ท่ามกลางความหดหู่ไร้ซึ่งความหวังจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นพร้อมกันทั่วทุกสารทิศ มีการกลับมาของวงดนตรีวงหนึ่งที่ไม่เพียงแต่มอบความฝันให้กับคนรุ่นใหม่ แต่มันอาจจะรวมถึงการเติมเต็มที่ทำให้เราทุกคนรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง ซึ่งนั่นก็คือวง Turnstiles ที่เปลี่ยนทุกก้าวของพวกเขาให้กลายเป็นการค้นหา “Every Possible Way” ในมุมมองความคิดที่เรามีต่อดนตรีฮาร์ดคอร์และโลกใบนี้
ทั้งการแสดงสดที่เปี่ยมด้วยพลังงานสุดพลุ่งพล่านใน Wyman Park Dell กับการเลือกใช้พื้นที่สาธารณะที่ยังหมายถึงการโอบรับทุกคนอย่างเท่าเทียม หรือกระทั่งการที่พวกเขาพึ่งสร้างตำนานด้วยการปีนโต๊ะแล้วกระโดดลงมา Crowd Surfing ท่ามกลางหมู่ผู้ชมและทีมงานในรายการ NPR Tiny Desk ที่จริง ๆ แล้วมันเป็นห้องออฟฟิศไม่กี่คูหาเท่านั้น แต่พื้นที่ตรงนั้นกลับเต็มไปด้วยความสนุกสนานเกินห้ามใจ แต่ก่อนจะกลายมาเป็นวงดนตรีที่เฟรนด์ลี่กับคนฟังที่สุดในปีนี้ พวกเขามีจุดเริ่มต้นจากอะไรบ้าง มาอ่านบทความนี้ไปพร้อมกันได้เลย

Turnstile คือวงดนตรีฮาร์ดคอร์พังค์จากสหรัฐอเมริกาที่ก่อตั้งเมื่อปี 2010 โดยสไตล์เพลงช่วงแรกของพวกเขาส่วนใหญ่มักได้รับอิทธิพลจาก Breakdown, Bad Brains, Rage Against The Machine ไปจนถึงแนวเพลงอัลเทอร์เนทีฟร็อกยุค 90s ก่อนเริ่มต้นเส้นทางนี้ด้วยการโลดแล่นอยู่ในซีนอันเดอร์กราวนด์ ผ่านผลงาน EP Pressure to Succeed (2011) และ Step 2 Rhythm (2013) ที่ถือเป็นจุดกำเนิดของการสร้างฐานแฟน ไม่ว่าจะด้วยเอเลเมนต์ดนตรีที่สดใหม่หรือแตกต่างจากวงอื่นในช่วงเวลานั้น
โดยเฉพาะสตูดิโออัลบั้มชุดแรกอย่าง Nonstop Feeling (2015) ที่พวกเขานำดนตรีแร็ปเมทัลและ และจังหวะบีทดาวน์ มาประกอบริฟฟ์กีตาร์สุดหนักหน่วง แต่ถ้าลองฟังแล้วจะสามารถรู้สึกได้ถึง กรูฟชวนโยกทันที เช่นเพลง ‘Gravity’, ‘Drop’ ขณะเดียวกันก็ยังมีฮาร์ดคอร์พังค์มันส์ ๆ แบบเพลง ‘Out of Rage’, ‘Bring It Back’ และการาจร็อกที่สอดแทรกอารมณ์หม่นเศร้าไว้ใน ‘Blue by You’
ต่อด้วยสตูดิโออัลบั้ม Time & Space (2018) ที่พวกเขาเริ่มทดลองใช้เอเลเมนต์ใหม่ ๆ มากขึ้น อาทิ ซาวด์คีย์บอร์ด ซินธิไซเซอร์ เอฟเฟกต์เสียงปรบมือ ไปจนถึงท่อนกีตาร์โซโล่ที่ผสมผสานกลิ่นอาย psych-garage, hyper-metallic กึ่งดนตรีฮาร์ดร็อก ยิ่งเมื่อลองเราเทียบกับผลงานชุดก่อนหน้านั้น ชุดนี้จะมีการเรียบเรียงไดนามิกหรือใส่เลเยอร์หลายชั้นกว่า อัลบั้มนี้จึงเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมต่อระหว่างดนตรีอันเดอร์กราวนด์กับเมนสตรีม จนการมาถึงของผลงานชุด Glow On ในปี 2021 ที่ได้เทิร์นบทบาทของตัวเองสู่การเป็นหนึ่งในหัวหอกสำคัญต่อการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของดนตรีฮาร์ดคอร์
วงไม่เพียงแต่ได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดีจากสำนักสื่อใหญ่ ๆ เท่านั้น แต่เป็นมูฟเมนต์ที่ Breakthrough ในการทลายกำแพงดนตรีที่ยืดหยุ่นไม่ตายตัว ตั้งแต่การเรียบเรียงเมโลดี้ให้เข้าถึงง่าย และแต้มมัน ด้วยกลิ่นอายดรีมป๊อป โซล อาร์แอนด์บี ดิสโก้ ก่อนส่งผลงานอย่าง New Heart Designs (2023) อีพีภาคต่อที่พวกเขาเลือกตีความเพลงของตัวเองใหม่ ผ่านดนตรีแนวอิเล็กทรอนิกส์และคลับมิวสิค ซึ่งความเปิดกว้างของพวกเขาไม่ได้หยุดเพียงแค่การข้ามแนวเพลงไปมา แต่ยังหมายถึงการเปิดรับคนทั่วไป อย่างการส่งพลังบวกผ่านการสร้างคอมมูนิตี้ที่ทุกคนสามารถเข้าร่วมและรู้สึกปลอดภัยได้
หรือกระทั่งการรีแบรนด์ในส่วนของอาร์ตไดเร็กชั่น–ภาพปกที่ใช้โทนสว่างสดใสและดีไซน์ให้ทันสมัย, การแสดงสดที่สนุกสนานราวกับมาเพื่อพบปะเพื่อนฝูงหรือคนหมู่มากที่ร้องเต้น กระโดดไปพร้อมกัน, แนวคิดของสมาชิกวงที่ไม่ได้ปิดกั้นและต่อต้านกระแสหลัก อย่างการไปปรากฏตัวในเทศกาลชื่อดัง อาทิ Coachella, Lollapalooza, Primavera รวมถึงเฟสติวัลในสายเดียวกันอย่าง Outbreak Fest
และการไม่ทำตามสูตรสำเร็จหรือไปจำกัดขอบเขตที่มัก Define ว่าแนวเพลงนี้ต้องทำแบบนี้เท่านั้น นี่จึงเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งว่า ทำไม Turnstile ถึงทำให้ดนตรีประเภทนี้กลับมาอยู่ในกระแสหลักได้จริง โดยยังคงรักษาแก่นแท้ของดนตรีฮาร์ดคอร์เอาไว้ อย่างวัฒนธรรมมอชพิท สเตจไดฟ์ ทูสเต็ป และประสบการณ์ที่ให้มากกว่าสิ่งที่เรียกว่า “คอนเสิร์ต” ในแบบที่ทุกคนมีพื้นที่ปลดปล่อยของตัวเอง

ล่าสุด พวกเขาก็กลับมาพร้อมสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 4 อย่าง Never Enough (2025) ที่ปรับเปลี่ยนการเขียนเนื้อหาเพลง และเล่าด้วยท่วงทำนองดนตรีที่มีชีวิตชีวาหรือความลึกซึ้งทางอารมณ์ยิ่งขึ้น ผ่านการนำเรื่องราวส่วนตัว และบันทึกการเดินทางของพวกเขาในฐานะวงดนตรีมาสื่อสารเกี่ยวกับ ความไม่มั่นใจในตัวเอง การหลงทาง ไปจนถึงการให้เวลาตัวเองเพื่อทบทวนสิ่งต่าง ๆ โดยยังต่อยอดจากคอนเซ็ปต์ “Turnstile Love Connection” ที่ต้องการให้ทุกคนรู้สึกถึงความรักที่มีอยู่รอบตัวเรา
ในพาร์ทดนตรีของอัลบั้มนี้จะใช้การผ่อนหนักผ่อนเบาของริทึ่ม พร้อมเมโลดี้ที่ค่อนไปทางป๊อปติดหู และเทมโปที่ไม่เร่งรีบจนเกินไป เพื่อให้บรรยากาศมันออกมาผ่อนคลายกว่าผลงานในช่วงที่ผ่านมา แม้สำหรับตัวผู้เขียนที่ลองกดฟังชุดนี้ครั้งแรก ก็แอบคิดว่าหลายเพลงในนี้ค่อนข้างเพลย์เซฟไปสักนิด ยกเว้นว่าถ้าเปิดใจกลับไปฟังอีกหลายครั้ง ก็จะเริ่มรู้สึกว่ามันซึมเข้าหูจนฟังกี่รอบไม่เคยพอจริง ๆ
ทว่า ความสำเร็จของ Turnstile ไม่ได้ติดอยู่แค่ตัวผลงานเพลงอีกต่อไป เพราะพวกเขากลับพิสูจน์ ให้เห็นว่าสิ่งที่ทางวงตั้งใจทำมาตลอดระยะเวลาหลายปีนี้ มันได้สร้างแรงกระเพื่อมขนาดใหญ่ แบบไม่แบ่งเพศแบ่งวัย และส่งต่อแรงบันดาลให้คนรุ่นใหม่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ผมคิดว่า ในฐานะที่พวกเราผ่านการเล่นดนตรีฮาร์ดคอร์มาหลายปี การได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ มันคืออะไรที่เจ๋งมาก และพวกเรายังโชคดีในแง่ที่ไม่จำเป็นต้องทำให้มันออกมาแข็งกร้าวเสมอไป ต่างจากช่วงแรกที่ผมเข้าพึ่งวงการมาใหม่ ๆ แล้วมองว่าดนตรีฮาร์ดคอร์มีเพียงแค่ด้านขาว–ดำ และมันไม่ใช่ที่ที่เราจะแสดงความรู้สึกเปราะบางอ่อนไหวได้ด้วยซ้ำครับ” – Brenden Yates จากเว็บไซต์ theprp.com

แบม นักเขียนน้องเล็กที่ชอบอ่านหนังสือและฟังเพลงในเวลาเดียวกัน ปัจจุบันกลับมาทำเพจ Listenist
