Bandcamp แพลตฟอร์มที่ไม่ได้มีแค่ ซื้อ-ขาย-ฟังเพลง แต่ศิลปินคือเรื่องหลัก และกำไรคือการพบเพื่อนหรือเจอดนตรีใหม่ ๆ

by Nattha.C
73 views
Bandcamp
  • ทำความรู้จัก Bandcamp แพลตฟอร์มทางเลือกที่ไม่ได้เน้นแค่การซื้อ-ขาย แต่ยังช่วยรักษาความหลากหลาย และสิ่งที่ควรจะเป็นในอุตสาหกรรมดนตรียุคใหม่

นับตั้งแต่สิ่งที่เรียกว่า สตรีมมิงแพลตฟอร์ม เข้ามามีบทบาทในยุคสมัยใหม่และบนโลกอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะกับอุตสาหกรรมบันเทิงอย่างดนตรีและภาพยนตร์ ชนิดที่ไม่ว่าคุณจะทำอะไร อยู่ที่ไหน ก็สามารถคลิกดูหรือกดฟังอย่างสะดวกสบายได้เลยในทันที ซึ่งเทรนด์และเปอร์เซ็นต์การใช้งานยิ่ง พุ่งสูงขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ที่เปลี่ยนพฤติกรรมของทุกคนไปอย่างสิ้นเชิง 

แต่คำถามของเราคือ บรรดาสตรีมมิงแพลต์ฟอร์มทั้งหลายที่ค่อนข้างมอบความสะดวกสบายเช่นนี้ กำลังเข้ามาทำลายมนต์เสน่ห์ และระบบนิเวศของมันหรือเปล่า? เพราะเราในฐานะผู้บริโภคเอง นอกเหนือความง่าย บวกกับระบบ Subscription ที่พ่วงด้วยเงื่อนไขการใช้งานไม่ซับซ้อนมาก สิ่งที่มันมอบให้เรากลับเป็นความรู้สึกแบบ Overwhelm คล้ายกับการเลื่อนฟีดบนโซเชียลมีเดีย ที่ถาโถมด้วยโพสต์ข่าวสารต่าง ๆ แค่เปลี่ยนมันเป็นจำนวนเพลงและการยัดเยียดฟีเจอร์ที่ไม่รู้จบ

ทำให้ใครต่อใครหลายคนจึงเลือกฟังเพลงน้อยลง ส่วนใหญ่จะกดฟังเพลงที่ตัวเองคุ้นเคยมากกว่า หรือกระทั่งบางคนอาจจะเคยได้ยินประโยคจากคนรอบตัวว่า “มีเพลงให้เลือกฟังเยอะเกินไป จนไม่รู้ว่าจะฟังเพลงไหนหรือศิลปินคนไหนก่อนดี” เหมือนตอนที่เราพยายามเลือกหนัง-ซีรีส์ดูบนเน็ตฟลิกเวลากินข้าว จนข้าวจะหมดแล้วก็ยังเลือกไม่ได้สักที หรือยังไม่เริ่มตักข้าวเลยด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าทุกวันนี้ มีสตรีมมิงแพลตฟอร์มหลายเจ้าให้เลือกใช้ตามความชอบของแต่ละคน และ สำหรับนักฟังเพลงเอง ก็น่าจะคุ้นเคยกับ Apple Music, Spotify, Youtube Music, Deezer, Soundcloud หรือถ้าอยากได้คุณภาพที่ดีขึ้นมาหน่อยก็อาจจะใช้ Tidal ที่ตอบโจทย์สายโปรดักชัน แบบโปรดิวเซอร์ ซาวด์เอนจิเนียร์ ไปจนถึงศิลปินที่อยากเทสระบบและเทียบเสียงงานของตัวเอง แต่อีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่นักฟังเพลงและศิลปินไทยเริ่มทยอยหันไปใช้กันมากขึ้นคือ Bandcamp 

Bandcamp for Artists

ทว่า ต้นกำเนิดของ Bandcamp ไม่ได้ทำหน้าที่เป็น Music Streaming Platform แต่พวกเขา ทำหน้าที่เป็น “ตลาดซื้อขายแผ่นเสียงออนไลน์” (Online Record Store) โดยเป็นตัวกลางที่คอยเชื่อมระหว่างศิลปิน-แฟนเพลงไว้ด้วยกัน คล้ายกับสิ่งที่เรียกว่า Marketplace ที่จับคนขาย-คนซื้อ มาเจอกัน และไม่ใช่แค่ซื้อมาขายไปเท่านั้น เพราะพื้นที่ตรงนี้ ทุกคนยังสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยน จนเกิดเป็นคอมมิวนิตี้เหมือนกับยุคสมัยที่เรามี Facebook, MySpace ไว้แชร์สิ่งที่ต่างคนต่างสนใจ 

ย้อนกลับไปในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด และในหลาย ๆ พื้นที่ที่ยังใช้มาตรการล็อกดาวน์อยู่ อุตสาหกรรมดนตรีถือว่าได้รับผลกระทบอย่างมาก ตั้งแต่ ฝั่งผู้ประกอบการที่จัดงานคอนเสิร์ตไม่ได้ แรงงานเบื้องหลังในวงการเพลงก็ขาดงาน ศิลปินก็ขาดอีกหนึ่งช่องทางรายได้ผ่านการเล่นดนตรีไป อย่างเช่นในไทยก็เคยมีข้อเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเยียวยาทุกสายงานอาชีพที่ได้ต่างรับผลกระทบ

แพลตฟอร์มนี้จึงถูกพูดถึงอีกครั้งกับ “Bandcamp Fridays” ที่ปกติพวกเขาจะเก็บส่วนแบ่งรายได้ (Revenue Share) ประมาณ 10-15% แต่พอมีแคมเปญนี้ รายได้ทั้งหมดจะส่งเข้าศิลปินแบบเต็มหน่วย ทำให้ Bandcamp กลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับศิลปินที่ต้องการหารายได้เพิ่มจากผลงานเพลง และปัจจุบันนี้ยังมีการทำแคมเปญต่อมาเรื่อย ๆ

สำหรับการเก็บส่วนแบ่งรายได้ เคยมีข่าวสารเกี่ยวกับข้อวิพากษ์ถึงสตรีมมิงหลายเจ้าที่ค่อนข้างไม่เป็นธรรมกับเจ้าของผลงานเหมือนกัน เช่น ศิลปินต้องมียอดคนฟังหรือสตรีมเพลงมากกว่า 1,000-10,000 ครั้งขึ้นไปถึงได้รับส่วนแบ่ง หรือถ้าได้รับส่วนแบ่งไปแล้วก็ยังเป็นจำนวนที่น้อยอยู่ดี เมื่อเทียบกับเปอร์เซ็นต์รายได้ กำไร ที่เข้าบริษัทต้นทาง หรือหักลบไปแล้วขาดทุนจนสะเทือนไปบ้าง แต่มันไม่สามารถเทียบได้เลยกับรายได้ศิลปิน และสิ่งที่ผู้ใช้บริการจะได้รับไปเมื่อต้องจ่ายทุกเดือน ยังไม่นับเรื่องลิขสิทธิ์เพลง ไปจนถึงค่า Distribution ของบริษัทตัวแทนผู้จัดจำหน่าย ฯลฯ

Bandcamp User Profile

สำหรับเรา แม้แพลตฟอร์มอย่าง Bandcamp จะไม่มีระบบการเล่นเพลงที่ลื่นไหลอะไรเป็นพิเศษ คุณภาพด้านซาวด์ไม่ต่างอะไรไปจากแพลต์ฟอร์มอื่นมาก บวกกับการออกแบบ User Interface ทั้งบนเว็บไซต์และแอพลิเคชันที่ค่อนข้างเรียบง่าย ยิ่งพอเปรียบเทียบก็ยิ่งดูเหมือนข้อดีทั้งหมดนี้เป็นประโยชน์ต่อศิลปินมากกว่า แต่สิ่งที่น่าสนใจคือมันยังสามารถรักษา Ecosystem ในโลกยุคใหม่ที่ประสบการณ์การฟังเพลง ถูกย่อส่วนให้เหลือเพียงการคลิ้กปลายนิ้วมือได้ยังไงต่างหาก เราจึงขอสรุปข้อดีเบื้องต้นมาให้ทุกคนลองศึกษาดูดังนี้

ข้อดีสำหรับศิลปินและค่ายเพลง 

  • Fair Avenue & Artist-Friendly Fees: แพลตฟอร์มจะเก็บค่าส่วนแบ่งรายได้ต่าง ๆ เพียง 10% ต่อการซื้อ Physical Merch เช่น แผ่นเสียง ซีดี เทปคาสเซ็ตต์ เสื้อยืด และเก็บ 15% ต่อการซื้อ Digital Sales เช่น อัลบั้มและผลงานเพลงในรูปแบบดิจิตัลและการดาวน์โหลด
  • Direct-to-Fan Sales & Control: ศิลปินสามารถขายและรับเงินจากแฟนเพลงได้โดยตรง แบบไม่ผ่านพ่อค้าคนกลางที่เสี่ยงต่อการอัพราคาเกินความจำเป็น เพราะศิลปินสามารถ ตั้งราคาที่ต้องการได้ รวมถึงระบบ “Pay What You Want” ที่แฟนเพลงสามารถจ่าย เท่าไหร่ก็ได้ ซึ่งอาจจะมีขั้นต่ำ ไปจนถึงการเปิดให้ทุกคนดาวน์โหลดไปฟังกันได้ฟรี ๆ
  • Support for Physical Merch & Diversity of Formats: นอกเหนือจากการขาย Digital Music ศิลปินยังมีโอกาสวางขายสินค้าหรือ Merchandise ในรูปแบบอื่น ๆ โดยเฉพาะกับศิลปินในซีน DIY และ Underground ที่อาจจะสร้างสรรค์งานด้วยตัวเอง
  • Build Community & Fan Engagement: ในส่วนนี้ทางแพลตฟอร์มจะมีระบบที่ช่วยให้ ศิลปินส่งข้อความหาแฟนเพลงได้โดยตรง รวมถึงระบบ Mailing lists ที่อาจเกิดผ่านการซื้อขายหนึ่งครั้ง ไปจนถึงการอ่าน-คอมเมนต์ตอบกลับเพื่อสร้างฐานแฟนให้แข็งแรงขึ้น

ข้อดีสำหรับแฟนคลับและนักฟังเพลง

  • Ownership of Music + DRM-Free Downloads: ให้ความรู้สึกของการเป็นเจ้าของ มากกว่าการเป็นผู้เช่า เมื่อซื้อเพลงหรืออัลบั้มไหนไปแล้ว แฟนเพลงจึงเลือกได้ว่าจะ ดาวน์โหลดเก็บไว้ หรือฟังเพลงแบบไม่จำกัดในที่ไม่ต้องเปิดเน็ตฟังแบบออนไลน์ก็ได้
  • High-Quality Audio Options: มีตัวเลือกหลากหลายในการดาวน์โหลดไฟล์เสียง หรือฟังเพลงแบบคุณภาพสูง ตั้งแต่ FLAC, WAV และอื่น ๆ แตกต่างจากสตรีมมิงเจ้าอื่น ที่มักบีบอัดคุณภาพเสียงให้ลดลง
  • Support Independent Artists Directly: ช่วยเหลือหรือซัพพอร์ตศิลปินผ่านการซื้อ ผลงานเพลงที่ให้ความรู้สึกเชื่อมต่อหรือมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาโดยตรงมากกว่า
  • Discover Lesser-Known or Niche Artists: แพลตฟอร์มนี้มีจำนวนผู้ใช้งานเป็นศิลปินอิสระและกลุ่มศิลปินเฉพาะทางมากกว่า ทำให้แฟนคลับมีโอกาสฟังเพลงหรือค้นพบศิลปินใหม่ ๆ ที่ไม่เคยรู้จัก รวมถึงศิลปินที่อัลกอริทึมอาจจะไม่ดันขึ้นฟีดให้เราเห็น

เมื่อเราลองสรุปภาพรวมในแง่ของผู้ฟังและในฐานะที่เคยใช้แพลตฟอร์มนี้มาบ้างก็เท่ากับว่า มันมีโอกาสสูงที่หากฟัง Preview Track แล้วเกิดชอบขึ้นมา ผู้ฟังหรือผู้ใช้งานก็สามารถกดซื้อ ผลงานเพลงจากศิลปินโดยตรงได้เลย (หรือในที่นี่เราสามารถฟังแบบ Full Track ได้ยกเว้นจะมีข้อจำกัดที่หากฟังเกินจำนวนที่ระบบตั้งไว้ มันจะแจ้งเตือนให้เราซื้อเพลงหรืออัลบั้มนั้น ๆ ในทันที)

อย่างไรก็ตาม แพลตฟอร์มนี้ก็มีข้อเสียที่อาจจะไม่เหมาะสำหรับศิลปินที่ต้องการสร้างฐานแฟนเพลง สร้างความนิยม หรือกระทั่งเม็ดเงินในตลาดอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมันยังขาดโครงสร้างพื้นฐานด้านการตลาดที่ศิลปินยังจำเป็นต้องทำมาร์เกตติ้งเองแบบอิสระ ไปจนถึงผู้ฟังที่กำลังมองหาประสบการณ์การฟังเพลงที่ราบรื่นแบบไม่ต้องคลิกหรือตั้งค่าให้น่าปวดหัว เพราะทางแพลตฟอร์มไม่ได้รองรับฟีเจอร์เพลย์ลิสต์ให้ใช้งานได้สะดวกเท่าไหร่ หรือมีแคตตาล็อกเพลงกระแสหลักให้ฟัง และแน่นอนว่าไม่มีระบบแนะนำเพลงจากอัลกอริทึมพร้อมกับ AI

แต่สิ่งที่ผู้ใช้งานบางส่วนอาจจะชอบคือ หน้าโปรไฟล์ที่จะโชว์ให้เห็นคอลเลคชั่นเพลงที่เรามี และมันยังสามารถปรับแต่งในหลายส่วนได้ด้วย คล้ายชั้นวางที่แต่ละคนจะมีรสนิยมเพลงหรือเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ต่างกันไป ประมาณว่าทุกคนเอาไปอวดเพื่อนขำ ๆ ได้แน่นอน

อยากให้ทุกคนลองจินตนาการถึงตอนที่ไปเดินร้านแผ่นเสียงมือสอง แล้วมีเครื่องเล่นให้ทดลองฟัง สำหรับบางคนอาจจะตัดสินใจซื้อจากหน้าปกอัลบ้ัมแบบที่อาจจะรู้-ไม่รู้แนวเพลงนั้น ๆ โดยเฉพาะบางเพลง บางอัลบั้ม บางศิลปินก็อาจไม่มีไฟล์หรือตัวอย่างให้ฟังบนสตรีมมิงเลย เว้นแต่จะมีคนหรือ Distributors กอบกู้ไฟล์เพลงแล้วนำมาอัพโหลดบนโลกออนไลน์ทีหลัง

นี่จึงเป็นอีกสาเหตุที่ Bandcamp มอบความรู้สึกเหมือนไปเดินเล่นขายแผ่นเสียงและซีดีได้เป๊ะ ๆ ไม่ว่าจะเป็นช่วงยุค 90s ที่ร้านชื่อดังอย่าง Tower Records เคยมาเปิดหลายสาขาที่ประเทศไทย, ร้านป้าโดเรมีตรงสยามสแควร์ที่ตอนนี้ปิดร้านแล้วมาขายบนออนไลน์แทน หรือกระทั่ง B2S ที่ทุกคน รู้จักมันในฐานะร้านขายเครื่องเขียนและหนังสือ แต่ตอนนั้นยังมีเชลฟ์แผ่นซีดีให้เราลองยืนฟังอยู่ 

วนกลับมาคำถามที่ว่า “การมีอยู่ของ Bandcamp ช่วยอุตสาหกรรมดนตรีให้ยั่งยืนขึ้นได้อย่างไร?” เรามองว่าพวกเขาไม่ได้ทำลายหรือเข้ามาฉีกหน้าสตรีมมิงแพลตฟอร์มเจ้าอื่น  แต่ทำหน้าที่บาลานซ์ในสิ่งที่มันควรจะเป็นมากกว่า สำหรับใครที่อยู่ในวงการเพลงก็อาจจะทราบ ถึงปัญหามากมาย อาทิ อาชีพศิลปิน-นักดนตรีมันควรจะเป็นอาชีพ และสร้างรายได้ที่มั่นคงต่อ การใช้ชีวิตได้จริง, การกระจุกพื้นที่ ความชื่นชอบ และการตลาดที่ซัพพอร์ตแต่ศิลปินเบอร์ใหญ่ หรือศิลปินที่ทำเงินได้ จนลืมไปว่าศิลปินเบอร์เล็กก็ต้องการการซัพพอร์ตไม่ต่างกัน ฯลฯ

แพลตฟอร์มนี้ยังมีฟีเจอร์ที่รองรับผู้ใช้งานที่ชื่นชอบการค้นหาเพลงใหม่ ๆ ยกตัวอย่างในส่วนของ Editorials หรือบทความเกี่ยวกับดนตรีที่เขียนขึ้นโดยทีมงานของตัวเอง หรือนักเขียน Outsource ที่อาจจะเป็นทั้งการแนะนำเพลงใหม่ รีวิวอัลบั้ม บทสัมภาษณ์ศิลปิน และประเด็นที่น่าสนใจต่าง ๆ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า สื่อดนตรีหรืองานเขียนก็เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนวงการดนตรีไม่แพ้กัน รวมไปถึงฟีเจอร์ “Clubs” ที่พึ่งเปิดใหม่ไม่กี่เดือนก่อนที่ช่วยให้คอมมิวนิตี้ภายในแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

+ posts

แบม นักเขียนน้องเล็กที่ชอบอ่านหนังสือและฟังเพลงในเวลาเดียวกัน ปัจจุบันกลับมาทำเพจ Listenist

Related Articles

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy