RAZOR RIFF โปรโมเตอร์เลือดใหม่ ที่ใช้แพชชั่นในการเชื่อมซีนดนตรีโลกเข้ากับเมืองไทย

by McKee
122 views
Razor Riff หนุ่ย นพดล แสงบ้านเหนือ โจ้ ชาลี สุขเจริญ มนต์ ณรงค์พล เกสร์ประทุม Homecoming Ugoslabier Area23

ในยุคที่คอนเสิร์ตจำนวนมากถูกออกแบบจากตัวเลขก่อนความรู้สึก Razor Riff กลับเลือกเดินคนละทางกับสูตรสำเร็จทั้งหมด พวกเขาไม่รอให้ยอดสตรีมหรือกราฟใด ๆ มาบอกว่าควรจัดคอนเสิร์ตให้วงไหน แต่เดิมพันด้วยแพชชั่นล้วน ๆ จากความเชื่อที่ว่า ถ้าเราตื่นเต้นกับดนตรีแบบไหน ก็ต้องมีคนที่รู้สึกเหมือนกันอยู่แน่นอน

จากร้านเสื้อวงดนตรีและวงเหล้าในร้านกาแฟ สู่การพาศิลปินต่างประเทศหลากหลายแนวมาขึ้นเวทีไทยครั้งแรก พวกเขาเลือกที่จะสร้างพื้นที่แบบที่ตัวเองคิดถึง คอมมูนิตี้ที่คนฟัง ศิลปินและคนจัดเติบโตไปพร้อมกัน เวทีเล็ก ๆ ที่โอบเข้าหากันของคนที่เชื่อในดนตรีแบบเดียวกัน

COSMOS Creature วันนี้เราอยู่กับ Co-Founder ทั้งสามคนของ Razor Riff ได้แก่ หนุ่ย—นพดล แสงบ้านเหนือ, โจ้—ชาลี สุขเจริญ และ มนต์—ณรงค์พล เกสร์ประทุม จากความฝันเล็ก ๆ ที่อยากเอาวงที่อยากดูเองมาไทย จนก้าวขึ้นมาเป็นโปรโมเตอร์ที่เชื่อมซีนดนตรีโลกเข้ากับเมืองไทย จนกลายเป็นอีกตลาดที่ศิลปินทั่วโลกไม่ควรมองข้าม

ไปทำความรู้จักพวกเขาให้มากขึ้นด้วยกัน ก่อนไปเจอกันที่งาน Homecomings Live in Bangkok พรุ่งนี้!

โจ้—ชาลี สุขเจริญ, หนุ่ย—นพดล แสงบ้านเหนือ และ มนต์—ณรงค์พล เกสร์ประทุม

โจ้: คำตอบแรกเลยคือ กินเหล้า (หัวเราะ) คือผมกับหนุ่ยทำร้านเสื้อชื่อ Area23 อยู่ด้วยกัน แล้วพี่มลก็มาเปิดร้านกาแฟอยู่ข้าง ๆ แต่ว่าจริง ๆ ทุกคนก็รู้จักกันอยู่แล้วในซีนนี้ ไป ๆ มา ๆ ก็เริ่มคุยกันเรื่องอยากดูวงนั้นวงนี้แต่ไม่มีใครเอามา พอเรามีคอนเนคชันอยู่บ้าง ก็เลยคุยกันว่า งั้นเราลองติดต่อเองไหม แล้วบางวงเขาก็ตอบตกลง มันก็เลยเริ่มขึ้นมาจากตรงนั้นเลย

มนต์: ผมก็เล่นอยู่กับวง Ugoslabier อยู่แล้ว เลยอยากหางานให้ตัวเองเล่น (หัวเราะ) เราได้รู้จักวงเมืองนอกบ้างก็เลยติดต่อชวนมาเล่น คืองานมันน้อย ก็เลยจัดงานให้ตัวเองเล่นแม่งเลย (หัวเราะ)

หนุ่ย: ผมเคยเสนอวงเหล่านี้ไปให้โปรโมเตอร์บางเจ้าดูนะ แต่ก็ไม่มีใครจับซักที ผมเลยแบบไหน ๆ เรารู้จักอยู่แล้วก็ทำกันเองเลยดีกว่า ลองคุยกับวง วงก็บอกว่า เอาดิ ลุยเลย เหมือนทุกอย่างมันเป็นใจ จังหวะมันพอดี ก็เลยได้เปิดตัวกับงาน KOKESHI Live in Bangkok

หนุ่ย: ผลตอบรับเกินคาดครับ ตอนแรกก็แอบกังวลเหมือนกัน เพราะถ้าดูตัวเลขตอนนั้นยอดฟอล IG ของเขาก็แค่พันกว่าคน ทวิตเตอร์ก็ไม่เยอะ เฟซบุ๊กก็ยิ่งไม่มีเพราะคนญี่ปุ่นไม่ค่อยใช้อยู่แล้ว ยอดวิว MV ที่ปล่อยมาก็หมื่นกว่านิด ๆ เอง ถ้าดูจากสถิติล้วน ๆ ก็คงถามว่ามันจะขายได้เหรอวะ แต่สุดท้ายคนมาดูก็ประมาณร้อยห้าสิบคน ซึ่งสำหรับงานแรกถือว่าเยอะเลย แม้มันจะไม่ได้เป็นตัวเลขที่แบบบูมมากแต่ก็ถือว่าไปได้สวย

ถ้าพูดกันตรง ๆ คือในมุมโปรโมเตอร์ บางทีคนจะเลือกวงจากตัวเลขก่อน ต้องดูสถิติ ดูยอดสตรีม ดูยอดยูทูป แต่เราใช้ฟีลล้วน ๆ ว่าเฮ้ย วงนี้มันได้ว่ะ น่าจะมีคนดูนะ คือถ้าเอาไปเสนอคนมีทุน เขาก็ไม่เอาอยู่แล้วเพราะตัวเลขมันยังไม่สวย เราก็เลยคิดว่า งั้นไม่มีใครทำก็ทำเอง ถ้าเจ๊ง ก็เจ๊งของกูเองประมาณนั้น

โจ้: มันเป็นวงญี่ปุ่นสายหนักที่ไม่ค่อยมีให้ดูในไทย เราเลยพยายามเน้นตรงนี้แหละ ในมุมที่เราเป็นคนดูเองด้วย มันเป็นประสบการณ์ที่สนุกมาก ถ้าเราเองยังสนุก คนอื่นก็น่าจะสนุกด้วย ก็เลยลุยกันต่อ

หนุ่ย: ถ้าจะบอกว่าเราโฟกัสแต่สายอันเดอร์กราวด์ก็ไม่เชิงนะ พูดกันตรง ๆ เราก็อยากทำวงที่ใหญ่ขึ้นหรือแมสกว่านี้เหมือนกัน แต่มันติดเรื่องขั้นตอนหลายอย่าง ถ้าเป็นวงอันเดอร์กราวนด์ มันง่ายตรงที่มึงมาคุยกับกูเลย ก็จบ แต่พอเป็นวงที่ใหญ่ขึ้นหรือมีค่าตัวระดับหนึ่ง มันจะเริ่มต้องคุยผ่านผู้จัดการ ผ่านค่าย มีกระบวนการที่ซับซ้อนขึ้น (โจ้: เขาก็จะเช็กแบ็กกราวด์เราเยอะด้วย) แล้วเขาก็จะดูเรื่องความน่าเชื่อถือด้วยว่าเราจัดงานมากี่งานแล้ว เคยทำอะไรบ้าง ซึ่งมันต้องเช็กเยอะมาก อีกอย่างที่สำคัญคือเรื่องเงินทุน เพราะวงที่ใหญ่ขึ้นมันต้องใช้เงินเยอะกว่ามาก ๆ เราก็ไม่ใช่คนมีทุนอะไร เราทำเพราะเราสนุก แต่ถ้ามีใครอยากลงทุนหรืออยากแชร์ความเสี่ยงกับเราจริง ๆ ก็ยินดีเลย (หัวเราะ)

หนุ่ย: ถ้าพูดจากที่ผมคลุกคลีกับศิลปินเยอะ ๆ เนี่ย ส่วนใหญ่จะมีอยู่สองแบบเลยนะ ในสเกลของวงที่ยังไม่ได้ใหญ่หรือเมนสตรีมมาก แบบแรกคือสไตล์ เออ ลุยเลย กูอยากไป แบบพร้อมออกทัวร์พร้อมมาเมืองนอกทันที อันนี้มีเยอะเลย อีกแบบคือฝั่งที่กังวล ไม่ใช่แค่เรื่องเงินหรือขายบัตรนะ แต่เป็นเรื่องภาพลักษณ์ด้วย เช่น แบบไปแล้วจะมีคนดูมั้ย ถ้าเกิดคนดูน้อยเดี๋ยวภาพออกมาไม่ดี เขาก็เฟลได้เหมือนกัน

วงใหญ่ ๆ ก็เป็นนะ ถ้าสังเกตดี ๆ เขามักจะทดลองตลาดก่อน มาเล่นเฟสติวัลใหญ่ ๆ อย่าง Summer Sonic ก่อนที่จะทำคอนเสิร์ตเดี่ยว มันเหมือนเช็กฟีดแบ็กก่อน เพราะส่วนใหญ่ศิลปินที่เราพามา เขาไม่เคยออกนอกประเทศมาก่อนเลย เกือบทุกวงนี่คือการเล่นต่างประเทศครั้งแรก อย่าง AprilBlue ก็ครั้งแรก Vision of Fatima ก็ครั้งแรก พวกเขาไม่เคยไปประเทศไหนมาก่อน เลยยิ่งกังวลว่ามันจะมีคนดูไหม

เหมือนในบทสัมภาษณ์ของ AprilBlue ก็พูดไว้เลยว่า เขาคิดว่าจะมีแค่ไม่กี่คนมาดูแต่สุดท้ายคนมาเป็นร้อย เขาก็รู้สึกดีใจมาก ก็เลยเห็นได้ว่าศิลปินเองก็มีความกังวลเรื่องนี้เหมือนกัน

โจ้: แล้ววงพวกนี้ก็จะรู้จักกันหมด พอเขาได้ลองมาแล้วเขาก็จะบอกต่อ ๆ กันว่า เฮ้ย ไปเมืองไทยมีคนดูเว้ย

หนุ่ย: อย่างพี่มนต์เองเขาก็เล่นดนตรีอยู่แล้วก็เลยมีเพื่อนในแวดวงดนตรีญี่ปุ่นหลายวง พอเราทำงานด้วยกัน เขาก็แนะนำปากต่อปากให้เพื่อนวงอื่น ๆ ต่ออีก

หนุ่ย: ถ้างานที่พอจะมีคนมาหลักร้อยขึ้นไป ส่วนใหญ่ต้องเป็นซีนอินดี้ แต่ถ้าเป็นสเกลเมทัลหรือฮาร์ดคอร์ผมว่ายังน้อยอยู่ ซึ่งแม้แต่ฝั่งอเมริกาหรือยุโรปมาคนดูก็ยังไม่เยอะอยู่แล้ว พอเป็นศิลปินญี่ปุ่น แนวนี้คนฟังมันยิ่งน้อยลงไปอีก คนที่ตามฟังจริง ๆ มีไม่เยอะ ส่วนใหญ่คนไทยจะเลือกไปฟังวงจากยุโรปหรืออเมริกามากกว่า แต่ถ้าเป็นสายอินดี้ ผมว่ามันยังพอขายบัตรได้อยู่

โจ้: อย่างวงใหม่ ๆ แบบ Cephalo คนก็มาดูเยอะกว่าที่คาดเหมือนกัน (หนุ่ย: วงนี้ก็ไม่เคยออกนอกประเทศเหมือนกัน)

โจ้: เท่าที่เห็นคือ ทุกคนดูตัวใครตัวมันอยู่กับเพลย์ลิสต์ของตัวเองมาก แต่ก็จะมีกลุ่ม Facebook อย่าง Japanese Music Community ที่คนมาคุยกันเยอะที่สุด เราก็ใช้ตรงนั้นแหละเป็นที่เช็ก feedback กันบ่อย ๆ

หนุ่ย: ต่อให้คนคุยกันเยอะเวลาวงใหญ่ ๆ มา แต่พอเป็นซีนอันเดอร์กราวนด์หรืออินดี้ลงมาคนก็จะพูดถึงกันน้อยลงเหมือนเดิม ผมเลยรู้สึกว่าด้วยราคาบัตรที่เราตั้ง มันคือการชวนคนมาลองมากกว่า เราไม่ได้อยากขายแพง เราอยากให้คนกล้ามาดู เขาอาจจะพบว่าเฮ้ย วงนี้แม่งดีว่ะ เพราะวงที่ผมเลือกมันไม่ใช่วงที่อยู่ตามหน้าสื่อเยอะหรือมีชื่อเสียงขนาดนั้น ก็เลยตั้งราคาให้จับต้องได้ อยากให้คนได้ลองฟังจริง ๆ เราทำเพราะแพชชั่นก็เลยอยากให้คนที่มาดูรู้สึกเหมือนที่เราที่แบบ ได้ฟังแล้วรู้สึกว่าโคตรเจ๋งเลยว่ะ

มนต์: แล้วมันมีอีกกลุ่มหนึ่งนะ คือคนที่ไม่สนว่าศิลปินจะดังแค่ไหน แต่เป็นกลุ่มที่เชื่อในแบรนด์ของเราหรือเชื่อในวงที่เราเลือกมา บางคนเจอในงานก็ถามว่าดูด้วยหรอ รู้จักวงนี้ด้วยหรอ เขาก็บอกว่าไม่รู้จักหรอก แต่พวกมึงเอามาก็เชื่อว่ามันต้องดี อะ มึงเสี่ยงกูก็เสี่ยงไปด้วย (หัวเราะ)

หนุ่ย: ส่วนใหญ่จะเป็นผม

โจ้: หนุ่ยเลือกวงญี่ปุ่นเพราะคุยง่าย บินใกล้

มนต์: ส่วนใหญ่ศิลปินญี่ปุ่นที่เอามา ผมไม่เคยฟังมาก่อนเลยนะ หนุ่ยก็จะบอกให้ลองฟัง อย่าง Vision of Fatima ผมก็รู้จักครั้งแรกจากหนุ่ยนี่แหละ ฟังปุ๊บก็บอกเลยว่า เออ เอามา มันเหมือนเราได้ฟังจากอีกหูหนึ่ง เพราะเวลาเป็นหนุ่ยมาเล่าว่าวงนี้มันมีตรงนี้น่าสนใจนะ เราก็จะรู้สึกว่ามันมีอะไรดึงดูดอยู่ตลอด ซึ่งก็คือผมเชื่อในเทสต์ของหนุ่ยระดับนึงเลย บางวงอย่าง Cephalo หรือ April Blue แรก ๆ ผมก็งง ใครวะ ไม่เคยฟังเหมือนกัน แต่พอเปิดในร้านแล้วลองนั่งฟังจริง ๆ ก็เออ มันน่าสนใจนะ

โจ้: หลังบ้านมีคุยกับวงประเทศเพื่อนบ้านเรื่อย ๆ แต่ไม่มีจังหวะเอามาเท่าไหร่

หนุ่ย: ผมมองว่าศิลปินจากญี่ปุ่น หรือแม้แต่ยุโรปอเมริกาเนี่ย ไม่ต้องพูดถึงเลย แต่สำหรับญี่ปุ่นในมุมของคนไทย มันไม่ใช่แค่เรื่องระยะทางนะ มันคือเรื่องวัฒนธรรมด้วย ญี่ปุ่นมันอยู่ใกล้เรามากในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่อาหาร ขนม ร้านค้า ภาพจำทุกอย่างมันเข้าถึงง่ายกว่า เหมือนเราโตมาเห็นมันอยู่รอบตัว แต่พอเป็นอินโด มาเลย์ หรือเพื่อนบ้านใน Southeast Asia กลับหายากกว่าอาหารญี่ปุ่นอีก พอเป็นวงดนตรีก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่

ผมเลยรู้สึกว่า คนมันอินกับญี่ปุ่นเพราะมีความคุ้นเคยบางอย่าง ไม่ใช่แค่เรื่องดนตรี แม้แต่หนัง ซีรีส์ หรือสื่อบันเทิง มันก็เข้าถึงง่ายกว่า
แต่ของเพื่อนบ้านเรา คนไทยไม่ได้รู้สึกผูกพันในระดับเดียวกัน มันเลยยากที่จะเชื่อมต่อหรืออินได้เท่า

มนต์: มันก็ต้องยอมรับว่าพอเป็นวงจาก Southeast Asia คนจะรู้จักน้อยกว่า แล้วเวลาเขามา ถ้ามาแบบเดี่ยว ๆ บางทีก็เหนื่อยเหมือนกัน เลยจะมีบางครั้งที่เราแนะนำให้มาเล่นเปิดให้วงใหญ่ ๆ ก่อน เพื่อให้คนได้เห็นง่ายขึ้น ซึ่งมันก็ช่วยเขาได้เหมือนกัน แล้วในทางกลับกัน เราเองก็พอได้สปอนเซอร์ระดับนึงจากตรงนี้ด้วย

จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผมเคยไปเล่นรอบ Southeast Asia นะ ผมว่ามีหลายวงที่น่าสนใจมาก ๆ เลย แต่ปัญหาคือการเข้าถึงยังยาก ช่องทางมันน้อย อย่างญี่ปุ่นมันจะมีคอมมูนิตี้ มีกลุ่ม มีเพจ มีคนคอยตามเยอะ แต่วงจากอินโดนีเซีย มาเลเซีย หรือประเทศเพื่อนบ้านเรา ผมแทบไม่เคยเห็นกลุ่มหรือแฟนเพจที่ตามเขาแบบจริงจังเลย ผมว่ามันก็เพราะว่าคนส่วนใหญ่มักจะตามประเทศใหญ่ก่อน แล้วก็เลยลืมมองเพื่อนบ้านตัวเอง ทั้งที่จริง ๆ วงดี ๆ ในภูมิภาคนี้เยอะมาก ผมเองก็พอรู้จักวงอยู่บ้างนะ แต่เวลาจะเอาเข้ามา เราก็กลัวว่าเขาจะเฟล หรือบางวงเองพอจะมา ก็อาจไม่พร้อมเรื่องค่าใช้จ่ายหรือสเกลงานด้วย

โจ้: อ๋อ เอกสารฮะ สิ่งแรกที่รู้สึกว่าท้าทายคือการทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งตอนแรกมันไม่ชัดเลย แต่ตอนนี้มันเริ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว เราไม่ได้รู้สึกว่าเรากำลังเดามั่วเหมือนช่วงแรก ๆ เพราะเรารู้จักลูกค้ามากขึ้น เพราะงั้น ส่วนที่ท้าทายที่สุดตอนนี้เลยกลายเป็นเรื่องเอกสารแทน

มนต์: อย่างตัวผมเองก็เหมือนกระโดดมาเป็นโปรโมเตอร์แบบเต็มตัว พอได้อยู่ฝั่งนี้ เราจะเห็นอีกมุมหนึ่งที่ไม่เหมือนตอนเป็นคนดู ค่อย ๆ เก็บประสบการณ์ไปเรื่อย ๆ จนเริ่มคล่องขึ้น ทีละงาน ๆ แต่ถ้าพูดแบบตรง ๆ ปัจจัยหลักจริง ๆ ก็คือเรื่องเงินนี่แหละครับ (หัวเราะ)

หนุ่ย: จะหาเงินจากไหนมาจัดงานต่อไปนะ (หัวเราะ)

โจ้: ศิลปินญี่ปุ่นหลายวงที่เราเจอคือคุยง่ายมาก แบบชิล ๆ เลย ไม่ได้ต้องระวังคำพูดหรือเกร็งตลอดเวลา ทำตัวสบาย ๆ เยอะเหมือนกัน ซึ่งผมเองก็เพิ่งเคยเจอเยอะขนาดนี้ บางวงนี่คือเมาพับแล้ววันรุ่งขึ้นก็ตื่นขึ้นมาเล่นได้เฉย

หนุ่ย: ภาพจำของคนไทยต่อศิลปินญี่ปุ่นคือจะต้องเป๊ะ ตรงเวลา เนี้ยบตลอด แต่พอมาเจอจริง ๆ หลายวงคือชิลมากนะ ไม่ได้เครียดหรือเข้มงวดขนาดนั้น อาจจะไม่ใช่ทุกวง แต่ส่วนใหญ่เท่าที่ผมเจอคือสบาย ๆ แล้วเค้าอาจจะรู้ด้วยว่าที่ไทยมันไม่ได้เข้มแบบญี่ปุ่น เลยผ่อนคลายขึ้น อย่างเรื่องเวลา ถ้าเลทนิดหน่อยก็โอเค ไม่ได้กดดันอะไรขนาดนั้น ก็มีเคสแบบนี้เยอะเหมือนกัน แต่ก็คิดเหมือนกันว่า ถ้าเป็นสเกลงานจริงจังกว่านี้ หรือเป็นวงที่อยู่ในค่ายใหญ่ ๆ มันก็น่าจะต้องเป๊ะและเป็นทางการมากกว่านี้แน่ ๆ

หนุ่ย: ถ้าพูดแบบส่วนตัวเลยนะ วงที่ผมยังรู้สึกว่าเป็นหนี้บุญคุณมาก ๆ ก็คือ Kokeshi ผมไม่ได้แค่ประทับใจแค่เพอร์ฟอร์แมนซ์อย่างเดียว แต่คือความรู้สึกทั้งหมดที่เกิดขึ้นตอนดูสด การซื้อบัตรมาดูคอนเสิร์ตมันไม่เหมือนนั่งฟังอยู่บ้านจริง ๆ เลยนะ มันไม่ใช่แค่เล่นตรงคีย์หรือเล่นเป๊ะ แต่มันคือพลังบนเวที การลงมาเล่นกับคนดู อะไรแบบนั้น มันเป็นประสบการณ์ที่ฟังจากบ้านไม่มีทางได้ พอเห็นโชว์ของพวกเขาตรงหน้า มันเจ๋งกว่าที่คิดอีกหลายเท่า นั่นแหละ มันเป็นความรู้สึกที่เราอยากให้คนอื่นได้ลองสัมผัสเหมือนกัน

มนต์: พอจัดงานเอง กับตัววงเองก็เหมือนกลายเป็นเพื่อนเราไปด้วยเลย มีติดตามกันบนทวิตเตอร์ ไอจี อินบ็อกซ์คุยกันบ้างอะไรบ้าง เคยมีลงคลิปแล้วเขามาทักมาคุยด้วยเหมือนกัน แต่ถ้าพูดถึงอีกมุมที่ผมประทับใจมาก ๆ คือ Vision of Fatima อันนี้จะเป็นประสบการณ์ส่วนตัวมาก ๆ เลย คือเขามาอ้วกที่ร้านแล้ววันรุ่งขึ้นก็ลุกมาขอโทษแค่ห้านาทีแล้วก็ทำเหมือนเดิม (หัวเราะ) ก็ชิลดีฮะ

โจ้: เช็ดอ้วก ไม่ได้อยู่ในสัญญาด้วยนะ ส่วนงานที่ผมชอบมากจริง ๆ คือเมื่อเดือนมีนา เป็นวงไต้หวันชื่อ DHARMA คือมันประหลาดดีในทางที่น่าสนใจมาก เขาเป็นวง death metal ที่มีภิกษุณีขึ้นมาสวดบนเวทีด้วย เราก็รู้สึกเลยว่า ศิลปะมันทำได้ทุกอย่างจริง ๆ แล้วแต่จินตนาการคนสร้างเลย แล้วถ้าเราไม่ได้เป็นคนจัดเราก็คงไม่มีโอกาสได้ดูอะไรแบบนี้ อีกวงที่ชอบมากคือ AprilBlue รู้สึกว่าเขาเล่นเกินค่าบัตรไปเยอะมาก ให้พลังประมาณ 200% จริง ๆ ประทับใจมาก

โจ้: ปีนี้วงที่ผมอยากดูที่สุดคือ Mei Semones แล้วก็มีวงจากอังกฤษชื่อ Lambrini Girls เป็นดูโอ้ผู้หญิงสองคน เพลงคือด่าทุกอย่างบนโลก สนุกมาก อันนี้ก็อยากเอามาเหมือนกัน แต่ตอนนี้จังหวะยังไม่ได้เพราะเขายังไม่ทัวร์มาฝั่งนี้เลย

หนุ่ย: ถ้าเอาแบบที่พอเป็นไปได้จริง ๆ และเรามีโอกาสจับได้ ผมอยากเอาวงญี่ปุ่นสายชูเกสชื่อ Yureru wa Yurei แล้วก็มี swancry ที่เพิ่งเปลี่ยนชื่อไป สองวงนี้คือชอบมาก ๆ อีกวงที่อยากเอามาเหมือนกันคือ Regal Lily ซึ่งค่อนข้างแมสขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยากมากเหมือนกัน

มนต์:Convert ครับ ก็ยังมีอีกหลายวงจากญี่ปุ่นที่เราอยากเอามาเหมือนกัน บางวงก็เคยคุยกันไว้แล้วบ้าง แต่ก็ยังต้องรอโอกาสอยู่

หนุ่ย: เราไม่เคยคุยกันแบบจริงจังเลยนะ เราทำ Razor Riff ด้วยแพชชั่นล้วน ๆ ทำเพราะสนุก แล้วก็เลือกวงที่เราอยากดูเองตั้งแต่แรก ไม่ได้ตั้งใจว่าจัดคอนเสิร์ตแล้วจะได้กำไรอะไรอยู่แล้ว แต่ลึก ๆ แล้วเราก็ยังอยากได้วงที่ใหญ่ขึ้นนะ ถ้าวันหนึ่งเรามีเงินทุนมากพอ เราก็อยากดูวงใหญ่เหมือนกันแหละ แต่ตอนนี้ก็เริ่มจากเล็กก่อน

โจ้: อยากสนุก อยากดูก็เอามา ส่วนเรื่องเครียด ๆ ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนอื่นไป (หัวเราะ) คือมันไม่ใช่งานหลักที่เราทำเพื่อเอาตัวรอด เลยยังมีพื้นที่ให้เราสนุกกับมันได้ ก็เลยไม่ได้ตั้งโกล์ใหญ่ ๆ ว่าต้องไปถึงขั้นไหนภายในเมื่อไหร่ แค่ทำไปเรื่อย ๆ เท่าที่ไหวและเท่าที่พร้อม เหมือน Sandbox มากกว่า มีที่ให้ลองนู่นลองนี่ ถ้ามันไปได้ก็ไปต่อ แต่ถ้าอีกสัก 5 ปีแล้วมันโตขึ้น เดี๋ยวตอนนั้นค่อยมาถามใหม่ ก็ตอบไม่เหมือนเดิมแน่ ๆ

มนต์: เรายังไม่ได้มองว่าต้องดันตัวเองขึ้นไปข้างบนให้สุดอะไรแบบนั้นนะ ยังไม่มีธงใหญ่ ๆ ที่ต้องพิชิต เราเน้นเอามันก่อนเป็นหลัก เรื่องเครียด ๆ ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตัวงานหรือคนที่ต้องจัดการ ส่วนผมก็โฟกัสเฉพาะหน้างานเท่าที่เราควบคุมได้ก็พอ

โจ้: แล้วแต่วงแล้วแต่งานเลยครับ เราเคยจัดงานวงเมทัลจากเดนมาร์กชื่อ Artillery เขาเล่นกันมา 40 กว่าปีแล้ว คนดูก็ไม่มีวัยรุ่นเลย ไม่มีวัยกลางคนด้วย แทบจะมีแต่รุ่นใหญ่ล้วน ๆ แต่พอเป็นอีกงานฝั่งเจป๊อป Mahiru คนดูกลายเป็นวัยรุ่นหมดเลย ก็คนละกลุ่มกันชัดมาก

ผมก็นึกถึงตัวเองตอนเป็นวัยรุ่นเหมือนกันนะ คือถ้าไม่ได้มีเพื่อนชวนหรือไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่ฟังเพลงเหมือนกัน ก็จะอยู่ในมุมเล็ก ๆ ของตัวเอง แล้วมันก็ไม่ได้มีใครพาออกไปดูโชว์อะไรแบบนี้ เลยเข้าใจว่าทำไมเด็กวัยรุ่นถึงไม่ค่อยโผล่มาตามงานแนวนี้เท่าไหร่ มันเลยดูเหมือนมีน้อย

หนุ่ย: ตอนนี้มันก็มีหลายปัจจัยนะ ทั้งเรื่องรสนิยมการฟัง แล้วก็เรื่องค่าบัตร ที่บางทีเขาอาจจะยังไม่พร้อม เพราะพอเป็นวงที่เริ่มมีชื่อขึ้นมาหน่อย ค่าบัตรก็จะโดดขึ้นไปเป็นพัน ทำให้คนลังเลได้เหมือนกัน

หนุ่ย: วงการคอนเสิร์ตฝั่งญี่ปุ่นโดยเฉพาะสายอินดี้กับอันเดอร์กราวด์ มันต่างจากบ้านเราเยอะมาก คนไทยมักจะมองว่าญี่ปุ่นขายซีดีขาย merch ได้เยอะ ซึ่งก็จริงในภาพใหญ่ แต่สำหรับวงเล็ก ๆ มันไม่ง่ายเลยนะ เพราะจำนวนวงมันเยอะมาก แล้ว live house ก็เยอะมาก มีอีเวนต์เกือบทุกวัน แข่งขันกันโหดมาก อย่างวงที่มาจากเรานี่ เขายังบอกเลยว่าเล่นที่บ้านตัวเองคนมาดูน้อยกว่ามาเล่นที่ไทย อย่าง AprilBlue บอกว่าที่ญี่ปุ่นบางทีก็มีคนดูแค่ 3-4 หรือ 10 คน แต่พอมาไทยเป็นหลักร้อย มันต่างกันเยอะมาก และฝั่งบ้านเขาก็แทบไม่มีโปรโมเตอร์เล็ก ๆ ที่ช่วยดันให้วงพวกนี้เท่าไทย ไม่ใช่ว่าไม่มีเลย แต่มีน้อยมาก

มันเลยยังเป็นระบบแบบเมทัลสมัยก่อนคือทุกวงลงขันกัน เช่าพื้นที่ เอาบัตรขายแล้วค่อยมาหารกัน ไม่ได้มีใครมารับความเสี่ยงแทน คนไทยอาจเข้าใจผิดว่าญี่ปุ่นงานเยอะหรือซีนญี่ปุ่นแข็งแรงกว่า มันไม่ใช่แบบนั้น งานที่นู่นส่วนใหญ่คือเขาจัดกันเองหมด ถ้าเจ๊งก็เจ๊งที่วงเอง ไม่เหมือนบ้านเราที่บางทีมีคนช่วยประคอง

ส่วนฝั่งที่เป็นเมเจอร์หรือวงใหญ่ ก็เป็นอีกโลกหนึ่งเลย ไม่เหมือนกัน และความคิดแบบสมัยก่อนที่วงเล็กต้อง “จ่ายค่าเล่น” ก็ยังมีอยู่ในบางที่นะ ก็ต้องเข้าใจว่ามันได้อะไรกลับมาด้วย เช่น โอกาสได้โชว์ ได้ PR วง ได้คนเห็นหน้าตา มันก็อาจต้องลงทุนตรงนั้นก่อนเหมือนกัน มันไม่ได้สดใสอย่างที่เรามองจากภายนอกนะ เพราะวงเจ๋ง ๆ ในญี่ปุ่นมีเยอะมาก วงอินดี้ดี ๆ ก็เยอะมาก แข่งขันกันสูงมาก แต่จำนวนคนดูก็เท่าเดิม จะให้ทุกคนซื้อตั๋วไปดูตลอดมันก็ไม่ได้ เหมือนบ้านเราเลย พองานเยอะ คนก็เลือกไปไม่ได้ทุกงาน

ผมว่ายังหนักกว่าด้วยซ้ำ เพราะถ้าอยากเล่นไลฟ์ที่ญี่ปุ่น มันไม่ใช่แค่ เฮ้ยพี่ จัดงานให้หน่อย แต่มันต้องแบ่งค่าเช่า และไม่รู้ด้วยว่าจัดงานแล้วจะคุ้มหรือเปล่า วงเล็ก ๆ ส่วนใหญ่ก็ยังทำวงเป็นงานอดิเรก ทุกคนก็มีงานประจำกันหมด

อย่างวง Cepharo ตอนนั้นก็ไม่เคยออกนอกประเทศเลย ผมไปคุยกับผู้จัดการเขา ซึ่งเป็นคนเดียวกับของ Mass of the Fermenting Dregs เค้าปั้นจนวงได้ไปทัวร์ยุโรป-อเมริกาแล้ว ก็เลยมีคอนเนคชันที่ไต้หวันด้วย เขาเลยบอกว่าไหน ๆ จะมาไทยแล้ว ขอไปไต้หวันด้วยเลย ปรากฏว่างานที่ไต้หวัน sold out เลย ทุกคนในวงก็ตกใจมาก เพราะตอนอยู่ญี่ปุ่นเล่นทีนึงมีคนดูแค่ 3-4 คนเหมือนกัน

ผมไม่ได้มองว่าตัวเองสำคัญอะไรขนาดนั้นนะ แต่แค่รู้สึกว่า เราเหมือนเป็นคนเปิดประตูหรือเปิดโอกาสให้เขามองเห็นโลกอีกฝั่งนึงมากกว่า เพราะหลายวงคือพร้อมมามาก แต่เขาไม่รู้ว่าจะไปกับใคร ไปยังไง กลัวโดนลอยแพหรือเจอคนไม่โอเค ก็เลยยังไม่กล้าเริ่ม

หนุ่ย: การมีเวนิวเป็นของตัวเองมันสำคัญมากนะ ถ้าเราอยากแลกวงไทย–ญี่ปุ่นกันจริง ๆ การมีสถานที่ที่พร้อมจัดงานถี่ขึ้น เหมือน Blueprint ที่เขาจัดสม่ำเสมอ มันจะช่วยให้ระบบมันขยับได้ง่ายขึ้น พอมีเวนิวของตัวเอง ค่าใช้จ่ายหลายอย่างก็ถูกลง แล้วเราก็สามารถซัพพอร์ตศิลปินได้มากขึ้น ทั้งวงไทยและวงจากต่างประเทศ มันเลยทำให้งานเกิดขึ้นจริงได้ง่ายขึ้นด้วย

โจ้: จริง ๆ อยากมี Live House ของตัวเองด้วย เพราะมันไม่ใช่แค่เราใช้อยู่คนเดียว แต่คนอื่นจะได้ใช้ด้วย แต่ที่หายากมาก แล้วก็อยากทำช่อง Youtube ด้วย แต่ด้วย capacity ตอนนี้ไม่น่าพอ

โจ้: มาแล้วมีช่วงเวลาดี ๆ มาแล้วสนุก มาแล้วพอใจได้ดูวงที่อยากดู ได้เจอเพื่อนที่เป็นคอเดียวกันด้วย เพราะมันทำให้นึกถึงตอนผมไปงานเมทัลสมัยเป็นวัยรุ่นแรก ๆ เลย สมมติเราไปคนเดียวหรือไปกับเพื่อนสองคนตอนแรก แล้วก็ไปซ้ำ ๆ จนรู้จักคนมากขึ้น กลายเป็นเพื่อนกันเยอะขึ้น แล้วก็ยังคบกันมาจนทุกวันนี้ เพื่อนส่วนใหญ่ในชีวิตผมหลังอายุ 18 มาก็มาจากวงการนี้เกือบหมด เป็นคอมมูนิตี้ ได้ทำคอนเสิร์ตพวกนี้ เราเลยอยากให้มันเป็นพื้นที่ที่คนมาแล้ว นอกจากจะได้ดูวงโปรดก็ได้เพื่อนเพิ่ม ไม่เหงา

หนุ่ย: ผมก็อยากให้คนจดจำว่า เรากล้าเอาวงแปลก ๆ หรือวงที่ยังไม่ได้ดังมาก มาให้คนได้ลองฟังลองดู และได้ประสบการณ์แบบไม่เหมือนใครไปจาก Razor Riff (โจ้: มีสวดมนต์แล้ว มีไมค์โขกหัวแล้ว เอาอะไรอีกล่ะ)

มนต์: อยากมี Festival มันไม่จำเป็นต้องเป็นเมทัลหรืออะไรอย่างเดียว เพราะทุกวันนี้ผมก็ฟังเพลงหลายแนว ก็อยากให้มารวมอยู่ด้วยกัน ให้เป็น Freak Show Festival ไปเลย (หัวเราะ) ถ้าเราสามารถเชื่อมฝั่งญี่ปุ่นได้ หรือแม้แต่ใน Southeast Asia เอง มันก็จะกลายเป็นคอมมูนิตี้ระดับหนึ่ง เป็นการเชื่อมกันเองระหว่างวงกับวง คนกับคน ผมว่าถ้ามันทำได้จริง ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้เลย

สมัยก่อนงานดนตรีเล็ก ๆ ก็ยังมีเมทัล ป๊อป หรืออะไรก็ตามเล่นอยู่ในงานเดียวกันได้ เล่นกินเวลากันบ้างนิดหน่อย แต่ก็อยู่ด้วยกันได้ ทุกวันนี้มันถูกแยกกันเยอะเกินไป จนรู้สึกว่าเส้นแบ่งมันชัดมาก ทั้งที่จริง ๆ เราอยู่ใกล้กันกว่าที่คิด โดยเฉพาะพลังงานของวงกับคนดู ผมเลยอยากเห็นงานที่มันดึงหลายประเทศ หลายซีนมาเจอกันได้ ถ้ามันเกิดขึ้นได้ มันจะเป็นช่องทางเชื่อมกันจริง ๆ แล้วก็ทำให้ Southeast Asia เข้าถึงกันง่ายขึ้น เพราะตอนนี้การเข้าถึงในแต่ละเมืองมันยากมาก ยิ่งถ้ารัฐบาลสนับสนุนนะครับ

มนต์: เรื่องเศรษฐกิจเลยที่อยากให้กลับมาแก้ก่อน อย่างที่บอกว่าพอมันเป็นเรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์ ซึ่งคนจะตัดออกก่อนเสมอเวลาปากท้องลำบาก ไม่ได้ดูคอนเสิร์ตไม่ตาย แต่ถ้าไม่ได้กินข้าวกูตายแน่นอน แต่ถ้าอนาคตมีรัฐช่วยสนับสนุนได้ แบบไต้หวันที่รัฐบาลมีเงินช่วยอุตสาหกรรมดนตรี มีงบสนับสนุนโปรโมเตอร์ หรือให้เข้าร่วมโครงการเพื่อดึงเงินทุนมาทำงานต่อได้ มันก็จะช่วยให้ภาพรวมเดินได้ง่ายขึ้นเยอะ

หนุ่ย: สำหรับในไทย ผมรู้สึกว่ามันก็มีงบสนับสนุนอยู่แหละ อย่างจาก สสส. หรือ ททท. แต่พอเป็นงบแบบนั้นมันก็จะมีเงื่อนไขเยอะ แล้วส่วนใหญ่เขาจะสนับสนุนแต่งานใหญ่เท่านั้น

งานสเกลแบบที่ผมทำมันเลยอยู่ไกลจากรัฐมาก เพราะสุดท้ายไม่ว่าจะรัฐหรือเอกชน เขาก็ดูตัวเลขก่อน ว่ามีคนมากี่คน ผลลัพธ์เชิงตัวเลขเป็นยังไง งานผมมีคนมาร้อยคน โอเค ไปต่อคิวทีหลังเลย (หัวเราะ) มันก็วนกลับไปที่เรื่องเดิม ฝั่งเอกชนอาจจะดีกว่าหน่อย เพราะอย่างน้อยยังมีโอกาสได้ซัพพอร์ตเรื่องเครื่องดื่มหรือผลิตภัณฑ์อะไรแบบนี้ แล้วเราค่อยเอามาแปรเป็นงบหมุนงานต่อไปได้ แต่ถ้าเป็นฝั่งรัฐ ผมรู้สึกว่าไกลจากสเกลที่เราทำเยอะมาก

ถ้าเป็นงานใหญ่แบบ Summer Sonic หรือแนวเฟสติวัลระดับนั้น อันนั้นเข้าใจได้ว่ารัฐสนับสนุนแน่ ๆ แต่พอเป็นงานเล็ก ๆ ผมว่ามันยากมาก เขาอาจจะมีโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมก็จริง แต่มันไม่ได้รีเลตกับดนตรีอินดี้เท่าไหร่ มันจะไปอยู่ฝั่งที่เป็นมรดกวัฒนธรรมมากกว่า เช่น ถ้าเป็นญี่ปุ่นก็อาจจะสนับสนุนคาบูกิ หรือศิลปะแบบดั้งเดิมอะไรแบบนั้น แต่พอดนตรียุคใหม่หรืออินดี้ มันเลยยังไกลจากรัฐมาก ๆ

ถ้าถามว่ารัฐควรทำอะไรตอนนี้เลย สำหรับสเกลงานแบบผม พูดตรง ๆ คือผมนึกไม่ออกนะ เพราะงานแบบเราเป็น DIY ทำเพราะแพชชั่น ไม่ได้มีตัวเลขไปยื่นสวย ๆ ให้เขาดู สุดท้ายรัฐก็ต้องถามว่าแล้วเค้าได้อะไรกลับไป เว้นเสียแต่ว่าถ้าเขามีโครงการแบบให้เข้าถึงง่าย ๆ เช่น PR หรือประชาสัมพันธ์เต็มที่ เปิดพื้นที่ให้ใครก็ได้มาลองจัด อันนั้นคนคงเข้ามาเยอะมาก แต่ถ้าไม่คัดกรอง มันก็อาจเละเทะได้เหมือนกัน

เพราะฉะนั้นในมุมผม ถ้าถามตอนนี้เลยว่ารัฐช่วยอะไรได้ทันที ผมตอบไม่ได้จริง ๆ

มนต์: จริง ๆ แล้วก็ให้เขากลับไปทํางานของเขาให้ดีที่สุดแหละ คือเรื่องเศรษฐกิจ

โจ้: ทำเลย ทำแล้วเจ๊งยังดีกว่าไม่ได้ทำ เพราะพอมาถึงวัยประมาณนี้ความรู้สึกเสียดายมันมีผลกระทบกับชีวิตกว่าทำแล้วล้มเหลวอีก ทำเลย แต่ต้องเผื่อใจไว้ด้วย แล้วก็ดูบัญชีดี ๆ หาตังค์ให้พร้อม ผมเชียร์ให้คนที่อยากจัดงานลุกขึ้นมาทำ เพราะมันส่งผลกับทุกคนรอบ ๆ ด้วย คนดูก็ได้ดู วงก็มีที่เล่น แล้วมันยังช่วยขยับธุรกิจโดยรวมอีกหน่อย ถึงงานเล็ก ๆ มันก็กระตุ้นซีนได้ ถ้าไม่มีทุนก็รวมตัวกับเพื่อน ๆ มาทำด้วยกัน ขอแค่ดูบัญชีดี ๆ แค่นั้น

มนต์: อยากตอบแบบยังกูอะ “มึงอย่าเดินตามกู เดินไปตามความฝันไป” (หัวเราะ)

หนุ่ย: ผมรู้สึกว่าคอนเสิร์ตไม่ว่าจะสเกลเล็กหรือสเกลใหญ่ มันก็มีผลต่อเศรษฐกิจเหมือนกันนะ มันไม่ใช่แค่ซื้อบัตรจบแล้วจ่ายเงินให้ผู้จัดอย่างเดียว ถ้าคนมาจากต่างจังหวัด โรงแรมแถว ๆ สถานที่ก็ได้ประโยชน์ ร้านอาหารก็ได้ คนทำเสื้อ โรงงานที่ผลิตริชแบนด์หรือโปสเตอร์ก็ได้ คนทำบัตรแข็งก็ได้ มันกระจายรายได้ออกไปหมด ถ้ามีการสนับสนุนให้ระบบแบบนี้มันเกิดต่อเนื่อง แล้วงานมันประสบความสำเร็จยาว ๆ มันก็น่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่มากก็น้อย

โจ้: ตอนนี้มีสามงาน มี Homecomings Live in Bangkok มี Pami ด้วยที่ Melt Live House 25 ตุลาคม ถัดมาอีกเสาร์หนึ่ง 1 พฤศจิกายน Beachside Talks Live In Bangkok งานนี้ร่วมจัดกับ Bantadthong Artspace มีพี่ NUMAN, Burtu, และ srwks. มาเปิด แล้วอีกงานหนึ่งข้ามไป 7 กุมภาพันธ์ Moon in June Live in Bangkok

หนุ่ย: จริง ๆ มันใกล้กันหมด แทบจะเรียกรวม ๆ ว่าเป็นวงอินดี้เหมือนกันเลยก็ได้ Homecomings ก็ภาษีดีหน่อย เพราะเขาค่อนข้างใหญ่กว่า มีเพลงประกอบอนิเมะ ประกอบหนัง คนเลยรู้จักวงนี้มากกว่า ส่วน Beachside Talks เป็นสาย shoegaze/dream pop ที่ผมรู้สึกว่าคอมมูนิตี้ต่างชาติพูดถึงเยอะมาก แต่ในไทยอาจจะยังไม่ได้ดังเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับวงที่เคยเอามาแล้วก่อนหน้านี้ แต่เพลงเขาดีมากจริง ๆ ถ้าลองฟัง หรือไปอ่านรีวิวจากเมืองนอกจะเห็นเลยว่าอัลบั้ม Hokorobi ของเขาเจ๋งมาก ผมอยากให้ลองฟังก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าซื้อบัตรไหมก็ยังได้

ส่วน Moon In June ถ้าใครตามซีน shoegaze, dreampop อินดี้ญี่ปุ่นมาหลายปี ก็น่าจะคุ้นชื่อกันดีอยู่แล้ว เป็นอีกวงที่คนอยากดูพอ ๆ กับ AprilBlue ที่เคยมา เพราะโทนมันอยู่ใกล้กันมาก ถ้าชอบ AprilBlue ยังไงก็น่าจะชอบ Moon In June เหมือนกัน

โจ้: ก็มาพักผ่อนกันครับ ถ้าเจอวงที่ชอบก็มาดูได้ ถ้าอยากใช้เวลาดี ๆ กับวงที่ยังไม่เคยฟังก็มาลองได้เหมือนกัน เพราะเราก็พยายามตั้งราคาบัตรให้ไม่แพง จะได้ลองเข้ามาดูได้ง่าย ๆ มาดูวงเจ๋ง ๆ ที่ชาวบ้านเขาไม่เอามา

หนุ่ย: ผมไม่ได้โทษคนที่ไม่ซื้อนะครับ เพราะเรานั่นแหละเป็นคนเลือกวงมา ถ้าไม่ถูกใจก็เหมือนเวลาเจอเมนูอาหารที่เราไม่กิน ก็ไปเลือกจานอื่น ไปดูงานอื่นได้เหมือนกัน แล้วเราก็ไม่ได้สโคปตัวเองว่าเป็นแต่เมทัลหรือเป็นแค่วงญี่ปุ่นอย่างเดียว เรายังจัดงานไต้หวัน เดนมาร์ก ก็เคยทำมาแล้ว แต่ที่ญี่ปุ่นเยอะหน่อย เพราะต้นทุนมันไม่เยอะ

หลายครั้งมันเป็นเรื่องจังหวะด้วย อย่างโจ้ชอบ Mei Semones ก็ลองติดต่อไป แต่บางทีจังหวะมันไม่ได้เลยยังไม่ได้มา เราพยายามคุยกับหลายประเทศมาตลอด ทั้งฝั่งเมกา เราก็คุยอยู่ตลอด แค่บางงานมันยังไม่ลงตัว ยังไงลองมางานของเราดูก่อนนะครับ


ติดตามความเคลื่อนไหวของ RAZOR RIFF ได้ที่ Website, Facebook, Instagram และ X

+ posts

ชอบไปคอนเสิร์ตเพราะเป็นกิจกรรมที่ทำคนเดียวได้ และยังชอบแนะนำวงดนตรีใหม่ ๆ ผ่านตัวอักษรตลอดเวลา

Related Articles

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy