MONO NO AWARE กำลังจะมีคอนเสิร์ตแรกของตัวเองในไทย ในงานเปิดอัลบั้ม EP ของ Yonlapa ที่จะมาถึงนี้ พวกเขาคือวงป็อปที่กำลังมาแรงจากญี่ปุ่นในตอนนี้ ที่น่าสนใจตั้งแต่ชื่อวง ซึ่งตรงกับสำนวนญี่ปุ่นที่ว่า 物の哀れ (โมโนะโนะอะวาเระ) ที่สอนให้เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงในชีวิตหรือจุดสิ้นสุดที่ทุกคนจะต้องพบเจอ เพราะไม่มีสิ่งใดที่จะคงอยู่ตลอดไป
ถึงแม้ความหมายของมันจะออกไปทางหดหู่ซักหน่อย แต่ดนตรีของพวกเขากลับสนุกสนานและอบอุ่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ สะท้อนความตั้งใจที่วงอยากจะใช้ชีวิตให้เต็มที่ก่อนที่จะต้องจากกัน ถ่ายทอดผ่านดนตรีที่สนุกสดใสแต่ยังแฝงไว้ด้วยแนวคิดเกี่ยวกับชีวิตที่เรียบง่ายผ่านเนื้อเพลงที่สวยงาม
ทีมคอสมอสได้มีโอกาสคุยกับ Tamaoki Shuukei ฟรอนต์แมนของวง MONO NO AWARE ผ่านอีเมล์ เกี่ยวกับการมาโชว์ที่ไทยครั้งแรกของพวกเขา รวมถึงความหมายของชีวิตที่เขาซ่อนไว้ในดนตรี ก่อนจะไปชมโชว์ของพวกเขาเต็ม ๆ ด้วยกันวันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคมนี้

นี่เป็นการแสดงครั้งแรกของคุณในประเทศไทย รู้สึกอย่างไรกับการได้มาเล่นที่กรุงเทพฯ
ครั้งสุดท้ายที่ผมมาเยือนกรุงเทพฯ คือเมื่อสิบปีก่อน ตอนนั้นผมพักที่โรงแรมราคา 30 บาทต่อคืนแถวถนนข้าวสาร อยู่ชั้นบนของตึกที่มีมิวสิกคลับอยู่ด้านล่าง เตียงเหล็กทั้งเตียงสั่นไหวไปตามจังหวะบีตของเพลง ครั้งนี้ผมดีใจมากที่ได้เป็นฝ่ายทำให้เตียงสั่นแทนบ้าง
การแสดงครั้งนี้คุณได้ขึ้นเวทีเดียวกับ Yonlapa อะไรคือสิ่งที่คุณตื่นเต้นที่สุดเกี่ยวกับคอนเสิร์ตนี้
ผมชอบ Yonlapa มาก เพลงของพวกเขามีพลังและน่าตื่นเต้นมาก ส่วนตัวพวกเขาก็น่ารักสุด ๆ ได้ยินว่าชอบปีนเขาเหมือนกันกับผม ถ้ามีโอกาสก็อยากชวนไปปีนเขาด้วยกันสักลูก
คุณมีภาพจำแบบไหนเกี่ยวกับประเทศไทย และสิ่งแรกที่อยากทำหลังจากมาถึงคืออะไร
ผมรู้จักแต่ชีวิตในกรุงเทพฯ แต่มีภาพจำว่าผู้คนเต็มไปด้วยพลังและชีวิตชีวา ครั้งก่อนที่มาที่นี่ ผมรู้สึกถึง “ความมีชีวิตชีวาของมนุษย์” อย่างที่ไม่เคยสัมผัสได้ในญี่ปุ่น คราวนี้ก็อยากเดินเล่นรอบเมืองอีก เพื่อสัมผัสบรรยากาศแบบนั้นอีกครั้ง
ตอนที่ผมฟังเพลง 走馬灯 ครั้งแรก ผมรู้สึกสะเทือนใจมาก โดยเฉพาะมิวสิกวิดีโอที่มีฉากงานศพอันอบอุ่นและดนตรีที่มีชีวิตชีวา คุณช่วยเล่าคอนเซ็ปต์เบื้องหลังเพลงนี้ได้ไหม
พอใช้ชีวิตมาถึงอายุ 30 ผมเริ่มรู้สึกว่า คำว่า “ตอนนี้มีความสุขที่สุด” มันอาจไม่เพียงพอที่จะทำให้รู้สึกถึงการมีชีวิตอยู่ ผมสงสัยว่าภายใต้ความรู้สึกแบบนั้นยังมีอารมณ์อื่น ๆ ที่ถูกกลบฝังเอาไว้หรือเปล่า และอารมณ์เหล่านั้นต่างหากที่ทำให้เรารับรู้ถึงการมีชีวิตจริง ๆ วิธีที่ดีที่สุดในการเข้าใจเรื่องนี้คือจินตนาการถึงการตายของตัวเอง แล้วถามตัวเองว่าจะคิดถึงอะไร เพลงนี้เปิดมุมมองใหม่ให้ผมหลายอย่าง
ใน MV เพื่อน ๆ ที่มาร่วมในงานศพนั้นไม่ใช่นักแสดง แต่เป็นเพื่อนจริง ๆ ของผม สีหน้าของพวกเขาคือหนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดที่ผมได้ค้นพบจากการทำเพลงนี้
จากอัลบั้ม The Buffet มาถึง EP ล่าสุด ซาวด์ของวงหรือกระบวนการทำงานเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
หลังจาก The Buffet เราให้ความสำคัญกับซาวด์มากขึ้น พยายามไม่ขัดเกลาทุกอย่างจนสมบูรณ์แบบเกินไป แต่รักษาอารมณ์ดั้งเดิมของเพลงไว้แทน สำหรับการเล่นสด เราจะขยายอารมณ์นั้นให้กว้างขึ้น แล้วก็สนุกไปกับมันด้วยกัน แค่นั้นเลย
ดนตรีของคุณจะมีรากอยู่ในป็อป แต่ก็ซ่อนลูกเล่นและรายละเอียดไว้เยอะมาก โดยปกติคุณได้แรงบันดาลใจทางดนตรีจากที่ไหน
ผมฟังดนตรีหลายแนวมาก ทั้งแจ๊ส พังก์ร็อก หรือแม้แต่เพลงประกอบเกม ทุกแนวมีเนื้อหาหรือซาวด์ที่ติดหู ซึ่งมันจะตกตะกอนอยู่ในความทรงจำของผม ต่อให้ลืมไปแล้ว วันหนึ่งมันก็จะโผล่ออกมาจากปากในรูปของการฮัมเบา ๆ เพลงใหม่ ๆ ก็มักเกิดขึ้นจากกระบวนการซ้ำ ๆ แบบนั้น
สำหรับคนที่ไม่เคยฟัง MONO NO AWARE มาก่อน คุณจะแนะนำเพลงไหนให้พวกเขาเริ่มฟังเพื่อเข้าใจแนวทางของวง
ขอแนะนำ 風の向きが変わって กับ 東京 สนุกแน่นอนครับ
คำว่า “物の哀れ” เป็นแนวคิดหรือสำนวนภาษาญี่ปุ่นที่ลึกซึ้งมาก ผ่านมาร่วมสิบปีแล้ว มุมมองของคุณต่อชื่อนี้เปลี่ยนไปบ้างไหม
คำนี้มาจากความรู้สึกเมื่อเห็นดอกซากุระร่วงลอยไปตามแม่น้ำ แล้วนึกถึงวัฏจักรชีวิตมนุษย์ “โมโนะโนะอะวาเระ” มักถูกเข้าใจผิดว่ามีแค่ความเศร้าหรือความหม่นแบบไม่ก่อประโยชน์ใด ๆ แต่จริง ๆ แล้วมันคือการตระหนักถึงการไหลของเวลา จากอดีตสู่ปัจจุบัน เพื่อเข้าใจว่าตัวเรายังคงมีชีวิตอยู่ ในแง่นี้ เวลาที่เราใช้ร่วมกันมาถึงจะจำไม่ได้หมด แต่ผมกลับรู้สึกมีความสุขที่อย่างน้อยเราได้ใช้เวลามากมายร่วมกันจริง ๆ
ในฐานะที่คุณก็เคยเป็นวัยรุ่นมาก่อน อยากฝากอะไรถึงแฟนเพลงรุ่นใหม่ที่รู้สึกเชื่อมโยงกับดนตรีของ MONO NO AWARE บ้างไหม
ทุกวันนี้เราสามารถมองเห็นชีวิตของคนทั่วโลกผ่านอินเทอร์เน็ต ทั้งเจ้าของร้านทาโก้ในเม็กซิโก กลุ่มผู้ประท้วงในฝรั่งเศส หรือเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ในออสเตรเลีย แต่พอปิดสมาร์ตโฟน เราก็จะไม่มีวันได้พบพวกเขาอีก มันอาจจะดูโรแมนติกและน่าตื่นเต้น แต่ชีวิตของเราเองมีแค่เราที่ได้ใช้ เราทำเพลงเพื่อให้ผู้ฟังได้ระลึกถึงคำถามง่าย ๆ ว่า เรามาจากไหน ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน และกำลังจะไปทางไหน
ตอนนี้คุณอยู่ระหว่างทัวร์ต่างประเทศครั้งแรกในรอบหลายปี จากมุมมองของศิลปินญี่ปุ่น คุณมองซีนดนตรีในเอเชียตอนนี้ โดยเฉพาะในประเทศไทยอย่างไร
ผมเคยดูโชว์ของ DOOR PLANT แล้วชอบมาก พวกเขามีกลิ่นอายแบบ UK rock แต่ก็มีบรรยากาศอบอุ่นชื้น ๆ แบบประเทศในโซนร้อน KIKI กับ H3F ก็เป็นวงที่ผมชอบเหมือนกัน แต่ตอนที่เคยเดินเล่นในกรุงเทพฯ ผมได้ยินแต่เพลงสี่จังหวะตามคลับมากกว่า อาจเพราะเป็นย่านท่องเที่ยวก็ได้ ผมเลยอยากรู้ว่าวงอินดี้ไทยอย่าง Yonlapa เติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมแบบไหน และผมก็สนใจว่าศิลปินในแต่ละประเทศของเอเชีย รวมถึงญี่ปุ่นเอง รับอิทธิพลจากดนตรีตะวันตกและผสมเข้ากับวัฒนธรรมของตัวเองยังไง
สำหรับการแสดงครั้งนี้ มีเซอร์ไพรส์อะไรเตรียมไว้ให้แฟน ๆ ชาวไทยไหม
ถ้าพูดออกไปแล้ว มันก็ไม่ใช่เซอร์ไพรส์สิ!
อยากฝากอะไรถึงคนที่กำลังรอไปดูโชว์ของคุณบ้างไหม
มาสนุกด้วยกันนะ! แล้วช่วยสอนภาษไทยให้พวกเราด้วยล่ะ

ชอบไปคอนเสิร์ตเพราะเป็นกิจกรรมที่ทำคนเดียวได้ และยังชอบแนะนำวงดนตรีใหม่ ๆ ผ่านตัวอักษรตลอดเวลา