก็แล้วแต่ เขาก็จะโยนให้ไปคุยกับ ททท. ตลอด ซึ่งเอาจริง ๆ คือความเข้าใจของเขาที่มีต่อศิลปะแบบที่เราทำกัน มันแทบจะเป็นศูนย์เลย

จะพูดจะคุยกันทีนึงยากมาก คือเขาไม่เข้าใจว่าเราไม่ได้แค่ทำคอนเสิร์ตนะ แต่มันคือการสร้างพื้นที่ สร้างวัฒนธรรม สร้างชุมชน สร้างเศรษฐกิจด้วยซ้ำ แต่มันพูดกันไม่รู้เรื่องไง เพราะภาษาที่เราใช้กับภาษาที่เขาใช้มันคนละแบบเลย

โฟล์คข้างวัด ปูน ธนบดี คัชมาตย์ Junk House Stockholm Records A Youth Thaya อยุธยา

มันจะใช้คำว่าเป็นเฟสติวัลก็ได้ แต่ว่าอันนี้จัดในฮอลล์นะ เราคิดอยู่เสมอว่าตอนนี้ โฟล์คข้างวัด มันประสบความสำเร็จในแง่หนึ่งแล้วคือพาร์ทของดนตรี แล้วก็คนที่มาทำงานในงานนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นเด็กอยุธยาทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นอาร์ตเวิร์ก คิวเรชั่น หรือทีมงาน เรารู้สึกว่าอันนี้เราประสบความสำเร็จตรงที่เราสามารถเอาคนอยุธยามาทำงานใหญ่ระดับนี้ด้วยกันได้

ส่วนไอเดีย A Youth Thaya มันเกิดจากการคุยกันในทีม Go On G นี่แหละ แล้วมันก็มี pain point หนึ่งที่เรารู้สึกมาจากตอนทำรายการ Artifact ของ Go On G ด้วย คือในรายการนั้น มันเป็นการเอาคนที่อยู่เบื้องหลังของศิลปิน เช่น คนทำปกอัลบั้ม คนทำ MV, อาร์ตเวิร์ก, วิชวล มาคุยกัน เรารู้สึกว่า จริง ๆ แล้วคนกลุ่มนี้แหละ ที่มีส่วนอย่างมากในการสร้างภาพลักษณ์ สร้างตัวตนของศิลปินให้เป็นอย่างที่เป็น แต่คนกลุ่มนี้แทบไม่เคยถูกพูดถึงเลย

ศิลปะแขนงอื่น ๆ นี่ ยิ่งยากกว่าดนตรีอีกนะ เพราะแทบไม่มีพื้นที่ให้แสดงออกเลย ดนตรียังพอมีร้าน มีไลฟ์เฮาส์ให้ไปเล่นได้ แต่คนที่เป็น illustrator, คนปั้นเซรามิก, คนทำงานมัณฑนศิลป์ พวกนี้ไม่มีพื้นที่เลย บางทีในห้างอาจมีพื้นที่ที่เรียกว่าแกลเลอรีให้ใช้ได้นะ แต่สุดท้ายมันกลายเป็นแกลเลอรีเปล่า ๆ ที่คนไม่เข้าไป เพราะคนต่างจังหวัดส่วนมากมองว่าแกลเลอรีไม่ใช่ที่สำหรับเขา มันรู้สึกเข้าไม่ถึง ไม่เข้าใจ

เราก็เลยคิดจะจัดงานนี้ขึ้นมาในอยุธยา เพื่อให้ศิลปะแขนงอื่น ๆ มีพื้นที่ และมีคนมาดูจริง ๆ เราเลยเอาดนตรีมาเป็นสื่อนำ เพราะดนตรีเข้าถึงคนได้มากกว่า เอาดนตรีมาดึงคนเข้ามาก่อน แล้วก็เกิดการคอลแลบกับศิลปะแขนงอื่น ๆ เราตั้งใจว่าจะทำทุกปีเลย เพื่อให้คนที่ทำงานศิลปะได้มีที่ให้แสดงออก อย่างน้อยปีนึงกูก็มีที่โชว์ของแล้ว มาออกงาน มาขายของได้ มันเริ่มจากไอเดียนี้แหละ

อย่างแรกเลยคือเราจะได้เห็นศิลปินดนตรี มาคอลแลบกับศิลปินที่เป็น illustrator ในงานทุกส่วน ทุกศิลปินจะถูกจับคู่กัน เพราะฉะนั้นถ้ามีศิลปินดนตรี 8 คน เราก็จะได้เห็นลายเส้นของ illustrator ทั้ง 8 คนบนเวที แล้วก็จะมีคอลแลบออกมาเป็นโปรดักต์ เป็น merchandise ไม่ว่าจะเป็นเสื้อ หรืออะไรก็แล้วแต่ เดี๋ยวรอดูกันอีกที

รายได้จากการขาย merchandise ตรงนี้ ส่วนหนึ่งเราจะแบ่งให้กับศิลปินทั้งสองฝั่งเลย ทั้งศิลปินดนตรี และศิลปินภาพ อีก 40% เราจะให้กับองค์กรที่เกี่ยวกับศิลปะในอยุธยา ซึ่งบางแห่งยังขาดงบประมาณ บางทีเด็กไม่มีแม้กระทั่งเงินซื้อสี ไม่มีอุปกรณ์ นี่ก็จะเป็นรายได้ที่เข้าไปซัพพอร์ตตรงนั้น

อีกอย่างนึงคือ เราไปคุยกับมหาวิทยาลัยในพื้นที่ ซึ่งเราว่าทุกจังหวัดในประเทศไทยเนี่ย มีมหาลัยที่มีคณะศิลปะอยู่แล้ว แต่ก็มีปัญหาเหมือนกันคือไม่มีพื้นที่ในการแสดงงาน เราก็เลยไปคอลแลบร่วมกับอาชีวะอยุธยา แล้วก็ราชภัฏอยุธยา เราให้โจทย์กับนักศึกษา แล้วเขาก็ส่งงานมาแสดงในงานนี้ ซึ่งงานพวกนี้จะเป็นงานที่คนสามารถซื้อกลับบ้านได้ เป็นงานศิลปะที่อยู่บนของใช้ต่าง ๆ แล้วรายได้จากตรงนี้ก็จะให้กับนักเรียนที่ทำงานทั้งหมด

เราเริ่มจากอยุธยาเพราะมันคือบ้านเกิดเรา แล้วมันก็ต่อเนื่องจาก โฟล์คข้างวัด ด้วย แต่จริง ๆ โมเดลนี้ เราอยากผลักดันให้ไปต่อในจังหวัดอื่น ๆ ด้วย โดยเฉพาะถ้ามีคนท้องถิ่นอยากเอาไปทำเองก็ยิ่งดีเลย เราเองก็อยากเอาไปจัดในจังหวัดอื่นเหมือนกัน เพราะการพัฒนาซีน หรือการพัฒนาคน มันไม่ควรจำกัดอยู่แค่จังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง

ตอนนี้เราทำไหวในอยุธยาก็เริ่มที่นี่ก่อน แต่ในอนาคต ถ้าเป็นไปได้ก็อยากขยายไปหลายจังหวัด เพราะเราคิดว่าทุกคนควรมีพื้นที่ แล้วก็ไม่จำกัดว่าศิลปินทุกคนต้องเป็นคนอยุธยาเท่านั้น แต่โดยธรรมชาติของภูมิศาสตร์ ศิลปินส่วนใหญ่ที่มาทำงานกับเราก็จะเป็นคนละแวกใกล้ ๆ อยู่แล้ว เช่น กรุงเทพฯ ลพบุรี สระบุรี อะไรพวกนี้

เพราะฉะนั้น ถ้าเราไปจัดที่เชียงใหม่ สมมุตินะ ก็อาจจะได้ศิลปินจากโซนนั้นมาแทน ซึ่งมันก็ make sense เพราะถ้าจัดที่อยุธยา แล้วจะให้ศิลปินจากเชียงใหม่เดินทางมาร่วมงานกับเรา มันก็ยากหน่อย

ถ้าพูดถึงซีนดนตรีตอนนี้ อย่างแรกคือมันมีความหลากหลายมาก โดยเฉพาะศิลปินรุ่นใหม่มีให้เลือกฟังเยอะมาก แต่ปัญหาคือหาฟังยาก เพราะมันไม่ถูก discover ไม่ถูกผลักดันขึ้นมาในพื้นที่ที่คนจะเจอได้ง่าย อีกมุมหนึ่ง ดนตรีที่อยู่ในกระแสตอนนี้ หรือแม้แต่ที่เรียกว่าเป็นอินดี้แมส เรารู้สึกว่าทิศทางมันเริ่มจะซ้ำ ๆ กันหมด มันอาจจะเป็นเพราะ reference เดียวกันหมดก็ได้ เราฟังแล้วรู้สึกว่าต่อให้เป็นเพลงป๊อปหรืออินดี้จากต่างประเทศ แนวทางมันก็ไปในทางเดียวกันหมด พอมันคล้ายกัน มันก็สร้างวงหน้าใหม่ที่มีแนวคล้ายกันขึ้นมา แล้วผู้ฟังก็คุ้นหู ก็เลยเลือกวงแนวนี้ไปเรื่อย ๆ เราไม่โทษใครนะ แต่ก็ยอมรับว่าหาทางออกไม่ค่อยเจอเหมือนกัน

อีก pain point หนึ่งคือ เพลงดี ๆ มีเยอะจริง ๆ แต่คนหาไม่เจอ มันไม่ได้ถูก discover เราก็พยายามจะทำมีเดียเองด้วยซ้ำ แต่พอทำไปก็เริ่มเจอปัญหาว่า เราจะเข้าถึงแพลตฟอร์มยังไงวะ มันต้องตามเทรนด์ตลอด แล้วสุนทรียะที่เราตามหามันกลายเป็นเรื่องที่เข้าถึงยากขึ้นเรื่อย ๆ เหนื่อยเหมือนกันนะ

มันอยู่ในช่วงรอยต่ออะ เหมือนกำลังหาทางกันอยู่ว่าจะเดินไปยังไงต่อดี เพราะตอนนี้เราพึ่งพาอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มมากไปหน่อย แล้วพอเขาปรับนิดเดียว ทุกอย่างก็หายไปหมด คนที่เคยเห็นก็ไม่เห็น มันกลายเป็นว่าทุกคนช็อกหมด ซึ่งสิ่งที่ต้องทำคือ หา solution ว่าจะทำยังไงให้เพลงพวกนี้มันถูก discover ได้มากขึ้น เพื่อที่ศิลปินจะเติบโตขึ้น หาเงินจากดนตรีได้ แล้ววงจรทั้งหมดมันถึงจะหมุนไปได้ เพราะถ้าศิลปินไม่โต เราในฐานะผู้จัดงานก็ไม่โตเหมือนกัน

เราจินตนาการไว้ว่าทุกเทศกาลจะมีวงไม่ซ้ำกันเลย แต่มันทำไม่ได้หรอกถ้าไม่มีวงใหม่ ๆ ขึ้นมา เพราะสุดท้ายต่อให้เราจะอินดี้แค่ไหน จะอยากผลักดันศิลปินแค่ไหน แต่เราก็ไม่ใช่คนที่มีเงินเยอะขนาดนั้น ต้องคิดถึงเรื่องขายบัตรด้วย แล้วถ้าไม่มีวงใหม่ ๆ ขึ้นมาทัน วงขายได้ก็มีอยู่เท่าเดิม ก็ต้องใช้วงเดิมวนไปเรื่อย ๆ

ในต่างจังหวัดยิ่งแล้วใหญ่ พื้นที่แทบไม่มีเลย ต่างจากกรุงเทพฯ ที่ยังพอมี live house มีงานจัดบ่อย ๆ มีวงเล่นสามสี่วงในคืนเดียว คนก็ได้ discover วงใหม่ ๆ กันได้ แต่ต่างจังหวัดจะไปเจอแบบนี้ที่ไหน ไม่มีเลย แล้วคนที่พยายามทำก็เจ๊งแน่นอน เพราะฐานผู้ชมมันไม่พอ กรุงเทพฯ ยังพอมีคนดูอยู่ แต่ต่างจังหวัดถ้าทำขึ้นมา โอกาสรอดมันน้อยมากจริง ๆ นี่แหละคือปัญหา

ต้องยอมรับให้ได้ก่อนว่าสังคมมันมีความหลากหลายจริง ๆ ไม่ใช่แค่เรื่องเพศ ที่ตอนนี้กลายเป็นเรื่องที่ทุกคนพอจะเข้าใจและพูดถึงกันได้แล้วนะ แต่มันยังมีความหลากหลายทางรสนิยมด้วย ซึ่งเราว่าคนมักจะมองข้ามหรือไม่ให้ความสำคัญเท่าที่ควร

กลุ่มคนที่มีรสนิยมแบบอื่น ๆ ถึงแม้จะไม่ใช่กลุ่มใหญ่ แต่เขาก็มีตัวตน มีความต้องการพื้นที่เหมือนกัน ไม่ต่างจากกลุ่มเป้าหมายของงานที่ภาครัฐจัดเลย แต่กลายเป็นว่าพื้นที่ของรัฐมักจะอนุญาตเฉพาะงานที่แสดงออกแบบไทย ๆ อย่างเดียวเท่านั้น คือเราก็ไม่ได้บอกว่าการฟ้อนรำหรืออะไรแบบนั้นมันผิดนะ สวยมากเลยด้วยซ้ำ และก็ควรจะสืบสานต่อไป แต่วัฒนธรรมไทยหรือพลังของงานศิลปะ มันไม่จำเป็นต้องถูกนำเสนอในรูปแบบเดียวเท่านั้น เราว่าความเป็นไทยมันมีหลายมุม แล้วถ้าเรายอมรับตรงนี้ได้ มันก็จะช่วยเปิดพื้นที่ให้คนสร้างสรรค์งานในแบบของตัวเองได้มากขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น เราอยากจัดงานตรงเจดีย์ อยากทำไลท์ติ้ง อยากสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ เราไม่ได้ขอตังค์ด้วยซ้ำ แค่ขอพื้นที่เฉย ๆ แล้วเราก็ยกตัวอย่างไปเลยว่าอย่างที่ปิรามิดกีซ่า เค้ายังทำเลย แต่กลับเจอคำถามว่า “แล้วพี่จะได้อะไร?” เราก็ตอบไปว่า ‘เราไม่ได้อะไรเลย แต่คนในจังหวัดจะได้’ ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจนะ คือมันแค่เริ่มจากการไม่เข้าใจความหลากหลายเนี่ยแหละ

แล้วพอเขาไม่เข้าใจ เขาก็เริ่มตัดสิน มองว่าเราพวกนอกคอก หยาบคาย บอกว่าดนตรีแบบนี้ ดนตรีร็อก ดนตรีเมทัล ไม่ควรจะมาอยู่ในโบราณสถาน คือมันถูกตัดสินหมดเลยว่าไม่เหมาะสม ทั้งที่ความจริงมันก็เป็นศิลปะเหมือนกัน แล้วแบบนี้เราจะเติบโตกันได้ยังไง ในขณะที่ต่างประเทศเค้ามองเห็นความสำคัญของความหลากหลาย พวกเขาให้พื้นที่กับทุกแขนง ทุกแนว ทุกแนวคิด ซึ่งมันเห็นผลจริง ๆ ว่าคนในซีนของเค้าที่มี mindset กับ passion แบบเดียวกับเรา เขาสร้างตัวเองได้จริง ทำมาหากินได้จริงจากสิ่งที่เขารัก แต่ในบ้านเรามันยังเป็นเรื่องที่ไปได้ยากอยู่เลย

ก็อยากเชิญชวนให้มาเที่ยวงานเรานะครับ (หัวเราะ) อยากให้มาดูว่ามันเป็นยังไง มาสัมผัสบรรยากาศจริง ๆ โดยเฉพาะกับงานที่จัดในอยุธยาเนี่ย เราอยากให้คนเห็นว่าโปรเจกต์แบบนี้มันมีประโยชน์ต่อส่วนรวมจริง ๆ

พูดตรง ๆ เลยว่า บางทีอาจจะมีประโยชน์มากกว่างานที่ภาครัฐจัดเองด้วยซ้ำ แต่ที่ผ่านมา เราไม่เคยได้รับการสนับสนุนใด ๆ เลย แม้แต่ในแง่ของการอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน มันก็ไม่มี เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราต้องทำยังไงถึงจะได้รับการซัพพอร์ต แต่ก็ไม่เป็นไร ถ้าอยากเข้าใจ ก็ลองมาดูงานจริง ๆ ได้เลย มาดูว่าเราทำอะไร แล้วถ้าเห็นว่าดีจะเอาไปต่อยอดทำเองในพื้นที่อื่นก็ยินดีเลยครับ อยากให้มีจิตสาธารณะกันบ้าง จัดไปเลยครับ เอาให้ดี ให้คนอื่นได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งหมดนั่นแหละคือสิ่งที่เราหวังจริง ๆ

เราเชื่อว่าคุณรักมันมากพออยู่แล้วถึงได้ลงมือทำ เพราะงั้น อย่าไปคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันเล็กน้อยหรือเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอกนะ เราเชื่อในทฤษฎีบัตเตอร์ฟลายเอฟเฟกต์มาก คือสิ่งที่เราทำอยู่อาจจะดูเหมือนไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย แล้วก็อาจจะต้องเจอกับความลำบาก เจอความเหนื่อย แต่เชื่อเถอะ ถ้าคุณยังทำมันต่อไป เพราะคุณรักมันจริง ๆ วันหนึ่งมันอาจจะเบ่งบาน แม้จะไม่ใช่ในเวลาของคุณด้วยซ้ำ

เราเองก็เริ่มทำเพราะการเห็นคนอื่นที่เค้าทำมาก่อน แล้วเรารู้สึกอิน เราได้แรงบันดาลใจ เราก็เลยลุกขึ้นมาทำตรงนี้ แล้วเราก็เชื่อนะว่า วันหนึ่งคนที่มาเจอเรา มานั่งร้านเรา ได้อะไรบางอย่างจากเรา เค้าอาจจะกลายเป็นคนที่สร้างอะไรยิ่งใหญ่กว่าที่เราทำก็ได้ แล้วมันก็จะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างได้จริง ๆ

แค่เรารู้ว่าเราเป็นฟันเฟืองเล็ก ๆ อันหนึ่งในยุคสมัยนี้ มันก็พอแล้ว บางทีไอ้สิ่งที่เรากำลังพูดหรือกำลังพยายามผลักดันกันอยู่ อย่างเรื่องความหลากหลายหรืออะไรก็ตาม มันอาจจะยังไม่ชนะตอนนี้ก็ได้ แต่วันหนึ่งมันอาจจะชนะขึ้นมาจริง ๆ ก็ได้ แล้วที่สำคัญคือ ไม่จำเป็นเลยที่เราจะต้องได้เครดิตอะไรจากมัน เพราะสุดท้ายแล้ว ทุกการเปลี่ยนแปลง มันก็ถูกหล่อหลอมมาจากคนที่ลุกขึ้นมาทำมันก่อนตั้งนานแล้ว

ถ้าพูดกว้าง ๆ เลยก็เหมือนที่เราคุยกันก่อนหน้านี้แหละ เราอยากเห็นความหลากหลายที่มันเท่าเทียมมากขึ้น อยากให้เส้นแบ่งระหว่างคำว่า “อินดี้” กับ “แมส” มันเจือจางลงกว่านี้ได้แล้ว ทุกครั้งที่มีคอมเมนต์ประมาณว่า โอ๊ย วงนี้แมสแล้ว ไม่อยากดู หรืออะไรแบบนั้น เออ ให้เขาอยู่ได้ป่ะ ให้เขามีข้าวกิน เราอยากเห็นศิลปินเขามีแฟนคลับมีฐานคนฟังของเขา และเขาสามารถสร้างรายได้ ยกระดับตัวเองขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับคนอื่นได้ แค่นั้นเราก็แฮปปี้แล้ว

ที่เหลือมันก็ปล่อยเป็นกลไกตามธรรมชาติไป แต่ถ้าโอกาสตรงจุดเริ่มต้นมันเท่าเทียมกันก่อนมันก็น่าจะดี ซึ่งการเปิดรับตรงนี้มันอาจจะต้องเริ่มตั้งแต่ผู้ฟังเองแหละ แล้วผู้ฟังก็จะถูกหล่อหลอมมาจากทั้งนโยบายของรัฐ แมสมีเดีย หรือช่องทางสื่อใหญ่ ๆ ที่ช่วยกันแนะนำว่ามันมีดนตรีอีกหลายแบบที่ดีเหมือนกัน

สำหรับคนที่ทำธุรกิจ ถ้าคุณลองมองในมุมระยะยาวบ้าง คุณมีทั้งเงิน มีสายป่านดี มีความสามารถในการลงทุนได้ดีกว่าเราตั้งเยอะ ถ้าคุณลงทุนกับคนพวกนี้นะ วันหนึ่งเขาจะกลายเป็นลูกค้าคุณเองแหละ เพราะฉะนั้นถ้าคุณมองในมุม long-term จริง ๆ มันจะกลายเป็นเหมือนคุณมีบ่อน้ำที่กลายเป็นมหาสมุทรในอนาคตได้เลยนะ แล้วถ้าทุกคนช่วยกันพาวงรุ่นใหม่พวกนี้ขึ้นมาเป็นศิลปิน เป็นตัวท็อปของประเทศได้ เราว่ามันเป็นไปได้นะ

ถ้าหลาย ๆ คนช่วยกันนำเสนอเหมือนที่เราทำกันอยู่ตอนนี้ มันจะไปถึงหูคนอื่นได้แน่ แต่ตอนนี้สิ่งที่เราทำ มันก็ยังเป็นแค่เสียงเล็ก ๆ กันอยู่ ไปคาดหวังกับคนดูมากไม่ได้หรอก เราคุยกับเพื่อนที่เป็นนักบอลอยู่ต่างจังหวัด เค้าก็ฟังได้แค่คลื่นวิทยุ หรือฟังออนไลน์ก็จริง แต่สิ่งที่เค้าเห็นตลอดก็คือสิ่งที่สื่อกระแสหลักป้อนให้ เค้าทำงานเหนื่อยแทบตาย ไม่มีเวลามาหาศิลปะหรือดนตรีที่มันซับซ้อน มันก็ไม่แฟร์

คุณจะไปส่ายหัวใส่เค้าทุกวันว่าฟังอะไรอยู่เนี่ยแบบนั้นมันก็ไม่ใช่ เค้าก็ต้องชอบในสิ่งที่เค้าเจอทุกวันนั่นแหละ แล้วเราก็ปฏิเสธไม่ได้ด้วยว่ามันเป็นเรื่องจริง คือเราจะไปโทษเค้าไม่ได้ว่า “เฮ้ย มึงต้อง educate ตัวเองดิ” มันไม่ง่ายแบบนั้นไง เพราะสำหรับคนบางคน การใช้ชีวิตทุกวันมันก็เหนื่อยมากพอแล้ว จะให้มานั่งพยายามเข้าใจอะไรเพิ่มอีก มันก็ยิ่งกลายเป็นภาระเข้าไปใหญ่ ทั้งที่เค้าก็จ่ายภาษีเหมือนกัน

อย่าง โฟล์คข้างวัด มันมีจัดแบบ Road to เมื่อปีที่แล้วนะ เราก็จะเอาศิลปินที่มีชื่อเสียงแล้วไปเล่นกับวงที่ส่งเพลงเข้ามา แล้วเราก็คัดเลือกไปเล่นด้วยกัน มีวงหนึ่งคือ Noise Figure วงนี้เราชอบมาก ๆ แบบ ‘เชี่ย!’ เลยนะ แต่พอเข้าไปดูยอดวิวในยูทูบ โอ้โห หลักร้อยหลักพัน แต่ฝีมือมึงสุดตีนเลยนะ เล่นสดก็ดี คือมีหลายวงที่เป็นแบบนี้แหละ

เรือพระ Erotic ก็คือน้อง ๆ เรานี่แหละ น้องไมค์มือกลองเก่า Abandoned House เขาไปทำเพลงใต้ เป็นร็อกใต้ที่ใช้ภาษาใต้ แล้วมีกลิ่นนอกกระแส มีพาร์ทดนตรีที่ใช้ปี่ เราก็รู้สึกว่า เฮ้ย ชอบว่ะ แล้วก็มีอีกเยอะนะ เยอะมาก แต่ถ้าให้นึกตอนนี้ก็อาจจะยังนึกไม่ออก อย่างถ้าชอบจริง ๆ ตอนนี้ก็ JPBS อะไรแบบนั้น ถึงจะไม่ใช่วงหน้าใหม่แล้วก็เถอะ

ก็อยากชวนทุกคนมาเที่ยวงานกันนะครับ จะเรียกว่าเป็นเฟสติวัลที่แปลกใหม่ก็ไม่เชิง แต่เราเชื่อว่าทุกคนน่าจะได้เต็มอิ่ม ทั้งเรื่องของดนตรี แล้วก็ศิลปะ หลายคนอาจจะยังไม่เคยเห็นว่าในงานดนตรีงานหนึ่ง จะมีพื้นที่ให้กับงานศิลปะเยอะขนาดนี้ ทั้งบูธจัดแสดง ทั้งพาร์ตที่เป็นนิทรรศการ หรือคอลแลบกับศิลปินแขนงอื่น ๆ ซึ่งเราคิดว่าคนที่ชอบดนตรีก็น่าจะชอบศิลปะ และคนที่ชอบศิลปะก็น่าจะชอบดนตรีเหมือนกัน

เพราะฉะนั้นนี่น่าจะเป็นงานเดียวที่รวมทุกอย่างไว้ในที่เดียว อยากให้มาเจอกันครับ คิดว่าทุกคนน่าจะสนุกแน่นอน แล้วเจอกันวันที่ 11 ตุลาคมครับผม


ติดตามงาน A Youth Thaya ได้ที่ Facebook และ Instagram

โฟล์คข้างวัด ปูน ธนบดี คัชมาตย์ Junk House Stockholm Records A Youth Thaya อยุธยา
+ posts

ชอบไปคอนเสิร์ตเพราะเป็นกิจกรรมที่ทำคนเดียวได้ และยังชอบแนะนำวงดนตรีใหม่ ๆ ผ่านตัวอักษรตลอดเวลา

Related Articles

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy