Taipei Music Expo (TMEX) กลับมาอีกครั้งในปีนี้ด้วยกิจกรรมต่อเนื่อง 4 วัน ทั้งสัมมนา การสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ และมิวสิคโชว์เคสที่ตอกย้ำบทบาทของเมืองไทเปในฐานะตัวกลางของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในเอเชีย งานนี้จัดขึ้นที่ Taipei Music Center (TMC) ภายใต้ซีรีส์ TRENDY TAIPEI งาน TMEX 2025 กลายเป็นพื้นที่ที่ดนตรีจากทั่วเอเชีย ตัวแทนระดับนานาชาติ และความร่วมมือกันระหว่างทุกวัฒนธรรมได้มาบรรจบกัน
ใจกลางวงการดนตรีที่คึกคักของไทเป มี Taipei Music Center (TMC) ที่กลายเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของเมือง ที่นี่ไม่ได้เป็นแค่สถาปัตยกรรมอันโดดเด่น แต่ยังเป็นพื้นที่ที่ช่วยผลักดันความคิดสร้างสรรค์ และเชื่อมต่ออุตสาหกรรมดนตรีของไต้หวันกับทั่วโลก ตั้งแต่เปิดตัวมา TMC ก็ได้กลายเป็นบ้านหลังใหญ่ของศิลปิน ค่ายเพลง โปรโมเตอร์ และผู้ฟังจากทั่วเอเชีย ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายและเป้าหมายในการสร้างสะพานระหว่างศิลปินท้องถิ่นกับเวทีนานาชาติ ทำให้ไทเปถูกยกให้เป็นหนึ่งในเมืองดนตรีสำคัญของเอเชีย
และด้วยพื้นฐานนี้เอง TMEX2025 จึงกลับมาอีกครั้ง พร้อมโฟกัสไปที่การมองโลกในมุมใหม่ ๆ ที่กำลังเปลี่ยนโฉมวงการเพลงท้องถิ่น และการร่วมมือข้ามพรมแดนที่อาจนำไปสู่โอกาสสด ๆ สำหรับคนทำงานดนตรีทุกคน

เสวนาเชิงอุตสาหกรรมสุดเข้มข้น
ที่ TMEX 2025 ปีนี้ หัวข้อที่หยิบมาพูดคุยเรียกได้ว่าล้ำสมัยสุด ๆ ครอบคลุมตั้งแต่เรื่องนวัตกรรมดนตรี ความเคลื่อนไหวของวงการดนตรี ไปจนถึงการสร้างสรรค์ที่เชื่อมระหว่างวัฒนธรรม ทั้งหมดถูกจัดเต็มใน 6+1 หัวข้อ ที่ว่ากันตั้งแต่ AI ในการสร้างดนตรี, บทบาทของเศรษฐกิจคอนเสิร์ตที่กำลังเปลี่ยนโฉมวัฒนธรรมเมือง ไปจนถึงการจับมือระหว่างวงการครีเอทีฟต่างแขนง
บนเวทีมีทั้งชื่อที่คุ้นหูทุกคนอย่าง Eric Kang จาก NVIDIA, Keisuke Shimizu ครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของ THE FIRST TAKE, และโปรดิวเซอร์ Makoto Uchida ที่มาช่วยเติมมุมมอง ผลลัพธ์คือภาพกว้าง ๆ ของการที่เทคโนโลยี เมือง และวัฒนธรรม กำลังมาบรรจบกันในระบบนิเวศของเสียงดนตรียุคปัจจุบัน

How Global Mindsets Are Reshaping Local Music Landscapes
(Global Mindset กำลังเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของเพลงท้องถิ่นไปอย่างไร)
หนึ่งใน panel ที่น่าสนใจมากของ TMEX 2025 ว่าด้วยการที่ “มุมมองแบบโลกกำลังเปลี่ยนโฉมซีนดนตรีท้องถิ่นอย่างไร” งานนี้มีตัวแทนจากสามเมืองหลัก ได้แก่ เชียงใหม่, ไทเป/กัวลาลัมเปอร์ และบาหลี มาร่วมแชร์ประสบการณ์ตรง
ผู้ร่วมเสวนา:
- เอิง—ศุภกานต์ วรินทร์ปราโมทย์ (ไทย) – ผู้ก่อตั้ง TEMPO.wav ที่ย้ายจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่เพื่อปั้นซีนใต้ดินให้เติบโต
- Shinichiro Honda (ญี่ปุ่น) – เบื้องหลังความสำเร็จของ Zepp ทั้งที่ไทเปและกัวลาลัมเปอร์
- Anom Darsana (บาหลี, อินโดนีเซีย) – ผู้อำนวยการ Ubud Village Jazz Festival และเจ้าของสตูดิโอ Antida Music Production ที่คอยซัพพอร์ตศิลปินบาหลี
การพูดคุยถูกดำเนินรายการโดย Dela Chang (ไต้หวัน) ผู้ก่อตั้ง KAO!INC. และหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญของวงการฮิปฮอปไต้หวัน
เชียงใหม่: เมืองดนตรีนอกสายตา TMEX
เอิงพูดถึงเชียงใหม่ว่าเป็นซีนที่เต็มไปด้วยสีสัน แต่กลับยังไม่ค่อยถูกยอมรับในระดับกว้าง ปัจจุบันมีนักดนตรีแอคทีฟมากกว่า 300 วง สร้างสรรค์หลากหลายแนว ทั้ง dream pop, shoegaze, psychedelic rock ไปจนถึง world music ส่วนใหญ่เล่นกันในโลเคชันเล็ก ๆ อย่างไลฟ์เฮาส์ที่จุได้แค่ 40–50 คน
แม้จะอัดแน่นด้วยพลังสร้างสรรค์ แต่ศิลปินที่นี่กลับเชื่อมต่อกับอุตสาหกรรมใหญ่ได้ยาก เทศกาลใหญ่ ๆ ก็มักถูกจัดโดยชาวต่างชาติหรือได้รับทุนจากภายนอก ทำให้ศิลปินอินดี้ต้องพึ่งพางานเล็ก ๆ ที่เกิดจากการรวมตัวเองเป็นหลัก นี่คือสิ่งที่ Tempo.wav ตั้งใจจะเปลี่ยน โดยพยายามเชื่อมซีนใต้ดินของเชียงใหม่กับเวทีนานาชาติ TMEX

ไทเปและกัวลาลัมเปอร์: ยกระดับมาตรฐานผ่านโครงสร้างพื้นฐาน
คุณ Honda เล่าถึงเส้นทางการขยายตัวของ Zepp เริ่มจาก Zepp New Taipei ในปี 2020 ก่อนจะต่อด้วยกัวลาลัมเปอร์ เขาอธิบายว่า เวทีความจุราว 2,000 คน ซึ่งแทบไม่มีในมาเลเซีย ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างไลฟ์เฮาส์เล็ก ๆ กับอารีน่าไซส์ยักษ์ จุดนี้เองที่ช่วยเติมเต็มโครงสร้างของวงการดนตรีได้
ไต้หวันถูกเลือกเป็นก้าวแรกเพราะมีฐานแฟนเพลง J-pop แข็งแรง ส่วนมาเลเซียก็มี demand สูงสำหรับดนตรีจากจีนและอินโดนีเซีย จึงเหมาะต่อการต่อยอดพอดี การมาของ Zepp ในไต้หวันยังยกระดับมาตรฐานไลฟ์เฮาส์ไปอีกขั้น ทั้งอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานสากลและทีมงานมืออาชีพ แม้จะไม่มีระบบพวงเครื่องดื่มแบบไลฟ์เฮ้าส์ญี่ปุ่น แต่ Zepp ก็ผลักดันให้ความคาดหวังของผู้ชมสูงขึ้น และช่วยให้ระบบนิเวศของศิลปินและเวทีโตขึ้นไปพร้อมกัน
บาหลี: สร้างสมดุลระหว่างการท่องเที่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ของคนท้องถิ่น
ฝั่งบาหลี Anom เน้นปัญหาที่ศิลปินท้องถิ่นมักต้องเล่นเพื่อเอาใจนักท่องเที่ยว มากกว่าจะได้สร้างงานต้นฉบับของตัวเอง เขาใช้สตูดิโอและเทศกาล Ubud Village Jazz Festival เป็นเวทีผลักดันให้คนทำเพลงบาหลีได้ผลิตและแสดงผลงานของตัวเองจริง ๆ
แม้บาหลีจะดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ แต่ก็มีความเสี่ยงที่ชุมชนท้องถิ่นจะถูกเบียดออกไป สำหรับ Anom สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาความเป็นเจ้าของทรัพยากรและโอกาสไว้ในมือของคนท้องถิ่น พร้อมเปิดทางด้วยโปรแกรมคอลแลปที่เชื่อมศิลปินบาหลีเข้ากับโลกกว้าง
คำถามที่ใหญ่กว่า: ทำไมต้องลงทุนในต่างเมือง?
ในช่วงท้ายสัมมนา ทุกคนบนเวทียังได้คุยกันว่า ถ้ามีทรัพยากรมากพอแต่ละคนอยากลงทุนตรงไหนบ้าง:
- เอิง: มุ่งไปที่เมืองรองอย่างเชียงใหม่ เพื่อสร้าง “music citizens” หรือคนฟังที่พร้อมซัพพอร์ตซีนท้องถิ่นอย่างจริงจัง
- Honda: ขยาย J-pop สู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเล็งตลาดน่าจับตาอย่างเวียดนามและมาเลเซีย
- Anom: เสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านดนตรีในบาหลี แต่ต้องเป็นการลงทุนที่ขับเคลื่อนโดยคนท้องถิ่น เพื่อปกป้องความเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม
บทสนทนาปิดท้ายด้วยมุมมองร่วมกันว่า การเติบโตอย่างยั่งยืนของวงการไม่ได้ขึ้นอยู่แค่กับเพลงดี ๆ แต่ต้องมีเวทีคุณภาพ อุปกรณ์มืออาชีพ และระบบนิเวศที่แข็งแรงรองรับด้วย

Crossborder Music Collaborations: Unlocking Value Through Cultural Differences
(การแลกเปลี่ยนเพลงข้ามพรมแดน: ปลดล็อคคุณค่าผ่านความแตกต่างทางวัฒนธรรม)
สัมมนาที่สอง เรามาเจาะไปที่การสร้างคุณค่าผ่านการร่วมมือระดับนานาชาติ ทั้งแง่การแลกเปลี่ยนเชิงสร้างสรรค์ ไปจนถึงอุปสรรคด้านโลจิสติกส์ที่ศิลปินและคนทำงานเบื้องหลังต้องเจอ
ผู้ร่วมเสวนา:
- Jameson Lee (เกาหลี) – General Manager จาก FLUXUS INC. (ContentsX) โดยโปรเจกต์ดังอย่าง Solar (Mamamoo) x 9m88 ก็มีเขาอยู่เบื้องหลัง
- Lemmy—เฉลิมพล สูงศักดิ์ (ไทย) – Music Director จาก THE TIME TRAVELLER และนักร้องวง GYMV (อดีต Gym and Swim) ที่เคยร่วมงานและออกทัวร์กับ Sunset Rollercoaster
- Go Kurosawa (ญี่ปุ่น) – Co-founder ของ Guruguru Brain, มือกลอง/นักร้องนำวง Kikagaku Moyo, โปรดิวเซอร์และ A&R ที่มีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งในอินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และยุโรป
- ดำเนินรายการโดย John Huang (ไต้หวัน) – Founder ของ NPCC / TCM World ผู้ทุ่มเทสร้างสะพานเชื่อมดนตรีไต้หวันกับทั่วโลก
เรื่องราวการคอลแลบที่น่าจดจำ:
- Solar (เกาหลี) x 9m88 (ไต้หวัน): Solar ใช้ชีวิตในไต้หวันถึงสองเดือน เรียนภาษาจีนกลาง และทำเพลงอย่างใกล้ชิดกับ 9m88 เพื่อให้เพลงออกมาจริงใจและเข้าถึงแฟน ๆ
- Gym and Swim (ไทย) x Sunset Rollercoaster (ไต้หวัน): ต้นกำเนิดเพลง Don’t Leave Me Behind มาจากการตกเครื่องบินที่ลืมไม่ลง จนกลายเป็นแรงบันดาลใจมาเต็มเปี่ยม
- Ford Trio (ไทย) x Mong Tong (ไต้หวัน): จากแค่ซิงเกิลเดียว ขยายกลายเป็นทั้ง EP โดยใช้เครื่องดนตรีไทย และยังมีทริปไปเยือน “ครูกายแก้ว” ของ Mong Tong ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์
- Numcha (ไทย) x Kuo (Sunset Rollercoaster): โปรเจกต์ช่วงโควิดที่ทำกันแบบรีโมต ใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนก็เสร็จสมบูรณ์

บทเรียนด้านกลยุทธ์ A&R
Jameson เล่ามุมของค่ายเพลงว่า พวกเขามีบทบาทสำคัญในการผลักดันการคอลแลบให้เกิดขึ้นจริง ด้วยการวางแผนอย่างละเอียดเพื่อยืดอายุศิลปิน K-pop ที่โดยปกติแล้วมักมีอายุขัยราว 7 ปี พร้อมกับการขยายตลาดไปสู่ผู้ฟังใหม่ ๆ โดยเฉพาะกลุ่มแฟน Mando-pop ทางค่ายจึงทำหน้าที่เป็นเหมือนเข็มทิศ ชี้ทิศทางให้ศิลปินและพาร์ตเนอร์แต่ละฝ่ายหาจุดร่วมกัน เพื่อสร้างเพลงที่ก้าวข้ามพรมแดนได้จริง ๆ
ขณะที่ Lemmy และ Go Kurosawa กลับมองต่างออกไป ทั้งคู่ย้ำว่าการคอลแลบที่แท้จริงควรเกิดจากศิลปินเอง ไม่ใช่สูตรสำเร็จจากค่าย เพราะกุญแจคือเคมีระหว่างศิลปิน ถ้าปล่อยให้มันสุกงอมตามธรรมชาติ ดนตรีที่ออกมาจะมีพลังมากกว่างานที่ถูกขับเคลื่อนด้วยตลาด Lemmy ยังเล่าถึงทริปไปทัวร์ที่ไทเปเมื่อ 9 ปีก่อนกับ Gym and Swim ที่ใช้เวลาสร้างสัมพันธ์กับ Sunset Rollercoaster จนกลายเป็นเพื่อน และได้เล่นด้วยกันทั้งในกรุงเทพฯ และไทเป

Go เสริมอีกว่ามุมมองวงการดนตรีในตะวันตกกับตะวันออกมีความแตกต่างอย่างชัดเจน ในตะวันตก ศิลปินจะจ้างบริษัทมาเป็นผู้จองงานและจัดจำหน่าย แต่ยังคงถือสิทธิ์เด็ดขาดในการตัดสินใจ ในขณะที่ฝั่งตะวันออก ค่ายมักเป็นเจ้าของศิลปินเพราะเป็นผู้ลงทุนตั้งแต่แรกเริ่ม ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ ไม่มีถูกหรือผิด เพียงแต่ศิลปินต้องรู้ให้แน่ชัดว่าตัวเองกำลังเซ็นสัญญาแบบไหน ถึงอย่างนั้นเขาก็หวังว่าจะมีทางสายกลาง ที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน
อุปสรรคก็ยังมี ทั้งเรื่องวีซ่าและโครงสร้างอุตสาหกรรมที่ต่างกัน แต่ผลลัพธ์ก็คุ้มค่า ทั้งการขยายฐานแฟน เพลงใหม่ที่สดกว่าเดิม และเป็นสะพานทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่กว่าอุปสรรคทั้งหมด
อย่างที่ Go จาก Guruguru Brain พูดไว้: “การคอลแลบควรเริ่มจากศิลปินเอง ความต่างก็เหมือนการทำอาหาร ที่เอารสชาติไม่เหมือนกันมาผสมจนเกิดจานใหม่ที่น่าจดจำ” เขาหวังว่าจานใหม่นี้จะทำให้โลกเราเข้าใจกันมากขึ้น และมองเห็นมุมใหม่ ๆ ของกันและกัน

Help! The Curator’s Survival Guide to Music Festivals
(ช่วยด้วย! คู่มือในการอยู่รอดของเทศกาลดนตรีสำหรับผู้จัดทั้งหลาย)
ในการสัมมนาที่เทศกาล TMEX ครั้งล่าสุด มีการจัดสัมมนาที่รวบรวมผู้จัดเทศกาลและผู้วางโปรแกรมด้านศิลปะจากทั่วเอเชียและออสเตรเลีย มาร่วมพูดคุยถึงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของเทศกาลดนตรีในภูมิภาคนี้ โดยมีเสียงสะท้อนจากเบื้องหลัง Maho Rasop Festival ของไทย, Malasimbo Festival ของฟิลิปปินส์ และงานคอมมูนิตี้อีเวนต์ของ Artback NT จากออสเตรเลีย การเสวนานี้เผยให้เห็นทั้งความท้าทายและความสำเร็จที่ทุกคนต่างเผชิญ ข้ามผ่านข้อจำกัดทางวัฒนธรรม ภูมิศาสตร์ และโลจิสติกส์ ที่สำคัญกว่านั้นคือเป็นการพูดคุยอย่างตรงไปตรงมา ว่าแท้จริงแล้วการสร้างเวทีที่หล่อเลี้ยงชุมชนศิลปะนั้นต้องอาศัยอะไรมากกว่าการแสวงหากำไร
ผู้ร่วมเสวนา:
- ปูม—ปิยสุ โกมารทัต (ไทย) – ผู้ก่อตั้ง Seen Scene Space และหนึ่งในสามผู้จัด Maho Rasop Festival
- Miro Grgić (ฟิลิปปินส์) – ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการ Malasimbo Festival
- Evan Saunders (ออสเตรเลีย) – ผู้จัดการด้านศิลปะการแสดงของ Artback NT เทศกาลชุมชนที่ขับเคลื่อนโดยชาวพื้นเมืองและไม่แสวงหากำไร
- ดำเนินรายการโดย Suming (ไต้หวัน) – ผู้ก่อตั้ง Amis Music Festival และศิลปินชาว Amis ที่มีบทบาทสำคัญในการสืบสานวัฒนธรรมของตนเอง
การคัดเลือกไลน์อัพ: รสนิยม จังหวะ และการร่วมมือ
แนวทางการคัดเลือกศิลปินสะท้อนปรัชญาที่แตกต่างกัน ซึ่งยึดโยงกับบริบทท้องถิ่นและคุณค่าของแต่ละงาน:
- Maho Rasop (ไทย): รักษาสมดุลระหว่างความทะเยอทะยานทางศิลปะและความเป็นไปได้เชิงพาณิชย์ โดยมักจัดงานให้สอดคล้องกับเทศกาลระดับภูมิภาค เช่น Joyland (อินโดนีเซีย) และ Clockenflap (ฮ่องกง) เพื่อใช้กลยุทธ์ routing และการจองศิลปินร่วมกัน
- Malasimbo (ฟิลิปปินส์): ไลน์อัพเน้นโซล แจ๊ส ฟังก์ และเวิลด์มิวสิก มาโดยตลอด มีศิลปินเด่นอย่าง Jimmy Cliff, Jacob Collier และ FKJ
- Artback NT (ออสเตรเลีย): ใช้ทั้งระบบ EOI (expression of interest) และความสัมพันธ์ด้านการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม เช่น การร่วมมือยาวนานระหว่างศิลปิน Paiwan (ไต้หวัน) และ Yonglu (ออสเตรเลีย) เพื่อคัดเลือกศิลปินที่จะทัวร์หรือขึ้นแสดงในงาน

การเผชิญความท้าทาย: ตั้งแต่วีซ่าไปจนถึงการเมือง
อุปสรรคด้านระบบราชการและบรรยากาศทางการเมือง
สปีกเกอร์แต่ละคนสะท้อนถึงความท้าทายเฉพาะตัวในการจัดเทศกาลดนตรี:
- ปูม (Mahorasop): เล่าถึงความซับซ้อนของขั้นตอนในประเทศไทย ต้องขอใบอนุญาตหลายประเภท ทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ และแม้กระทั่งกัญชา ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับหน่วยงานรัฐไม่ต่ำกว่าห้าแห่ง
- Miro (Malasimbo): เล่าย้อนถึงแรงเสียดทานช่วงแรกกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่ยังไม่เข้าใจถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่งานสามารถสร้างได้ งานระดับชาติกลับเข้าถึงง่ายกว่าหลังจากลองยื่นแผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยว แต่ในระดับท้องถิ่นกลับเป็นเรื่องยากที่ตัวเขาจะเอาชนะได้
- Evan (Artback NT): ชี้ว่าการสื่อสารและงบประมาณเป็นอุปสรรคใหญ่ ศิลปินชาวพื้นเมืองบางคนอยู่ห่างไกลมากจนการติดต่อสื่อสารทำได้ยาก ขณะเดียวกันผู้สนับสนุนก็ต้องสอดคล้องกับจริยธรรมของชุมชน เช่น บริษัทเหมืองแร่ที่มักถูกตั้งคำถามเรื่องความเหมาะสมในการเป็นผู้สนับสนุน
ความเปราะบางทางการเงินและสปอนเซอร์
สปอนเซอร์ยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ที่แก้ไม่ตก:
- Mahorasop: การสนับสนุนเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ จากปีหนึ่งไปอีกปีหนึ่ง ตั้งแต่ Johnny Walker ไปจนถึง Singha Beer พร้อมแรงกดดันตลอดเวลาที่ต้องพิสูจน์ ROI และมูลค่าทางสื่อให้คู่ค้าดู
- Malasimbo: สูญเสียการสนับสนุนหลักไปในช่วงรัฐบาลดูแตร์เตของฟิลิปปินส์ เนื่องจากบรรยากาศทางการเมืองที่ไม่เป็นมิตรกับเทศกาลดนตรี
การตลาดและแรงผลักดัน: การสร้างชื่อเสียงอย่างค่อยเป็นค่อยไป
สปีกเกอร์ทั้งสามต่างย้ำว่า พลังของการบอกต่อจากปากต่อปากนั้นทรงพลังและแทนที่ด้วยกระแสในโซเชียลมีเดียไม่ได้
“ผู้คนกลับมาเพราะประสบการณ์ ไม่ใช่เพราะศิลปิน” Miro กล่าว “คุณภาพของงานคือสิ่งสำคัญที่สุด”
ปูมเสริมว่า ความสำเร็จช่วงแรกของ Mahorasop มาจากความเชื่อมั่นของแฟน ๆ ที่มีต่อสามแบรนด์ผู้ก่อตั้ง ตั๋ว “blind tickets” ในช่วงก่อน early bird จึงยังขายดีทุกปี แม้จะเจอการแข่งขันจากคอนเสิร์ตฟรีที่ได้รับการสนับสนุนโดยกลุ่มทุนใหญ่ในไทย
สำหรับ Artback NT การตลาดในความหมายดั้งเดิมอาจไม่จำเป็น ในชุมชนชาวพื้นเมืองที่ห่างไกล การสร้างการรับรู้และรักษาความสัมพันธ์ด้วยความเคารพสำคัญกว่าป้ายโฆษณาหรือแฮชแท็ก

คอมมูนิตี้ต้องมาก่อน: เทศกาลดนตรีในฐานะโครงสร้างพื้นฐานทางวัฒนธรรม
คุณค่าที่ทุกฝ่ายเห็นตรงกันคือ เทศกาลดนตรีควรรับใช้ชุมชนก่อนจะไล่ตามความสำเร็จเชิงพาณิชย์
- Artback NT: สร้างต้นทุนทางวัฒนธรรม แกนนำ และโครงสร้างพื้นฐานทางศิลปะให้กับชุมชน ผ่านความต่อเนื่องและการสนับสนุน ไม่ใช่การสั่งการจากเบื้องบน
- Mahorasop: ใช้โมเดลการร่วมมือระหว่างโปรโมเตอร์ แบ่งปันทรัพยากรและฐานแฟนเพื่อผลักดันซีนอินดี้ให้เติบโต
- Malasimbo: ทำหน้าที่เป็นพื้นที่ฝึกฝนให้ซาวด์เอนจิเนียร์และโปรดิวเซอร์ชาวฟิลิปปินส์
ดังที่ผู้ร่วมเสวนาคนหนึ่งสรุปไว้ว่า:
“ถ้าคุณสร้างประสบการณ์ที่ดีได้ ผู้ชมจะตามมาเอง และสปอนเซอร์ก็จะตามมาเช่นกัน”
เทศกาลดนตรีเป็นมากกว่าที่มากกว่าเวทีคอนเสิร์ต
สัมมนาที่ TMEX วาดภาพชัดเจนว่า เทศกาลดนตรีไม่ใช่แค่โชว์บนเวที แต่คือระบบนิเวศที่มีชีวิต คุณภาพเสียง อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม การร่วมมือจากชุมชน และความยืดหยุ่น สิ่งที่กำหนดความสำเร็จมีมากกว่าการมีเฮดไลน์เนอร์ดัง ๆ แน่นอน
จากยอดภูเขาของฟิลิปปินส์ ไปจนถึงเมืองทะเลทรายในออสเตรเลีย และซีนอินดี้สุดคึกคักในกรุงเทพฯ ผู้ร่วมเสวนาทุกคนแสดงให้เห็นว่า ความจริงใจ ความอดทน และการมีเป้าหมายชัดเจน ยังสามารถสร้างพื้นที่ที่มีความหมายได้ท่ามกลางอุตสาหกรรมที่ถูกครอบงำด้วยทุนนิยม

Jam Jam Asia: เทศกาลดนตรีที่อยู่ภายในงาน TMEX
ไฮไลต์สำคัญของ TMEX คือ Jam Jam Asia (JJA) ที่เปลี่ยนทั้ง Taipei Music Center (TMC) ให้กลายเป็นงานเฉลิมฉลองดนตรีเอเชียหลากหลายเวที
ไลน์อัพเฮดไลน์เนอร์ ได้แก่:
- Yaeji – ศิลปินเกาหลี-อเมริกันผู้บุกเบิกซาวด์อิเล็กทรอนิกส์
- POTATO – วงร็อกชั้นนำจากประเทศไทย
- Tanya Chua – ไอคอน Mando-pop เจ้าของรางวัลจากสิงคโปร์
- Sunset Rollercoaster – ฮีโร่ขวัญใจชาวไทเป
- 9m88 – นักร้อง นักแต่งเพลง และนักแสดงจากไต้หวัน
นอกจากนี้ยังมีศิลปินกว่า 80 ชีวิตบน 7 เวที อาทิ J.Sheon, YELLOW, Dizzy Dizzo, OZworld, Flesh Juicer, Sandee Chan และอีกมากมาย Jam Jam Asia สร้างพื้นที่ให้กับโชว์สุดเร้าใจที่รวมพลังความคิดสร้างสรรค์จากทั่วเอเชียไว้ในเวทีเดียว ที่ใจกลาง Taipei Music Center


ผู้แทนจากนานาชาติ: เสริมความเชื่อมโยงระดับภูมิภาค
TMEX ยังได้ต้อนรับ delegates หรือตัวแทนจากนานาชาติกว่า 100 คน ครอบคลุมทั้งเอเชียแปซิฟิก ยุโรป และอเมริกาเหนือ ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดเทศกาล ตัวแทนสื่อ และผู้นำในอุตสาหกรรมดนตรีที่ต่างมารวมตัวกันที่ไทเป
บุคคลสำคัญที่เข้าร่วม ได้แก่:
- Kartini Ludwig – คิวเรเตอร์แห่ง SXSW Sydney (ออสเตรเลีย)
- Keisuke Shimizu – ครีเอทีฟไดเรกเตอร์, THE FIRST TAKE (ญี่ปุ่น)
- Kyuhee Baik – แบรนด์ไดเรกเตอร์และนักกลยุทธ์, SUPREME (สหรัฐอเมริกา)
- ป๋าเต็ด—ยุทธนา บุญอ้อม – Big Mountain Music Festival, เทศกาลดนตรีกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

เมื่อ TMEX 2025 ปิดฉากลงที่ Taipei Music Center ข้อความที่ส่งออกมายังคงชัดเจน ไต้หวันไม่ได้แค่เป็นเจ้าภาพของงานสัมมนาในเอเชีย แต่กำลังเป็นผู้นำในการกำหนดเส้นทางดนตรีใหม่ ๆ ตลอดสี่วันที่เต็มไปด้วยฟอรั่ม โชว์เคส และการเจรจาด้านธุรกิจ ไทเปพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า โครงสร้างพื้นฐาน การคิวเรต และคอมมูนิตี้ สามารถเปลี่ยนเมืองให้กลายเป็นฮับสำหรับส่งศิลปินขึ้นสู่เวทีโลก และปักชื่อไต้หวันลงบนแผนที่ดนตรีโลกอย่างภาคภูมิใจ
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงภาพจำชั่วครั้งชั่วคราว แต่คือการกรุยทางให้กับวงการดนตรีทั่วเอเชียทางสัญจร ตั้งแต่สื่อดนตรีท้องถิ่นในเชียงใหม่ ไปจนถึงเทศกาลดนตรีของชุมชนชนพื้นเมืองในออสเตรเลีย และคอนเซ็ปต์ YouTube สุดแหวกจากญี่ปุ่น TMEX ได้เชื่อมซีนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าด้วยกัน กลายเป็นเครือข่ายที่มีไทเปเป็นศูนย์กลาง ศิลปินได้ร่วมเขียนเพลง ค่ายเพลงได้ร่วมลงทุน และเทศกาลต่าง ๆ ได้ร่วมวางเส้นทางทัวร์ของศิลปิน
การคอลแลบที่เฉิดฉายในปีนี้ ก้าวข้ามทั้งภาษา แนวเพลง และตลาด สะท้อนให้เห็นว่า เมื่อความคิดสร้างสรรค์ถูกจับคู่กับเส้นทางที่จับต้องได้ พรมแดนก็กลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่างวัฒนธรรมที่แตกต่าง
นี่คือมรดกของ TMEX ปีนี้: ไต้หวันในฐานะเข็มทิศและตัวเชื่อมที่ช่วยจัดสรรวัฒนธรรมดนตรีอันหลากหลายของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้ได้รับความสนใจในระดับโลก และช่วยพิสูจน์อีกทางว่า ความเป็นหนึ่งเดียวของภูมิภาคสามารถผลักดันเสียงในระดับท้องถิ่นให้ก้องไปไกลบนเวทีโลกได้จริง
ทำความรู้จักกับ Taipei Music Center ให้มากขึ้นจากทริปปี 2024 ได้ที่บทความนี้ https://www.therealcosmos.com/cosmos-voyage/trendy-taipei-taipei-music-expo-eng/

 
										 
                