14 ปีการเดินทางของ Cloud Behind กับภารกิจสำรวจใจที่แปรผันดั่งพายุฝนใน ‘Troposphere’

by Nattha.C
310 views
Cloud Behind

Cloud Behind คือหนึ่งในวงดนตรีอัลเทอร์เนทีฟร็อกที่แฟนเพลงนอกกระแสอาจรู้จักกันเป็นอย่างดีดี จากสไตล์การเขียนเนื้อหาคำร้อง และบรรยากาศของเมโลดี้ที่ฉายภาพ “ก้อนเมฆ” แสดงถึงความสดใสและหม่นหมอง ด้วยจังหวะสนุกสนานที่บางครั้งก็เหมือนฟ้าหลังฝน เรียกให้ไปกระโดดเล่นบนแอ่งน้ำเล็ก ๆ แต่ในจังหวะแสนอึดอัดใจก็คล้ายลมพายุที่พลัดปลิวทุกสิ่งไป

พวกเขาเคยฝากอัลบั้มในชื่อเดียวกันเมื่อปี 2019 ก่อนตามด้วย Star Tracks ในปี 2022 และปีนี้ พวกเขาก็กลับมาพร้อมสตูดิโออัลบั้มชุดที่สามอย่าง Troposphere หลังใช้เวลาเกือบสองปีเพื่อเก็บเกี่ยวเรื่องราวมาบันทึกเป็นเสียงเพลง โดยหยิบชื่อของชั้นบรรยากาศที่อยู่ใกล้โลกที่สุด อันเต็มไปด้วยความแปรปรวนที่คาดเดาไม่ได้ เช่นเดียวกับอารมณ์และชีวิตของมนุษย์ที่อาจพบเจอการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

และก่อนมันจะกลายเป็นคอนเซ็ปต์ที่ทางวง Cloud Behind เลือกมานำเสนอผ่าน 9 เพลงในอัลบั้มนี้ เราจึงชวนพวกเขาพูดคุยถึงเบื้องหลัง พร้อมการเดินทางตลอด 14 ปีที่หนุ่ม ๆ เปรียบเป็นภารกิจหลักที่จะพาเราเข้าไปสำรวจจิตใจตัวเองอีกครั้ง

Cloud Behind
สมาชิก Cloud Behind (เรียงจากซ้ายไปขวา) วรินทร์ มือเบส, ตวน กีตาร์และร้องนำ, สกิปป์ มือกลอง, ตาปี มือกีตาร์

ก่อนหน้านี้ สมาชิกแต่ละคนพบเจอหรือผ่านอะไรกันมาบ้าง มีเรื่องไหนที่ทุกคนแอบหยิบมาใส่ในผลงานชุดนี้ไหม?

ตวน : ช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ เป็นช่วงที่ชีวิตผมมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างครับ ทั้งภาระหน้าที่ที่มากขึ้น การจากลาในรูปแบบต่าง ๆ และการได้เริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ ซึ่งมันทั้งง่ายขึ้นและยากขึ้นในบางแง่มุม ความรู้สึกหลากหลายเหล่านั้น ผมก็มีหยิบมาเล่าผ่านเพลงบ้าง บางครั้งมันก็เป็นการบันทึกอารมณ์ที่เราอธิบายออกมาตรง ๆ ไม่ได้ แต่สามารถถ่ายทอดออกมาในรูปของเสียงและเนื้อหาแทนครับ

ตาปี : ช่วงที่เริ่มทำอัลบั้ม ‘Troposphere’ เป็นช่วงที่ผมเรียนจบมหาวิทยาลัยพอดี เลยมีแกปเวลาว่างให้สามารถทำงานดนตรีได้มากขึ้นกว่าตอนอัลบั้มที่แล้ว ทั้งเวลาในการคิดไอเดียแล้วจัดการเอง หรือโยนให้คนในวงช่วยเหลือได้ง่ายขึ้นครับ

วรินทร์ : จริง ๆ เป็นครั้งแรกที่ผมได้ออกไอเดียของตัวเองในพาร์ทของเครื่องดนตรีเบส (ก่อนหน้านี้เป็นมือกีตาร์มาก่อน) ตอนเริ่มเล่นเบสก็เล่นให้กับวงวงนึง แต่ยังไม่ได้ถึงขั้นทำเพลง ผมได้อิทธิพลของเบสมาจากที่นั่นเยอะพอสมควร ส่วนเรื่องภาพรวมของเพลง อัลบั้มนี้ถือว่าเป็นอัลบั้มที่ผมได้นำประสบการณ์ต่าง ๆ มาใช้ในการเรียบเรียงและหาสิ่งที่ลงตัวที่สุดให้กับเพลงนึงเยอะมากที่สุดแล้ว เรียกได้ว่าจัดเต็มครับ

สกิปป์ : สำหรับผมที่เป็นสมาชิกใหม่ของวงที่เพิ่งเข้ามาช่วงระหว่างกำลังทำอัลบั้ม เป็นครั้งแรกของผมด้วยที่จะได้ทำเพลงของตัวเลย ผมเลยใส่ทุกอย่างเต็มที่ จากในสิ่งที่ได้ยินในหัวออกมาเป็นเสียงกลอง ที่สอดคล้องกับกีตาร์ในตอนที่เราแจมกันครับ

อัลบั้มนี้สังเกตได้ว่า กลิ่นอายดนตรีจะมีความหลากหลายมากขึ้น ตั้งแต่ นอยซ์ป๊อป โพสต์ร็อก นิวเวฟ โพสต์พังค์ ถือเป็น การได้สำรวจทิศทางใหม่ ๆ ของวงด้วยหรือเปล่า? และถ้าเลือกได้ ทุกคนชอบเพลงไหนมากที่สุด?

ตวน : จริงๆ แล้วแนวเพลงทั้งหมดในอัลบั้มนี้ ก็เป็นแนวที่ผมชอบฟังในชีวิตประจำวันอยู่แล้วครับ พอเราเอาสิ่งเหล่านั้นมาผสมเข้ากับโครงสร้างดนตรีที่เป็นอยู่ของวง และเนื้อเพลงที่เราแต่งกันไว้ ก็ทำให้เกิดเป็นกลิ่นอายเฉพาะของอัลบั้มนี้ไปเอง เพลงที่ชอบที่สุดในอัลบั้มนี้ ตอนนี้ขอเลือก ‘ปรากฏการณ์’ ชอบบรรยากาศของเพลงนี้ครับ

ตาปี : ‘Grounded’ ครับ เป็นเพลงที่เริ่มแต่งช่วงฝึกงานสถาปนิกที่เชียงใหม่ แม้จะได้อยู่ใกล้กับธรรมชาติ แต่ก็อยู่ไกลจากที่บ้านพอสมควร เลยได้ไอเดียอยากมีเพลง อคูสติก ที่ได้บรรยากาศที่เย็น ๆ ฟังง่าย แต่คิดถึงใครสักคน แล้วพอมาอยู่ในอัลบั้มนี้ และเป็นเพลงสุดท้ายเพลงเลยช่วยให้คอนเซ็ปต์ของ ‘Troposphere’ เหมือนกับได้ลงจอดถึงพื้นดินอีกครั้ง

วรินทร์ : ผมชอบความหลากหลายในอัลบั้มนี้นะครับ เห็นได้ชัดว่าแต่ละคนได้ดึงความเป็นตัวเองเข้ามาใส่ในอัลบั้มเยอะมาก คิดว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อัลบั้มมีความแตกต่างในตัวของมัน เป็นความแปรนปรวนอย่างนึง ส่วนเพลงที่ชอบที่สุดของผมเป็น ‘บัลลาด’ ครับ แจมกันครั้งแรกในห้องซ้อมก็ชอบเพลงนี้เลย สำหรับผมมันเรียบง่ายแต่สื่อความหมายได้ครบถ้วนในตัวของมัน ทั้งด้านเนื้อหาและความรู้สึก

สกิปป์ : เพลงที่ชอบที่สุดสำหรับผมคือเพลง ‘ความฝันความมืดดำ’ เป็นเพลงแรกที่ได้เข้ามาเจอกับวงแล้วร่วมแจมกันเลย ส่วนตัวผมเป็นคนเล่นดนตรีหลากหลายแนว อาจจะมีการหยิบที่สิ่งที่ชอบในแต่ละแนวดนตรีมาใส่เล็กน้อยครับ

ส่วนตัวเราชอบเพลง ‘แรงต้านทาน’ เพราะมันค่อนข้างฉีกออกไปจากผลงานเต็มสองชุดก่อนหน้า รวมถึงแทร็คอื่น ๆ ในอัลบั้มนี้ด้วย ทั้งเรื่องของโครงสร้าง ไดนามิก ไลน์ดนตรี การวางจังหวะคำร้อง เพราะปกติวงมักจะถนัดเพลงช้าถึงกลางมากกว่า อะไรคือไอเดียหรือ Process เบื้องหลังของเพลงนี้?

ตวน : เนื้อเพลงมันเหมือนการระบายความอึดอัดที่อยู่ในใจ เป็นท่อน ๆ ไปครับ ตอนที่แต่งเนื้อร้อง รู้สึกว่าดนตรีมันแน่นมากตั้งแต่ต้นจนจบ พอเอาเมโลดี้ไปร้องทับ มันดันทำให้เพลงดูหวานเกิน ก็เลยลองเปลี่ยนมาพูดตามจังหวะกีตาร์ตัวเองแทน มันตรงกับฟีลที่อยากสื่อมากกว่า เพลงนี้เลยอาจจะฟังดูแปลกหูจากเพลงอื่นหน่อย แต่ผมสนุกกับมันนะ

ตาปี : ผมคิดจากริฟฟ์อินโทรของกีตาร์ขึ้นมาก่อน อยากได้เพลงที่เล่นแล้วตัวเองสนุกก่อน โดยไม่ต้องมีริฟฟ์อะไรที่หวือหวาจนเกินไป การเล่นอุดสายแบบ powerchord ไปเรื่อย ๆ เลยมีพื้นที่ให้คนในวงโยนไอเดียเข้ามาใส่ได้ครับ

วรินทร์ : ในทั้งหมด 9 เพลง เพลงนี้เป็นเพลงสุดท้ายที่เอามาทำกันครับ ผมคิดว่าเป็นช่วงที่สมาชิกรู้จักกันมากที่สุด ทำให้ต่างคนต่างรู้ศักยภาพของกันและกัน แล้วจับทางกันได้เลยทำให้แต่ละคนใส่กันอย่างเต็มที่ หรือว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการสปอยล์อัลบั้มหน้ากันนะ?

สกิปป์ : สำหรับผม เพลงนี้ค่อนข้างไม่มีอะไรที่ซับซ้อนครับ เป็นการแจมกันในห้องซ้อม ตาปีขึ้นกีตาร์มา ผมก็ซัดกลองกลับไป ตรง ๆ ดุดัน เพลงนี้เราคิดกันจบไวมากครับ

ถัดมาเป็นเพลง ‘Bloom’ และ ‘Grounded’ ที่เราปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือตัวตนดั้งเดิมของวงเลย ด้วยจังหวะช้า ๆ ที่ให้ความรู้สึกเบาโปร่ง อบอุ่น และหากเมื่อพูดถึงความหมายของ “การกลับมาเผชิญโลกภายในก่อนจะเบ่งบานอีกครั้ง” สำหรับทุกคนหมายถึงอะไร?

ตวน : สำหรับผมมันคือ การต่อสู้กับความรู้สึกภายในจิตใจตัวเองในเวลาที่มันยาก ให้เวลากับมัน และเรียนรู้มันใหม่ครับ

ตาปี : การยอมรับกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา แล้วหาทางดำเนินชีวิตไปกันต่อครับ

วรินทร์ : เป็นลูปของความเป็นจริงบนโลกมนุษย์ครับ

สกิปป์ : เหมือนการกลับมาเผชิญความจริงของชีวิตที่มันไม่ได้ง่าย แต่สุดท้ายมันจะมีทางออกดี ๆ สำหรับเราเสมอครับ

ด้านการใช้ภาษาคำร้องอันเป็นเอกลักษณ์ มีที่มาจากการเขียนเนื้อหาเพลงแบบเฉพาะตัวของ “ตวน” ทำให้หลายเพลงของ Cloud Behind เต็มไปด้วยการเปรียบเปรยที่เรียบง่าย สละสลวย แต่ยังเข้าถึงแก่นอารมณ์ โดยปกติ วงมีวิธีการเขียนเนื้อหาหรือแลกเปลี่ยนกันยังไงบ้าง? หรืออะไรเป็นแรงบันดาลใจหลักที่ทำให้ ตวน ได้ซึมซับแล้วฝึกปรือเพื่อมาใช้กับเพลงของตัวเอง

ตวน : เรื่องแรงบันดาลใจในการแต่งเนื้อเพลง ผมน่าจะได้อิทธิพลมาจากช่วงเด็ก ๆ ที่ไปอยู่กับคุณตาคุณยายที่ต่างจังหวัดทุกปิดเทอมครับ ยายชอบร้องเพลงยุคเก่า ๆ ตอนทำกับข้าว ผมก็เลยซึมซับคำพวกนั้นมาโดยไม่รู้ตัว ส่วนตาก็เปิดเพลงไทยเก่า ๆ ในงานเลี้ยงแถวบ้านที่ชลบุรี เปิดเพลงลูกทุ่งของสมัยนั้น มันก็เลยติดอยู่ในหัวมาจนถึงตอนนี้

ส่วนเรื่องการเล่าเรื่องในเพลง ผมอิงจากความรู้สึกตอนแต่งเป็นหลัก ตอนมหาวิทยาลัย นอกจากดนตรีก็เคยอยากเป็นนักเขียน ก็เลยชอบเขียนอะไรเก็บไว้ คล้าย ๆ ไดอารี่แต่ไม่ได้เป๊ะขนาดนั้น พอมาแต่งเพลงจริง ๆ บางทีก็หยิบสิ่งที่เคยเขียนมาใช้บ้าง เอามาปรึกษาวง มันเลยกลายเป็นอีกแหล่งวัตถุดิบสำหรับเพลงด้วยเหมือนกันครับ

การที่วงเลือก “ก้อนเมฆ” มาใช้เป็นสัญลักษณ์แห่งแสงสว่างและความมืดครึ้ม ส่วนตัวเราว่ามัน เมคเซ้นส์มาก ๆ ในแง่ของการอธิบายพาร์ทดนตรี และองค์ประกอบโดยรวม สำหรับสมาชิกแต่ละคน นอกจากก้อนเมฆ มีอะไรที่ยังสื่อถึงหรืออธิบายตัวตนของวงได้อีก?

ตวน : ทะเล มหาสมุทร เพราะรู้สึกว่ามันกว้างใหญ่ และมีเสียงที่เราอาจไม่ได้ยิน โดยมันมีเสียงที่เปิดกว้างให้ตีความหรือค้นหาครับ

ตาปี : เรื่องนี้เคยพูดเล่น ๆ กับคนในวงว่า ผมมอง Cloud behind เป็นเหมือนวง “ลูกคนกลาง” ที่พยายามทดลองหาเส้นทาง เพื่อที่จะสามารถพิสูจน์ตัวเองตามแบบของเราได้

วรินทร์ : ทางวิทยาศาสตร์ในนั้นจะมีความแปรปรวนสูงครับ เหมือนเวลาเรานั่งเครื่องบินแล้วเข้าไปในกลุ่มเมฆ ซึ่งเรื่องพาร์ทดนตรี อารมณ์ของเพลงก็สื่อออกมาได้ชัดครับ

สกิปป์ : เวลามาซ้อมกับวง ผมรู้สึกเหมือนตอนเด็ก ๆ ที่จะได้เล่นบ้านบอล มีความตื่นเต้นอยู่เสมอ เลยอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรกับวงนี้ได้บ้าง

ใครที่เคยติดตามวงมาก่อนก็อาจจะคุ้นเคยกับ “ตาปี” ที่เริ่มเข้ามาเล่นให้ตั้งแต่ช่วงก่อน ปล่อยอัลบั้ม ‘Star Tracks’ แต่สำหรับ วรินทร์ (มือเบส) และ สกิปป์ (มือกลอง) ก็ถือเป็นสมาชิกใหม่แกะกล่องมาก ๆ ความรู้สึกของการได้มีโอกาสเข้ามาเป็นสมาชิกเต็มตัวเป็นอย่างไรบ้าง?

วรินทร์ : จริง ๆ ผมรู้จักกับวงมาตั้งแต่ซิงเกิ้ลแรกเลยครับ เห็นการเดินทางและการเติบโตของวงมาตลอด แต่รู้สึกว่าช่วงเวลานี้ เป็นช่วงเวลาที่พอดีมากสำหรับผมและวง ในฐานะที่ผมกับพี่ตวนเกิดมาในยุคใกล้กัน เลยต่างรู้ความชอบและสไตล์ที่ใกล้เคียงกันอยู่แล้ว ส่วนตาปีถือว่าเป็นคนนึงที่ชีวิตเปิดกว้างมาก ๆ รับทุกอย่าง ตอนคิดตอนทำก็สามารถทำได้ทุกอย่างแล้วทำออกมาได้ดีด้วย แถมยังได้สกิปป์ที่เข้ามาดึงความซิ่งของผมออกมาได้อีก มันส์มาก ๆ ครับกับการเดินทางครั้งนี้

สกิปป์ : ดีใจและตื่นเต้นมาก ๆ ครับ ที่ได้มีโอกาสมาเดินทางร่วมกันกับวง

ในฐานะที่ Cloud Behind ฟอร์มขึ้นมาเมื่อปี 2011 ปัจจุบันก็ผ่านมาเป็นระยะเวลา 14 ปีแล้ว วงได้มีการเปลี่ยนผ่านทั้งเรื่องของดนตรี มวลอารมณ์ที่ใส่ลงไปในแต่ละเพลง รวมถึงพาร์ทสมาชิก หากมองย้อนกลับไป ณ จุดเริ่มต้น จนถึงวันนี้ การที่วงจะยืนระยะได้นานขนาดนี้ ต้องอาศัยอะไรบ้าง หรือมีอะไรอยากพูดถึงตั้งแต่ตอนเริ่มทำวง การปล่อยอัลบั้มแรก อัลบั้มชุดที่สอง และชุดที่สามไหม?

ตวน : สำหรับผมคือแพชชั่นครับ ตลอด 14 ปีนี้ ผมมีแพชชั่นกับดนตรีอย่างเดียวมาตลอด เอาจริง ๆ ก็ตั้งแต่ มัธยทต้นเลย ถึงจะมีช่วงที่เหนื่อยบ้าง ท้อบ้าง แต่ไม่เคยอยากเลิก ก็เลยคิดว่า มันเป็นแพชชั่นจริง ๆ

ส่วนในพาร์ทของกระบวนการทำแต่ละอัลบั้มไม่เคยเหมือนกันเลย อัลบั้มแรกเราได้ร่วมงานกับค่าย Parinam Music ทุกอย่างมีระบบที่ดี มีแผนที่ค่ายช่วยดูแลให้ พออัลบั้มที่สอง ‘Star Tracks’ เราไม่ได้อยู่ค่ายแล้ว สมาชิกบางคนก็เริ่มแยกย้ายตามเส้นทางของตัวเอง แต่ตอนนั้นพวกเรายังไฟแรงมาก เพราะยังโฟกัสที่ดนตรีอย่างเดียวได้ เพลงเลยออกมาเยอะถึง 14 เพลงในอัลบั้มนี้ หลังจากนั้นเพื่อน ๆ ก็เริ่มไปทำอย่างอื่นกันครับ บางคนเริ่มทำธุรกิจเต็มตัว บางคนมีครอบครัว พวกเราก็เคารพในเส้นทางของแต่ละคน และก็หวังว่าจะได้กลับมาเล่นดนตรีด้วยกันอีกสักวัน ไม่จำเป็นต้องเป็นกับ Cloud Behind ก็ได้ แค่ได้เล่นด้วยกันอีกก็พอ

การจากลาครั้งนั้นมันก็มีความสับสนอยู่นิดหน่อยว่าจะเอายังไงต่อดี แต่ผมกับตาปียังรู้สึกว่าอยากทำต่อ เลยเริ่มกลับมาทำเดโม่กันใหม่ครับ

ตาปี : ทุก ๆ ครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงของวง เหมือนเป็น “Mission” ให้วงต้องหาทางเดินต่อไปข้างหน้า สิ่งที่สำคัญเลยคือ “แพชชั่น” ของแต่ละสมาชิกในความอยากที่จะทำวงอยู่ ความสม่ำเสมอในการทำเพลง รวมถึงระบบการทำงานที่วางร่วมกัน และอีกปัจจัยที่สำคัญมาก ๆ กับวงคือ “คนฟัง” ที่ยังฟังเพลง สนับสนุนและให้การต้อนรับพวกเราทุกครั้งที่มีการปล่อยเพลง อัลบั้ม หรือเล่นสดก็ตาม ขอบคุณครับ

วรินทร์ : ที่ผมเกริ่นไปว่าได้เห็นการเดินทางของวงมาตลอด พอได้มาสัมผัสกับตัวเองจริง ๆ ณ ตอนนี้ คิดว่าแต่ละคนเต็มไปด้วยแพชชั่น ซึ่งแน่นอนว่าพวกเราจะไม่หยุดและทำผลงานต่อไป นอกจากนี้จะมีสิ่งใหม่ ๆ ที่แฟนคลับอาจจะไม่เคยเห็นออกมาให้ติดตามกันแน่นอนครับ

สกิปป์ : ด้วยความที่ผมเพิ่งเข้ามาระหว่างการทำอัลบั้มนี้ ขอพูดในมุมนักดนตรีคนหนึ่งละกันครับ การที่จะยืนระยะต้องอาศัยแพชชั่นสูงมาก และสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ คนฟังที่ยังสนับสนุนผลงานของพวกเรา ที่ทำให้เรามีกำลังใจลุยกันต่อ ขอบคุณมาก ๆ เลยครับ

+ posts

แบม นักเขียนน้องเล็กที่ชอบอ่านหนังสือและฟังเพลงในเวลาเดียวกัน ปัจจุบันกลับมาทำเพจ Listenist

Related Articles

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy