ไว้อาลัยอาจารย์ Leiji Matsumoto ชวนย้อนดูผลงานของเขาใน ‘Interstella 5555’ อนิเมะที่เล่าเรื่องผ่านอัลบั้ม ‘Discovery’ ของ Daft Punk

by McKee
259 views

ในกาแล็กซีอันไกล แสนไกล … ถ้ามนุษย์โลกจะรองเงี่ยหูฟังดี ๆ ก็อาจจะได้เสียงเพลงอิเล็กทรอนิกเคล้ากลิ่นอายดิสโก้ที่ดังไปทั่วทั้งระบบสุริยะ ก่อนภาพจะตัดไปบนดาวดวงหนึ่งที่มีเทคโนโลยีล้ำยุค แต่ทุกคนก็ยังเต้นรำสนุกไปกับคอนเสิร์ตเหมือนที่มนุษย์ทำ โดยบนเวทีมีเอเลี่ยนตัวสีฟ้ารูปร่างคล้ายมนุษย์ 4 คนกำลังบรรเลงดนตรีอย่างครื้นเครง และมีความสุขกับมัน ก่อนที่จะมีกลุ่มทหารไม่ทราบฝ่ายบุกเข้ามาในคอนเสิร์ต แล้วเพลงก็จบภาพก็ตัดไป

สำหรับคนที่ชอบเพลง One More Time ก็อาจตื่นเต้นเป็นธรรมดาที่ MV เพลงนี้เป็นอนิเมะญี่ปุ่น ทั้งลายเส้นและภาพก็พอดูออกว่าปีลึกอยู่เหมือนกัน แต่ความจริงแล้ว นี่คือฉากเปิดของซีรีส์อนิเมะระดับตำนานที่ได้ Leiji Matsumoto ปูชนียบุคคลของวงการการ์ตูนญี่ปุ่นมาอำนวยการสร้างให้ เพื่อโปรโมตอัลบั้มที่สองของดูโอ้โรบอทนาม Daft Punk โดยไม่มีใครคิดว่าอีกหลายปีต่อมา มันจะเหนือกาลเวลาขนาดนี้

‘Discovery’ ได้รับการยกย่องจากนิตยสาร ‘Rolling Stone’ ว่าเป็น 1 ใน 500 อัลบั้มยอดเยี่ยมตลอดกาล เพลง One More Time เองก็พา Daft Punk ติดชาร์ต top 5 หลายสิบประเทศ และทำให้ทั่วโลกได้รู้จักดูโอ้คู่นี้ เป็นยุคแรกที่พวกเขาประกาศว่าตัวเองคือหุ่นยนต์พร้อมสวมหมวกเหล็กที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกเขา จนเป็นไวรัลไปทั่วอินเทอร์เน็ต

แต่น่าเสียดายที่ ‘Interstella 5555: The 5tory of the 5ecret 5tar 5ystem’ กลับไม่ถูกจดจำในฐานะซีรีส์อะนิเมะชั้นครู เท่าที่แฟนเดนตายวาดหวังไว้ เนื้อเรื่องของมันเต็มไปด้วยเอกลักษณ์ของอาจารย์ Leiji Matsumoto การเสียสละเพื่อความรัก การสูญเสียมิตรภาพที่ยากจะลืมเลือน รวมถึงเซ็ตติ้งของอวกาศไซไฟที่จับต้องได้ มาดูตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าร่วมสมัยมาก ๆ ที่แม้จะไม่มีบทพูดเลย แต่อนิเมะก็ค่อย ๆ เฉลยเรื่องราวของมันช้า ๆ ไปกับตามเพลงของ Daft Punk

เนื้อเรื่องเกี่ยวกับผู้จัดการวงดนตรีอันชั่วร้าย ที่ลักพาตัวนักดนตรีจากทั่วแกแล็กซี่มาเซ็นสัญญาทาสให้กลายเป็นศิลปินบนดาวโลก ซึ่งเฉลยทีหลังว่า จริง ๆ แล้วเขาก็คือมนุษย์ต่างดาวที่ต้องการสะสมแผ่นเสียงทองคำให้ครบ 5,555 แผ่น และบูชายัญศิลปินเก่ง ๆ เพื่อรับพลังระดับจักรวาลแล้วใช้มันเพื่อครองโลกทั้ง Mozart หรือศิลปินเก่ง ๆ ในแต่ละยุคล้วนเป็นมนุษย์ต่างดาวหมด

ต่อจากเพลง One More Time กลุ่มตัวเอกก็ถูกลักพาตัวมายังโลกเพื่อชุบตัวให้เหมือนมนุษย์และถูกบังคับให้เล่นดนตรีในชื่อวง ‘The Crescendolls’ (มาจากชื่อเพลงในอัลบั้ม) โดยที่ขัดขืนไม่ได้เพราะโดนควบคุมจากแว่นตาที่สวมอยู่ ความหวังทั้งหมดอยู่ที่มนุษย์ต่างดาวอีกคนหนึ่งซึ่งขับยานรูปกีตาร์บินมาช่วยพวกเขา ก็ต้องตามไปเอาใจช่วยว่าเรื่องราวของพวกเขาจะจบลงยังไง

มีคนรวบรวมเพลงทั้งหมดเรียงตามเนื้อเรื่องไว้เพลย์ลิสต์แล้ว ลองไปดูติดตามทุกตอนได้ที่นี่

นอกจากเรื่องราวน่าตื่นเต้นของภารกิจช่วยวงดนตรีแห่งกาแล็กซี่ อนิเมะเรื่องนี้ยังสะท้อนความร้ายกาจของอุตสาหกรรมดนตรีที่หาประโยชน์จากนักดนตรีอย่างเลือดเย็น แม้ ‘The Crescendolls’ จะได้เล่นในเวทีระดับประเทศ แต่พวกเขาและเธอไม่ได้มีความสุขเลย เพราะดนตรีของพวกเขากลายเป็นแค่สินค้า เป็นแค่ตัวเลขที่ต้องประสบความสำเร็จเท่านั้น การเปรียบเปรยว่าศิลปินดัง ๆ ในแต่ละยุคเป็นมนุษย์ต่างดาวบอกว่าพวกเขาล้วนแตกต่าง มีภาษาและมีพรสวรรค์ในแบบของตัวเอง แต่พอเข้ามาอยู่ในวงจรอุบาทของดนตรีป๊อปแล้ว ทุกคนต้องเหมือนกันหมด สิ่งนี้ฆ่าตัวตนของพวกเขาอย่างช้า ๆ สังเกตได้เลยว่าในซีน Golden Record ศิลปินทุกคนร้องเพลงอย่างเข้าถึงอารมณ์ ยกเว้นเหล่าตัวเอกของเรา

ไอเดียของการทำหนังเพื่อโปรโมตอัลบั้มนี้อยู่ใน memory card ของทั้งสองมาตลอดตั้งแต่อยู่ในห้องอัด โดยมีไอเดียอยากให้มันเป็นหนังไซไฟที่เล่าเรื่องอุตสาหกรรมบันเทิงด้วย ในตอนแรกเขาอยากทำหนังคนแสดงเกี่ยวกับการปลดแอกตัวเองจากการกดขี่ของเหล่าเครื่องจักรกล แต่ก็ต้องพับไป จนได้ไอเดียว่าน่าจะทำอนิเมชั่นดีกว่า ซึ่งฮีโร่ในดวงใจคนแรกที่พวกเขาคิดถึงทันทีเลย คืออาจารย์ Leiji Matsumoto

Leiji Matsumoto

หลังจากที่เขารวมทีมเขียนบทได้แล้ว ก็รีบติดต่อ TOEI Animation ทันทีผ่านค่ายเพลงญี่ปุ่นที่ดังที่สุดในยุคนั้นอย่าง Toshiba EMI หลังจากความพยายามยื่นโปรเจกต์อยู่หลายเดือน ในที่สุดอาจารย์ Matsumoto ก็ตอบตกลง เขาให้เหตุผลว่าตัวเขาเองก็ชอบและได้แรงบันดาลใจจากผู้กำกับฝรั่งเศสมาเยอะเหมือนกัน (FYI: Daft Punk เป็นวงฝรั่งเศส)

สี่ตอนแรกของอนิเมะยังถูกหยิบมาฉายในช่อง Cartoon Network อีกด้วย ในบทสัมภาษณ์ของ Daft Punk กับทางช่อง พวกเขาบอกว่าได้รับแรงบันดาลใจมหาศาลมาจากอนิเมะ ‘Captain Harlock’ ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ แน่นอนว่ามันถูกสร้างโดยอาจารย์ Leiji Matsumoto เขาพูดได้เต็มปากเลยว่า ดนตรีของพวกเขาได้รับแรงบัลดาลใจจากการ์ตูนที่เคยดูในวัยเด็กทั้งนั้น และพวกเขาดีใจมากที่ 20 ปีต่อมาก็ได้ร่วมงานกับไอดอลของพวกเขา ถึงจะชอบ ‘Evangelion’ หรือ ‘Ghost in the Shell’ แต่ยังไงพวกเขาก็ชอบการ์ตูนญี่ปุ่นยุคเก่ามากกว่า

Interstella 5555: The 5tory of the 5ecret 5tar 5ystem’ ไม่ใช่แค่เครื่องยืนยันความยอดเยี่ยมของอัลบั้ม ‘Discovery’ เท่านั้น แต่มันยังสะท้อนถึงความอิสระและความสร้างสรรค์ของศิลปินถ้าไม่ถูกทุนใหญ่ครอบงำ เด็กในยุคนั้นที่ซื้ออัลบั้มนี้จะได้ ‘Daft Club’ ที่มีรหัสให้เราเข้าไปล็อกอินบนเว็บไซท์ เพื่อรับชมซีรีส์นี้ทุกตอน บอกเลยว่า Daft Punk ก็เป็นคนบุกเบิกการตลาดออนไลน์ในซีนดนตรีเป็นคนแรก ๆ ด้วย

Daft Punk ใน MV เพลง High Life

แต่สาเหตุที่ทำให้อนิเมะเรื่องนี้ไม่ประสบความสำเร็จก็พอเดาได้จากบทสัมภาษณ์ของทั้งคู่เอง เพราะเด็กยุคนั้นไม่ฟังเพลง dance music เลย ในตลาดใหญ่สุดอย่างอเมริกาปี 2000 คือจุดพีคสุด ๆ ของตลาดเพลงป๊อป ซึ่งพวกเขามีทั้ง Gorillaz, Lady Gaga, Coldplay กับเพลง Viva La Vida และเป็นยุคที่เต็มไปด้วยเพลงฮิปฮอปบนท็อปชาร์ตทั้ง Eminem แล้วยังมี The Black Eyes Peas, Jay Z และ Snoop Dogg

แถมด้วยลายเส้นของความเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นเก่า ๆ เองก็ไม่ใช่สิ่งที่คนส่วนใหญ่ในอเมริกาจะซื้อเลย กว่าอนิเมะจากญี่ปุ่นจะได้รับความนิยมในกลุ่มเด็ก ๆ ก็เพิ่งจะ 10 ปีที่แล้วเอง

พอได้ดูการ์ตูนเรื่องนี้แล้วรู้สึก touch ส่วนตัว เพราะเราทำ The COSMOS ขึ้นมาก็เพื่อเป็นสถานีอวกาศที่กระจายความถี่เพลงเจ๋ง ๆ ไปทั่วจักรวาลเหมือนกัน เราไม่อยากให้ศิลปินต้องจากดาวบ้านเกิดตัวเองเพื่อมาเป็นศิลปินป๊อปในอุตสาหกรรม แต่อยากให้พวกเขาเล่นดนตรีอย่างสนุกสนานในที่ที่ของตัวเอง และเราอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ได้ฟังและส่งต่อเพลงของพวกเขามากกว่า

สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณอาจารย์ Leiji Matsumoto ส่วนตัวเคยดูแค่งานยุคหลัง ๆ ของแกอย่าง ‘Space Pirate Captain Harlock’ เท่านั้น แต่น่าเสียดายที่โลกสูญเสียบุคคลสำคัญแบบนี้ไป ถ้าใครชอบผลงานของศิลปินคนไหน ก็ติดตามและอุดหนุนเขาตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ดีกว่า เพราะเขาจะได้มีกำลังใจในการสร้างผลงานใหม่ ๆ ออกมาอีก

‘Moonage Daydream’ (2022) ท่องไปในความคิดของ David Bowie ผ่านสารคดีสุดพรึงเพริด

ครบรอบ 20 ปี! ทำไม School of Rock (2003) ถึงอยู่ในใจชาวร็อกมาตลอด

Related Articles

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy