Virgin Vacation วงอินดี้ 4 ชิ้นจากเกาะฮ่องกงที่พร้อมจะท้าทายขอบเขตของแนวดนตรีเดิม ๆ ที่คุณเคยฟัง สไตล์ดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพวกเขาไม่สามารถถูกนิยามได้ด้วยคำใด ๆ บางคนอาจจะบอกว่าเขาคือไซคี ฟรีแจ็ส หรือ krautrock อันดุดัน แต่พวกเขากลับรู้สึกว่าดนตรีพวกเขาเป็นมากกว่านั้น โดยเฉพาะอัลบั้มล่าสุดอย่าง Dapple Patterns ที่ผสมผสานซาวด์อันบ้าคลั่งเข้ากับดนตรีอันอ่อนโยนได้อย่างกลมกล่อม แถมยังได้เข้าชิงรางวัล GIMA ของไต้หวันในฐานะอัลบั้มที่สร้างสรรค์ระดับเอเชีย
และนี่คือครั้งแรกที่พวกเขาจะได้มอบประสบการณ์ทางดนตรีที่หาดูที่ไหนไม่ได้ง่าย ๆ ในกรุงเทพ กับโชว์ครั้งแรกในไทยของพวกเขา ก่อนจะไปเปิดประสาทสัมผัสทั้งหมดเพื่อรับพลังจากวง เราได้พูดคุยกับสมาชิกทั้งสี่เกี่ยวกับเส้นทางของวง แนวคิดเบื้องหลังดนตรีของพวกเขา และความตื่นเต้นที่จะได้เจอแฟน ๆ ชาวไทย ใน Space Invader นี้
สมาชิก Virgin Vacation
Step Ip (กลอง, ดาต้า)
Kuro (เบส)
Wing Chan (กีตาร์, ซินธิไซเซอร์)
James Woodbridge Hedges (กีตาร์)

ที่มาของชื่อวง Virgin Vacation หน่อย ว่ามาจากไหน และสมาชิกทั้งสี่คนมารวมตัวกันได้ยังไง?
VV (Virgin Vacation): ชื่อวงของเรามาจาก Lai Tat Tat Wing (ไล ทาต ทาต วิงก์) นักเขียนการ์ตูนจากฮ่องกงที่เคยร่วมงานกับเราบ่อย ๆ เขาเป็นคนทำภาพปก EP แรกของเราด้วย เราส่งเดโมเพลงไปให้เขาแล้วบอกให้เขาคิดคำหรือวลีที่นึกถึง เขาเสนอชื่อภาษาจีนว่า “假日貞操” (เจีย รื่อ เจิน ฉาว) ขึ้นมาก่อน แล้วเราก็แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า “Virgin Vacation” และมันก็กลายมาเป็นชื่อวงของเรานั่นเอง
ส่วนเรื่องที่วงเรามารวมตัวกัน Jimmy (James) กับ Wing เจอกันครั้งแรกที่ฮ่องกง ผ่านเพื่อนคนหนึ่งจากอังกฤษ พอรู้ว่าเป็นนักดนตรีเหมือนกันก็เลยลองแจมเพลงด้วยกัน พวกเราเคยตั้งวงแรกที่ยังไม่ได้ตั้งชื่อด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ไปไกลเท่าไหร่ แล้ววงนั้นก็แยกย้ายกันไป แต่ Jimmy กับ Wing ยังคงติดต่อกันและเล่นดนตรีต่อ Wing ก็แนะนำเพลงใหม่ ๆ ให้ Step กับ Ho ที่เป็นเพื่อนร่วมงานจากโรงละครในฮ่องกงฟัง พวกเขาเลยมาร่วมเล่นกลองกับเบส และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของ Virgin Vacation น่าเสียดายที่ Ho มือเบสคนแรกของเราลาออกจากวงเมื่อปีที่แล้ว แต่โชคดีที่เราได้ Kuro มาแทน เขาเป็นนักดนตรีฝีมือเยี่ยมที่เคยเล่นกับหลายวงในวงการอินดี้ฮ่องกง
ถ้าต้องนิยามแนวดนตรีของวง คุณจะเรียกมันว่าอะไร?
James: โพสต์-ไซเคเดลิก-เทคโน-แจ๊สร็อก? ถ้าจริงจังหน่อย ผมว่ามันยากที่จะจัดวงเราอยู่ในหมวดหมู่ใดหมวดหมู่หนึ่ง และเราก็โอเคมากที่ไม่ต้องถูกจำกัดด้วยกรอบของแนวเพลง
Wing: ฉันคงเรียกมันว่า “ดนตรีบรรเลง” (Instrumental) เพื่อให้มันไม่มีขีดจำกัด
Step: บางคนบอกว่าเพลงของเรามีกลิ่นอายของ krautrock ในแง่โครงสร้างและรูปแบบ แต่เราก็ยังเปิดกว้างที่จะลองเล่นทุกแนวดนตรี
แรงบันดาลใจทางดนตรีของวงมาจากไหน และอะไรทำให้มันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว?
James: ทุกคนในวงมีแรงบันดาลใจที่ต่างกันมาก และการผสมผสานเหล่านั้นทำให้เพลงของเรามีเอกลักษณ์ สำหรับผม krautrock เยอรมันยุค 70 มีอิทธิพลกับผมมาก รวมถึงดนตรีอิเล็กทรอนิกยุคแรก ๆ และแจ๊สบางแนว ผมชอบดนตรีที่ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังสำรวจพื้นที่ใหม่ ๆ และหวังว่าเราก็ทำแบบนั้นใน VV
Wing: ฉันชอบวงโพสต์ร็อกจากชิคาโกอย่างวง Tortoise มาก วิธีที่พวกเขาเล่นด้วยกันมันดูเป็นธรรมชาติ เหมือนพวกเขาเล่นสนุกกันในกล่องทราย ใครอยากเล่นเครื่องดนตรีอะไรก็ได้ หรือจะสลับกันเล่นระหว่างแสดงก็ยังได้ และไม่มีใครเป็นตัวนำหลัก ทุกคนมีบทบาทของตัวเอง
Step: ผมได้รับแรงบันดาลใจจากคีตกรีร่วมสมัยอย่าง Brian Eno และ Steve Reich พวกเขาทำให้ผมมองดนตรีเหมือนงานศิลปะ ผมเคยชอบ math Rock และ dream Pop มาก่อน และตอนนี้เริ่มสนใจ cantopop มากขึ้น
ชื่ออัลบั้ม Dapple Patterns มีความหมายยังไง?
James: ลวดลายของแสงที่เปลี่ยนไปมา ซ้อนทับกันและรวมตัวกันเป็นลวดลายใหม่ มันเปรียบเสมือนสิ่งที่เกิดขึ้นในดนตรีของเรา
Wing: มันแสดงถึงความหลากหลายของเพลง VV ที่ทั้งนุ่มนวลและหนักแน่นในเวลาเดียวกัน
Step: การมีความหลากหลายแบบไร้ขีดจำกัดในรูปแบบเดียว
อัลบั้ม Dapple Patterns พัฒนาจาก EP แรกของวงยังไงบ้าง ในมุมมองของวง?
James: เราขยายขอบเขตการทำเพลงออกไปเยอะมาก ลองเล่นแนวเพลงที่หลากหลายขึ้น ครึ่งแรกของอัลบั้มจะมีความหนักแน่นและดิบกว่า มีองค์ประกอบของพังค์และเสียง noise รวมถึงส่วนของเครื่องเป่าที่ได้แรงบันดาลใจจากซาวด์แทร็กหนังเก่า ๆ และฟรีแจ๊ส ส่วนครึ่งหลังจะมีความลึกลับและบรรยากาศที่แปลกใหม่ ซึ่งต่างจาก EP แรกอย่างชัดเจน
Wing: ถ้าเทียบกับ EP แรกที่โครงสร้างเพลงจะวนซ้ำ ๆ และเกิดจากการแจมเพลงเป็นหลัก ใน Dapple Patterns เราลองวิธีแต่งเพลงใหม่ ๆ เช่น ใช้วิธี Oblique Strategy แบบ DIY ของ Brian Eno เราเขียนคำสุ่มขึ้นมา 2 คำ แล้วแจมเพลงจากคำพวกนั้น หรือแต่งเพลงที่มีจังหวะนับแบบแปลก ๆ เป็นต้น
เรายังลองผสมผสานเครื่องดนตรีหลากหลายรูปแบบเข้าไป เช่น เพิ่มเครื่องสายและการแร็ปในเพลง Forest หรือใช้เครื่องเป่ากับสไตล์ krautrock หนัก ๆ ในเพลง RED, Ghost และ Yellow Scissors หรือใช้ซินธ์กับเพอร์คัสชันใน Dapple Patterns II
ถ้าต้องแนะนำเพลงจากอัลบั้มนี้ มีเพลงไหนบ้างที่คุณอยากแนะนำ และเพราะอะไร?
James: ผมแนะนำเพลง Forest เพราะมันมีทั้งอารมณ์และเสียงที่หลากหลาย และยังมีการเล่นที่งดงามแบบวง Romer String Quartet ด้วย
Wing: เพลง Dapple Patterns II เพราะมันเป็นเพลงเดียวในอัลบั้มที่ไม่มีเสียงกีตาร์เลย
Kuro: ผมก็ชอบเพลง Forest เหมือนกัน ถ้าต้องเลือกเพิ่ม ผมขอเลือก Yellow Scissors กับ Jupiter เพราะมันตรงไปตรงมาแต่ทรงพลัง และมีไดนามิกทางอารมณ์ที่เข้มข้น
Step: ฉันขอแนะนำให้ลองฟังเพลง Jupiter จนจบ มิกซ์ช่วงท้ายของเพลงจะทำให้คุณเซอร์ไพรส์แน่นอน
การที่อัลบั้ม Dapple Patterns ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล GIMA ที่ไต้หวัน มีความหมายยังไงกับวงบ้าง?
James: มันน่าตื่นเต้นมาก! พวกเราดีใจกันสุด ๆ ที่วงเริ่มได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ และดูเหมือนคนจะชอบเพลงของพวกเราด้วย
Wing: มันหมายความว่าวิธีการแต่งเพลงของเราทำงานกับผู้ฟังต่างประเทศ เราต้องเดินหน้าต่อไปและเริ่มทำอัลบั้มใหม่กันแล้ว!
Step: ขอบคุณ GIMA สำหรับเกียรติอันยิ่งใหญ่นี้ พวกเรารู้สึกดีใจมากครับ
วงการเพลงอินดี้ในฮ่องกงตอนนี้เป็นยังไงบ้าง? โดยเฉพาะกับศิลปินแนวเฉพาะแบบพวกคุณ ต้องเจอกับความท้าทายอะไรบ้าง?
James: ผมว่าในวงการเพลงอินดี้ที่นี่ คนก็ซัพพอร์ตพวกเรากันดีนะ ถึงแม้ว่าแนวเพลงของเราจะออกแนวเฉพาะกลุ่ม แต่แฟน ๆ ในฮ่องกงค่อนข้างเหนียวแน่น อินดี้ซีนอาจจะไม่ได้ใหญ่มาก แต่ทุกคนที่อยู่ในซีนนี้มีความทุ่มเทจริง ๆ ครับ
Wing: ปัญหาหลักก็คือฮ่องกงขาดสถานที่เล่นดนตรีสดหรือเวนิวขนาดกลางที่ช่วยให้วงอินดี้ได้ขยายฐานแฟนคลับหรือได้ประสบการณ์การแสดงเพิ่มขึ้น แต่ก็ดีที่ช่วงหลังเริ่มมีการร่วมมือกันระหว่างวงในฮ่องกงกับวงจากต่างประเทศมากขึ้น ทั้งจัดโชว์หรือทัวร์ด้วยกัน ผมว่ามันสำคัญมากที่วงดนตรีในเอเชียจะได้ร่วมงานกัน เพื่อเพิ่มการมองเห็นและแลกเปลี่ยนไอเดียใหม่ ๆ ครับ
กับการเป็นวงที่เล่นแนวเฉพาะแบบนี้ อะไรคือความท้าทายที่ใหญ่ที่สุด? หรือว่ายุคนี้ช่วยทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นสำหรับวงแบบพวกคุณ?
James: เพราะอุตสาหกรรมดนตรีมันเปลี่ยนไปจากยุคก่อนมาก เราเลยต้องทำทุกอย่างเองแทบหมด อย่างการจัดการหรือโปรโมต แต่ข้อดีก็คือยุคนี้ทำให้การสื่อสารง่ายขึ้น โดยเฉพาะระดับนานาชาติ เราสามารถเข้าถึงคนในไทยหรือที่อื่น ๆ ได้ง่ายขึ้นด้วยอินเทอร์เน็ต
Wing: ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดสำหรับผมคือการบาลานซ์ระหว่างความเป็นเพลงทดลองกับความเป็นเพลงที่คนฟังทั่วไปอยากฟัง พวกเราชอบทดลองดนตรี แต่เราก็อยากให้คนสนุกไปกับ “การทดลอง” ของเราด้วย ซึ่งส่วนที่ยากก็คือทำยังไงให้มันมีทั้งสองอย่างโดยไม่เสียตัวตนของเราไป

หลังจากที่ได้เล่นใน Clockenflap มาแล้ว ก้าวต่อไปของวงคืออะไร?
James: ก็คือทัวร์นี้แหละครับ! เราจะมาเล่นที่ไทยแน่นอน จากนั้นก็ไปอินโดนีเซีย และหวังว่าจะได้ไปสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ แล้วก็มาจีนแผ่นดินใหญ่ด้วย นี่จะเป็นทัวร์ที่ใหญ่ที่สุดของเราเลยครับ
Wing: ถ้าได้เล่นใน Maho Rasop Festival, Diage Festival หรือ Beat Forest ในอนาคตก็คงจะเจ๋งมาก! แล้วก็หวังว่าเราจะได้ไปทัวร์ยุโรปกับอเมริกาปีหน้า
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกคุณจะได้มาแสดงในไทย รู้สึกยังไงบ้าง?
James: ตื่นเต้นสุด ๆ พวกเรารักประเทศไทยและรอคอยที่จะได้มาเล่นที่นี่ รวมถึงเจอคนใหม่ ๆ ด้วย
Wing: รอเจอทั้งนักดนตรีและเพื่อนใหม่ ๆ ในไทยครับ! ตื่นเต้นมากที่จะได้ดูโชว์ของ JPBS ด้วย
แฟน ๆ ควรเตรียมตัวยังไงก่อนจะมาดูโชว์ของพวกคุณ?
James: ไม่ต้องเตรียมอะไรมากเลยครับ แค่พาตัวเองมาแล้วสนุกไปด้วยกัน
Wing: นอนให้พอ กินข้าวให้อิ่ม แล้วก็จิบค็อกเทลมาสักแก้วครับ!
Kuro: เตรียมพร้อมสนุกได้เลยครับ
Step: ชิล ๆ สบาย ๆ ครับ~
มีอะไรอยากฝากถึงแฟน ๆ ชาวไทยมั้ย?
James: ฮัลโหล!
Wing: 👋🏻🙏🏻
Kuro: สวัสดีครับ! (พูดภาษาไทย)
Step: ยินดีที่ได้รู้จักครับ!
เปิดหูเปิดตารับพลังจากแนวเพลงที่ไร้ขอบเขตของพวกเขาได้ พร้อมวงไทยสุดเดือดอย่าง JPBS ได้ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ DECOMMUNE จับจองบัตรได้แล้วที่ Ticketmelon: https://www.ticketmelon.com/comeearsbkk/virginvaction2025-live-at-decommune
ติดตามข่าวสาร ความเคลื่อนไหวของวงและฟังเพลงใหม่ก่อนใครได้ที่ Facebook, Instagram และ Bandcamp


ชอบไปคอนเสิร์ตเพราะเป็นกิจกรรมที่ทำคนเดียวได้ และยังชอบแนะนำวงดนตรีใหม่ ๆ ผ่านตัวอักษรตลอดเวลา