จอม—ศรัณยู ตรีสุคนธ์ Music Journalist ที่เปรียบดนตรีเป็นชีวิต โดยสะท้อนผ่านงานเขียนให้เหมือนการได้ดูหนังดี ๆ สักเรื่อง

by Nattha.C
277 views
Sarunyoo Threesukon - Music Journalist

นักเขียนสายดนตรี และนักวิจารณ์เพลง ถือเป็นหนึ่งในสายงานที่สำคัญต่อแวดวงดนตรีอย่างมาก แต่สำหรับสังคมไทยเอง ก็อาจจะยังไม่เล็งเห็นคุณค่าของ “Music Journalist” หรือในฐานะบุคคลทั่วไปก็อาจจะไม่รู้จักว่ามีอาชีพนี้อยู่ด้วย เมื่อเทียบกับต่างประเทศที่ให้การสนับสนุนศิลปะผ่านงานเขียนที่ทำให้ผู้อ่านได้รับอะไรที่มากกว่าความไพเราะทางเสียงเพลง เสมือนเป็นตัวกลางอีกหนึ่งช่องทางที่เชื่อมโยงระหว่างศิลปินและผู้ฟังให้พวกเขาได้สัมผัสประสบการณ์กันอย่างลึกซึ้งด้วย

COSMOS Creature วันนี้ เราอยู่กับ จอม—ศรัณยู ตรีสุคนธ์ นักเขียนอิสระด้านภาพยนตร์และดนตรี มีงานอดิเรกเป็นถ่ายภาพสตรีท ปัจจุบัน เขาเขียนสกู๊ปให้กับ ไทยรัฐพลัส (Thairath Plus) และ มติชนสุดสัปดาห์​ (Matichon Weekly) บทความของเขาไม่ได้มีเพียงการวิเคราะห์แง่มุมที่น่าสนใจเท่านั้น แต่ภายในงานเขียนหลาย ๆ ชิ้น ยังแถมด้วยเกร็ดความรู้ และมอบความเพลิดเพลินให้แก่ผู้อ่านไม่น้อย จากประสบการณ์กว่า 20 ปีตั้งแต่ยุคสื่อสิ่งพิมพ์ถึงโลกดิจิตอลของเขามีความสนุกและท้าทายอย่างไร ทุกคนตามไปอ่านพร้อมกันได้ที่นี่

จุดเริ่มต้นของเส้นทางนักเขียนสายดนตรี

ชายที่ชื่อว่า จอม ในวัยเด็กเขาเติบโตมากับบทเพลง ‘บัวขาว’ (คำร้อง: พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล) ที่คุณแม่เคยชอบร้องกล่อมให้ฟังก่อนนอนในเวอร์ชั่นต้นฉบับของคุณ แนบ เนตรานนท์ จนมาถึงเพลง ‘บ้าหอบฟาง’ ของอัสนีย์-วสันต์ กับเนื้อหาที่ฟังแล้วสัมผัสได้เลยว่ามันเป็นสิ่งที่ให้อะไรมากกว่าความไพเราะ โตมาอีกหน่อยก็เคยพยายามฝึกเล่นดนตรีจากไวโอลิน สู่การตีคอร์ดเล่นกีตาร์ตามเพลงฮิตติดกระแส เช่น ‘Don’t Look Back in Anger’ ของ Oasis แต่พักหลังก็หยุดไป เพราะรู้สึกว่าตัวเองมีเซ้นส์ในเรื่องการฟังเพลงมากกว่า

โดยการได้ฟังเพลงของวงดนตรีดัง ๆ ในสมัยนั้นอย่าง Aerosmith, Michael Jackson, Scorpions, Bon Jovi และ House of Pain ยิ่งทำให้ตัวเขาเองได้ตระหนักมากขึ้นกว่าเดิมว่า ดนตรีมีอะไรมากกว่าความไพเราะ แต่มันเป็นเรื่องของศิลปะและสุนทรียศาสตร์ด้วย

Liam Gallagher of Oasis

เขาเริ่มเขียนหนังสือโดยความบังเอิญ และไม่ได้มีความฝันอยากเป็นนักเขียนตั้งแต่แรก แม้ตรงนี้อาจทำให้เราหรือคุณผู้อ่านชะงักเล็กน้อย แต่คำว่า “เขียน” หรือ “จดบันทึก” สำหรับเขาแล้ว อาจหมายถึงการใส่สิ่งนี้เข้าไปในชีวิตประจำวัน ร่วมด้วยกับการอ่าน ดู และฟัง จนวันหนึ่งมันกลายเป็น “นิสัย” โดยสิ่งที่ได้รับตามมาอย่างแน่นอนคือ การได้ฝึกในเรื่องของกระบวนความคิด

“ความฝันของพี่คือการเป็นผู้กำกับหนัง และ ความอยากที่จะเป็นผู้กำกับหนังเนี่ย ทำให้พี่ถึงขั้นพกปากกากับกระดาษเข้าไปในโรงหนังเพื่อจดสิ่งที่อยากจะเขียนในระหว่างดู แต่มารู้ทีหลังว่ามันผิดมาก เพราะมันทำให้ดูหนังไม่รู้เรื่องเลย อย่างงานวิจารณ์หนังเป็นงานเขียนอย่างแรกที่ลงมือทำ เขียน เพราะว่ามันต้องเขียน มันอัดอั้นตันใจ หนังฝรั่งมันแทบจะไม่มีเรื่องไหนที่บอกอะไรกับเราอย่างตรงไปตรงมา มันโยนคำถามให้เรามากกว่าคำตอบ เพราะฉะนั้นมันฝึกกระบวนการความคิดอย่างเป็นขั้นเป็นตอนมาก”

“สิ่งที่ท้าทายคือ พอมันคิดมากเข้า มันจะผสมปนเปไปหมด ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นก่อนหรือหลังจากจุดไหนดี ช่วงแรกที่ลงมือเขียนวิจารณ์หนังก็เลยใช้วิธีจด Outline ออกมาก่อน แล้วค่อย ๆ เรียบเรียงจากเค้าโครง แล้วจึงใส่มุมมองความคิดส่วนตัวลงไปในนั้น ทั้งหมดนี้คือไม่มีใครสอน แต่ด้วยความอยากที่จะเขียนให้มันออกมาอ่านรู้เรื่อง ให้คนอื่นอ่านเข้าใจด้วย ไม่ใช่เราอ่านรู้เรื่องอยู่คนเดียว เราก็พยายามลองผิดลองถูกจนในที่สุดก็เริ่มพอที่จะเขียนเป็น” เขาเล่า

โดยจุดพลิกผันที่ทำให้เข้ามาทำงานเป็นนักเขียน ก็นับเป็นเรื่องบังเอิญเช่นกัน จอมเล่าย้อนถึงตอนกำลังศึกษามหาวิทยาลัยอยู่ชั้นปีที่ 3 เขามีเพื่อนสนิทที่ จู่ ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นมาแล้วบอกว่าจะไปขอฝึกงานที่ที่หนึ่ง เพื่อนคนนั้นชื่อ “เป็ด” ผู้กำลังไปทดลองเขียนงานที่ Starpics

“สมัยนั้นมี สตาร์พิคส์ เล่มเพลงโดยเฉพาะแล้ว เราอยากทำด้วยก็เลยเดินจากสวนดุสิตไปจนถึงโรงพิมพ์ห้องภาพสุวรรณ พอไปถึงก็ของานเขาทำเอาดื้อ ๆ แบบนั้นเลย จำได้ว่าพี่ เอ้—ปรารถนา รัตนะสิทธิ์ (บรรณาธิการในยุคนั้น) เปิดประตูหน้าตางัวเงีย ถามมาแค่ว่า เขียนหนังสือพอได้ไหม พี่ตอบไปว่าขอลองดูก่อนครับ พี่เอ้ก็บอกว่ารอเดี๋ยว ก่อนที่จะกลับมาพร้อมซีดีประมาณ 20 แผ่นแล้วบอกว่าลองกลับบ้านไปเขียนแล้วส่งมาดู”

“พี่เริ่มเขียนจากไม่รู้อะไรเลย รู้แค่ว่า เออ นี่คือเสียงกีตาร์ นี่เสียงเบส นี่เสียงคีย์บอร์ด นี่เสียงกลอง ส่วนโครงสร้างดนตรี ทางเดินคอร์ด การเรียบเรียง ใช้เอฟเฟกต์อะไร หรือแม้กระทั่งแนวเพลงยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ แต่เราก็พยายามเขียนเท่าที่เรารู้ จะโกงก็ไม่ได้เพราะสมัยนั้นข้อมูลในอินเทอร์เน็ตมันน้อยมาก พอไปส่ง สรุปว่าก็ยังไม่ได้ลงนิตยสาร แต่พี่เอ้ก็ยังเอาซีดีมาให้เราฟังอยู่ คราวนี้เขาเริ่มแนะแล้วว่าวงนี้เล่นแนวอะไร ทำไมซาวด์ถึงเป็นแบบนี้ บอกประวัติวงดนตรีคร่าว ๆ ทีนี้เราก็ได้ความรู้เพิ่มเติมพอที่จะเขียนได้บ้างแล้ว” — โดยบทความที่ได้ตีพิมพ์ลงนิตยสารเป็นครั้งแรกคืออัลบั้ม ‘Play’ (1999) ของ Moby และเป็นผลงานเพลงที่เขาชอบมาจนถึงทุกวันนี้

“พี่ใช้เวลาเขียนอยู่นานหลายสัปดาห์ แต่ละเพลงที่ฟังนี่คือฟังไปหลายสิบรอบจนพอจับทางได้ว่านี่มันคือแนวอะไร มันมีการใช้แซมเพิลด้วย ซึ่งตอนนั้นกว่าจะรู้ว่าอะไรคือแซมเพิล ถึงขั้นต้องไปหาข้อมูลจากวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาคณะดุริยางค์ศิลป์ที่หอสมุดแห่งชาติเลย จำได้ว่าไปยืนอ่านบทความที่ตัวเองเขียนที่ร้านหนังสือดอกหญ้า สาขาเซ็นทรัลลาดพร้าว ภูมิใจมาก ตอนนั้นพี่อายุได้สัก 21 ปี”

อาชีพ Music Journalist เท่ากับ ?

สำหรับเรา เมื่อพูดถึงอาชีพนักเขียนด้านดนตรี หรือ Music Journalist มักจะทำให้นึกถึงภาพยนตร์เรื่อง Almost Famous มีชื่อไทยว่า “อีกนิด…ก็ดังแล้ว” ที่ตัวละครหลักของเรื่องนี้ได้จับพลัดจับผลูไปเป็นนักเขียนให้กับนิตยสาร Rolling Stone และออกทัวร์กับวงดนตรีร็อก เรื่องราวความสนุก ดราม่า และพาซึ้งก็บังเกิด ซึ่งทำให้เราได้เห็นความสวยงามของอาชีพนี้ในอีกมุมมองหนึ่ง ประจวบเหมาะกับภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เขารักมากเช่นกัน ทางผู้กำกับ Cameron Crowe เคยเป็น Music Journalist ให้กับ Rolling Stone มาก่อน คาเมรอน โครว์ นำเอาประสบการณ์ร่วมที่เคยมีกับอาชีพนี้มาถ่ายทอดลงบนจอหนังได้อย่างเข้าถึงจิตวิญญาณ

เขาเล่าว่า การทำงานสัมภาษณ์ศิลปินระดับโลกอย่างต่อเนื่อง มันมีทั้งความกดดันและความสนุกในเวลาเดียวกัน ช่วงแรก ๆ เราไม่สามารถแยกสองสิ่งนี้ออกจากกันได้ เราอาจมีความสุขที่ได้คุยกับศิลปินระดับนี้ แต่ด้วยความเป็นอาร์ตติสต์ของศิลปินเบอร์ใหญ่บางคน ก็อาจทำให้บางครั้งเขาไม่ได้อยากจะตอบคำถามที่เราถาม แต่เขาอยากจะชวนคุยเรื่องอื่นมากกว่า

“สิ่งนี้เป็นประสบการณ์ที่ทำให้พี่ต้องทำการบ้านด้วยการศึกษาล่วงหน้าว่า บุคลิก วิธีคิด และพฤติกรรมของศิลปินแต่ละคนที่เราจะสัมภาษณ์เป็นอย่างไร พี่จะมีกระดาษกับปากกาคอยจดวิธีคิดของศิลปินในระหว่างสัมภาษณ์อยู่ตลอด การทำการบ้านก่อนลงมือสัมภาษณ์ พี่ศึกษามาจาก วิลเลียม มิลเลอร์ (แพทริก ฟูกิต) จากหนังเรื่อง Almost Famous ด้วยนะ ถือว่าเป็นครูคนนึงได้เลย”

‘Almost Famous’ (อีกนิด…ก็ดังแล้ว) ภาพยนตร์ดราม่า-คอมเมดี้ปี 2000 จากผู้กำกับ Cameron Crowe

ย้อนกลับไปในช่วงต้นปี 2000 จอมเล่าว่า ณ ตอนนั้น มีการเข้ามาของอินเทอร์เน็ตเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าหากพูดถึงกันในฝั่งข้อมูลเชิงลึก ก็ยังพบว่าน้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับสมัยนี้ ตั้งแต่ ประวัติศิลปิน-วงดนตรี รวมไปถึงบทสัมภาษณ์อย่างละเอียดยิบให้เข้าไปศึกษา บางครั้งต้องสืบค้นผ่านลิงก์ที่เชื่อมโยงกันไปกันมา หรือเสิร์ชเข้าไปในเมืองบางเมืองที่เขาให้ความสำคัญกับวงดนตรีที่สร้างชื่อให้กับเมืองของเขา ส่งผลให้คนทำงาน บริษัท หรือสำนักสื่อในไทยส่วนใหญ่ จำเป็นซื้อนิตยสารดนตรีต่างประเทศมาเพื่อแปล อ้างอิง แล้วนำมาใช้เป็นข้อมูลต่าง ๆ

“การเขียนข่าวในสมัยนั้น ข่าวบนอินเทอร์เน็ตมันไม่ได้มีเยอะมากเท่าไหร่ โชคดีที่ทางบริษัทเค้าซื้อนิตยสารดนตรีต่างประเทศให้ได้อ่านเพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลอยู่ สามเล่มหลัก ๆ เลยก็มี NME, Q Magazine และ Kerrang ซื้อประจำทุกปักษ์ ทำให้เรามีคลังข้อมูลของวงดนตรีจากฝั่งอังกฤษ, ยุโรปและอเมริกาครบเลย ตั้งแต่ บริทป็อป, อัลเทอร์เนทีฟร็อก, อาร์ตร็อก, โฟล์ก, ฮิปฮอป, อิเล็กทรอนิกส์ และ เฮฟวี เมทัล”

สิ่งที่นักเขียนต้องเตรียมตัวคือ เราต้องรู้ว่าวงดนตรีหรือแนวดนตรีแบบไหนที่กำลังมาแรง เราก็หาข้อมูลที่น่าสนใจมาเขียน อันนี้คือเขียนป้อนตลาด แต่จะมีคอลัมน์เฉพาะที่ไม่ได้ตามกระแสด้วย อย่างเช่นคอลัมน์ดนตรีเต้นรำ เขาใช้เครื่องดนตรีแบบไหนในการสร้างเสียงบ้าง, คอลัมน์ดนตรีอินดัสเทรียล เขาทำดนตรีกันยังไง “บทความของวงดนตรีนอกกระแส พี่ก็พยายามเขียนถึงนะ อย่างวง Modest Mouse, The Shins,  LCD Soundsystem, !!!, Massive Attack, The White Strips, The Postal Service, The Zutons, TV On the Radio, Cut Copy, The Walkmen ถึงแม้จะรู้ดีว่าคนอ่านมันมีไม่เยอะหรอก”

ความสำคัญของนักวิจารณ์เพลง นักเขียน และอาชีพ Music Journalist ต่ออุตสาหกรรมดนตรี

ไม่ว่าใครก็สามารถที่จะวิจารณ์ได้ แต่การที่จะเป็นนักวิจารณ์ที่ดีได้ เราจะต้องมีความคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลก่อน (Critical Thinking) เช่น เราต้องรู้จักการตั้งคำถาม อย่างดนตรีท่อนนี้ใช้เสียงแบบนี้มันให้ความรู้สึกอย่างไร มันจะนำไปสู่การวิเคราะห์ และค้นหาข้อมูลว่าทำไมศิลปินถึงเลือกใช้จังหวะ, ใช้เครื่องดนตรีแบบนี้ เนื้อหาของเพลง ๆ นี้ทำไมอ่านแล้วไม่เข้าใจเลย แต่แทนที่เราจะทิ้งมันให้เป็นปริศนาต่อไป เราก็ลองมานั่งคิดวิเคราะห์ดูว่า ศิลปินพยายามที่จะสื่อถึงอะไรผ่านเนื้อเพลงที่อ่านแล้วโคตร-งง

หรือถ้าเราไม่รู้ว่ามันสื่อถึงอะไรเลย อย่างน้อยมันก็ทำให้เราได้ประเมินด้วยการตั้งคำถาม นี่แหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการศึกษางานศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นแขนงไหนก็ตาม เพราะงานศิลปะคือการตั้งคำถาม กระตุ้นให้เราค้นลึกไปยังความหมายบางอย่างที่เราไม่จำเป็นที่จะต้องรู้คำตอบก็ได้ เพราะ “งานเขียน” ไม่ใช่แค่การเขียนอะไรที่เราสนใจและทำมันออกมาให้ดี แต่มันคือการกระตุ้นให้ผู้อ่านได้ฉุกคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับสังคม ทำไมเทรนด์ดนตรีชูเกซ จู่ ๆ ถึงได้กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ทำไมเพลงนี้ถึงฮิตใน TikTok อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“ทุกวันนี้เวลาที่พี่จะเขียนบทความอะไรก็ตาม จะพยายามดึงเอาเรื่องสังคมการเมือง หรืออะไรก็ตามแต่ที่เกิดขึ้นในโลกมาเชื่อมโยงกับดนตรี เราอยากให้คนอ่าน อ่านเสร็จแล้วได้อะไรกลับไป ได้คิดถึงอะไรบางอย่าง คล้ายกับการได้ดูหนังดี ๆ สักเรื่องแล้วมันยังมีตะกอนความคิดติดอยู่ในหัวจนถึงบ้านก็ยังนั่งคิดอยู่ พี่อยากให้งานเขียนของพี่เป็นแบบนั้นเหมือนกัน”

หากสังคมไทยมีนักวิจารณ์ศิลปะที่ดี และสามารถผลักดันให้มันอยู่ในกระแสหลัก เป็นหัวข้อสนทนาที่จะยกระดับสติปัญญาได้ มันจะไม่เพียงแต่จะยกระดับอุตสาหกรรมดนตรีให้ก้าวไปได้ไกลกว่าในตอนนี้ แต่มันจะยกระดับทุกอย่างที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่แวดวงศิลปะอย่างเดียวด้วย เช่นเดียวกับ Music Journalist ที่เป็นหนึ่งในสายงานที่สำคัญมากต่อการขยายพื้นที่ทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะ Pop Culture

บทบาทหน้าที่ของ “สื่อ” และการวิพากษ์วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์

“ทุกคนมีสิทธิ์อย่างเต็มที่ในการวิจารณ์งานศิลปะไม่ว่าจะแขนงไหนก็ตาม แต่สิ่งที่จำเป็นอย่างมากก็คือคุณ ในฐานะที่เป็นผู้วิจารณ์ก็ควรที่จะเหลือที่ยืนเอาไว้ให้กับผู้ที่สร้างสรรค์งานด้วย”

จอมกล่าวถึงอาจารย์ท่านนึงและคิดเหมือนกันอย่างสุดหัวใจว่า ไม่ว่างานศิลปะที่ทำออกมามันจะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม แต่ผู้สร้างงานย่อมพยายามอย่างเต็มที่แล้วที่จะทำให้มันออกมาดีที่สุดเท่าที่ศักยภาพของเขาจะทำได้ การด่าทอจุดด้อยของงานเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ๆ แต่การพยายามเฟ้นหาคุณค่า ท่ามกลางความเลวร้ายให้เจอเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความรู้ สติปัญญา และประสบการณ์อยู่ไม่น้อย ในฐานะนักวิจารณ์ก็ควรที่จะหาความพยายามนั้น ๆ ของผู้สร้างให้เจอ ถึงแม้ว่าตามรายทางมันจะเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่น่าพิสมัยอยู่เต็มไปหมดก็ตาม

และการวิจารณ์ด้วยข้อเท็จจริงคือหน้าที่ของ “สื่อ” เพราะสื่อคือตัวกลางในการเชื่อมโยงทัศนคติของผู้สร้างและผู้เสพ ผ่านการตรวจสอบคุณค่าของงานโดยนักวิจารณ์ ซึ่งเขาเสริมว่า มุมมองในการวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ของแต่ละคนก็ยิ่งย่อมมันไม่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าเราจะไม่เห็นด้วยหรือเถียงแบบหัวชนฝาแค่ไหนก็ตาม แต่สำหรับบางคนแล้ว การด่าทอแบบใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งเพื่อทำลายถือเป็นความสร้างสรรค์ เราไม่สามารถไปห้ามความคิดของพวกเขาได้ แน่นอนทุกวันนี้มีสื่อออนไลน์ที่ขายสิ่งนี้เป็นหลักอย่างดาษดื่น ซึ่งก็มีผู้ติดตามมากมายด้วย นั่นก็เป็นสิ่งที่เราห้ามไม่ได้เหมือนกัน

แต่เราสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ ผ่านการวิจารณ์งานอย่างสร้างสรรค์ มองหาคุณค่าที่ควรชื่นชม และหาข้อด้อยและติอย่างมีเหตุผลเพื่อให้ผู้สร้างงานนำไปฉุกคิดและพัฒนาในงานชิ้นต่อไปถือเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะมันจะสร้างสังคมอุดมปัญญาที่จะทำให้งานอะไรก็แล้วแต่ค่อย ๆ ดีขึ้น และเมื่อมาถึงจุดหนึ่ง งานเหล่านี้จะสร้างแรงบันดาลใจที่ส่งผ่านกันต่อไปในเชิงสร้างสรรค์ ไม่ใช่ความเกลียดชังที่นอกจากจะไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมาแล้ว ผู้สร้างงานก็จะหมดกำลังใจในการทำงานสร้างสรรค์ต่อไป และมันอาจจะนำไปสู่จุดจบที่คาดไม่ถึงได้

บทความพิเศษเกี่ยวกับอัลบั้ม Mellon Collie & the Infinite Sadness ของ Smashing Pumpkins ที่กำลังเดินทางมาเล่นที่ไทยในรอบ 29 ปี

การเปลี่ยนผ่านยุคจากสื่อสิ่งพิมพ์ นิตยสาร สู่สื่อดิจิตอล เว็บไซต์ออนไลน์ และโซเชียลมีเดีย

ในสมัยที่ทำนิตยสารหนังและดนตรี มีไม่กี่เจ้าที่ประกาศตัวว่าเป็นปฏิปักษ์กับนิตยสารที่เราทำ ส่วนมากจะเป็นพันธมิตรกันเสียมากกว่า ซึ่งพอเราเป็นพันธมิตรกัน เรามีอะไรที่จะส่งเสริมกันได้เราก็ทำ จำได้ว่ามันเป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่ามาก เพราะต่างคนต่างก็รักในภาพยนตร์และดนตรีเหมือนกัน ส่วนบางนิตยสารที่ประกาศตนเป็นศัตรูกับเรา ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใดก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วก็ถูกโดดเดี่ยวไปอย่างช่วยไม่ได้

สิ่งสำคัญที่ทำให้ “สื่อ” ไม่ว่าจะเป็นสื่อรูปแบบไหนก็ตามอยู่ในวงการได้อย่างราบรื่นยาวนาน คือเราต้องเป็นพันธมิตรกัน ถึงแม้ว่าสื่อสิ่งพิมพ์จะค่อย ๆ ล้มหายตายจากกันไป คนที่เคยทำงานต่างสำนักพิมพ์กันก็มารวมกันทำสื่อดิจิตอลด้วยกันครับ จะว่าไปแล้วมันเป็นมาตั้งแต่สมัยที่แต่ละคนทำงานสื่อสิ่งพิมพ์แล้วด้วยซ้ำไป คิอนักเขียนคนนั้นเขียนประจำให้เล่มนี้ แต่ก็มีเขียนให้อีกเล่มนึงโดยใช้นามปากกา ที่ทำแบบนี้ เท่ากับว่าเรื่องเงินไม่สำคัญเท่ากับการที่บรรณาธิการของนิตยสารหลาย ๆ หัวต้องการที่จะสร้างสังคมคุณภาพ ผ่านงานเขียนดี ๆ จากนักเขียนเก่ง ๆ ซึ่งผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ไปแบบเต็ม ๆ ก็คือ “คนอ่าน”

สื่อสิ่งพิมพ์ตายไปในเชิงกายภาพเท่านั้น แต่คุณค่าของงานเขียนยังคงอยู่ แม้ว่ามันจะลดน้อยลงไปก็ตาม แต่เราเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ ตอนนี้ก็มีสื่อดิจิตอลน้ำดีให้เลือกเสพเต็มไปหมด เป็นหน้าที่ของเรามากกว่า ที่จะเลือกเสพสื่อแบบไหน นักเขียนที่เคยเขียนลงสื่อสิ่งพิมพ์ ในปัจจุบันก็ยังคงเขียนสื่อออนไลน์อยู่เป็นจำนวนไม่น้อยเหมือนกัน ถ้าจำไม่ผิดคุณ วัฒน์ วรรยางกูร เคยบอกว่า “อาชีพนักเขียนไม่มีวันตกงาน แต่จะได้เงินพอยาไส้หรือเปล่านั้นมันก็อีกเรื่องหนึ่ง”

“แน่นอนว่า ยอดเอนเกจเมนต์อาจทำให้บางสื่อขายวิญญาณให้ซาตานด้วยการนำเสนอข่าวหรือว่าบทความที่เรียกกระแสมากกว่ามอบความรู้ให้ผู้อ่าน แต่ก็จะไปโทษเขาอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะนายทุนก็ต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ซึ่งเราก็ต้องลองย้อนกลับมามองตัวเองด้วยว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงเลือกเสพสื่อตามกระแสมากขนาดนั้น เพราะถ้าหากไม่มีคนกดเข้าไปดู ข่าวประเภท Click Bait พวกนี้ก็ไม่มีทางอยู่ได้และมันก็ย้อนกลับมาสู่คำถามที่ว่า ทุกวันนี้คุณภาพของผู้เสพสื่อเป็นอย่างไร? ซึ่งมันสะท้อนออกมาให้ได้เห็นผ่านยอดผู้ติดตามของแต่ละเพจ ส่วนตัวคนเขียนบทความเอง อย่างเช่นพี่ พี่ไม่สนใจยอดไลก์หรือเอนเกจเมนต์เท่าไหร่นะ แต่พี่สนว่างานเขียนที่เขียนออกมามีประโยชน์มากพอที่จะอ่านจนจบได้หรือเปล่า อย่างน้อยเราก็ต้องรู้ว่ามันมีคุณค่ามากพอที่คนจะเข้ามาเสียเวลาอ่าน”

วิธีการปรับตัว คำแนะนำ และข้อความถึงนักเขียนในยุคปัจจุบัน

ถ้าเราอยากเป็นนักเขียน สิ่งที่ต้องทำเลยก็คือหาปากกาสักด้าม และหนังสือเปล่าสักเล่มก่อนเลย อยากจะเขียนอะไรก็เขียนลงไปเลยครับ เพราะสิ่งที่เราเขียน ไม่ว่าจะมีสาระหรือไม่ มันย่อมสะท้อนตัวตนของเราในช่วงเวลานั้นออกมาเสมอครับ สำหรับใครก็ตามที่ฝันอยากจะเป็นนักเขียนอาชีพ ก่อนอื่นเลยเราต้องหา input ให้กับตัวเองด้วยการอ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า เพราะมันสำคัญมาก ๆ สำหรับการเขียนหนังสือ

และการวิจารณ์ดนตรี มันไม่ได้เขียนเกี่ยวกับโครงสร้างคอร์ด, วิธีการร้องเพลงของนักร้องว่าอยู่ในช่วงเสียงไหน ร้องดีไหม ว้ากได้สาแก่ใจหรือเปล่า หรือทำนองจังหวะเสียงประสานไดนามิกเป็นอย่างไร เพราะภาพรวมของมันใหญ่กว่านั้นมาก เราต้องวิเคราะห์ไห้ได้ว่าทำไมศิลปินถึงเลือกใช้คำนี้ในท่อนนี้ ท่อนโซโล่กีตาร์ในช่วงนี้ให้ความรู้สึกอย่างไร เนื้อหาของเพลงสะท้อนถึงแก่นสารของชีวิตอย่างไร

เพลงไม่ได้เป็นแค่เรื่องของโน้ต แต่มันเป็นเรื่องของความรู้สึก, ปรัชญา, ประวัติศาสตร์, การเมือง และวิถีชีวิตด้วย ซึ่งถ้าหากเราไม่ได้ศึกษาถึงเรื่องความรู้รอบตัวเหล่านี้ เราอาจจะเป็นได้เพียงแค่คนที่อยากจะเขียนหนังสือเท่านั้น แต่ไม่ได้ใส่จิตวิญญาญลงไปในตัวอักษรจริง ๆ ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ครับ

‘Self-Portrait’ by Sarunyoo Threesukon
+ posts

แบม นักเขียนน้องเล็กที่ชอบอ่านหนังสือและฟังเพลงในเวลาเดียวกัน ปัจจุบันกลับมาทำเพจ Listenist

Related Articles

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy