A BOY IN RED x KOMBO สองเพื่อนซี้ที่ไม่ได้มองว่าดนตรีมีแค่เสียง แต่ “วิชวล” และ “ไลท์ติ้ง” คืออีกสิ่งที่ช่วยพาโชว์ของศิลปินให้สนุกขึ้นไปอีกหนึ่งสเต็ป

by Nattha.C
69 views
A BOY IN RED x KOMBO
  • ทำความรู้จัก A BOY IN RED x KOMBO สองเพื่อนซี้ผู้อยู่เบื้องหลังภาพวิชวลและสเตจไลท์ติ้งในเกือบทุก ๆ งานของวงดนตรี FORD TRIO และศิลปินอื่น ๆ

ในทุก ๆ คอนเสิร์ต และในทุก ๆ หนึ่งโชว์ของศิลปิน สำหรับบางคนอาจจะมองว่าการมี “เสียงดนตรี” ที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากตัวศิลปินหรือวงดนตรีก็คงเพียงพอแล้ว แต่เบื้องหลังของการที่ศิลปินจะมีโชว์ดี ๆ ได้นั้น เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า บรรยากาศ พื้นที่ ผู้คน ไปจนถึง “วิชวล” และ “สเตจไลท์ติ้ง” ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้ประสบการณ์ในการชมคอนเสิร์ตหรือภาพตรงหน้านั้นกลายเป็นที่ประทับใจ

เมื่อช่วงปีที่ผ่านมา เราได้เริ่มกลับไปดูคอนเสิร์ตของ FORD TRIO อยู่บ่อย ๆ พวกเขาเทิร์นโชว์ของตัวเองให้กลายเป็นประสบการณ์ที่ครบรสขึ้นไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ Maho Rasop 2023 ที่พาแดนซ์เซอร์มาเต้นโจ๊ะถึงหน้าเวที จนมาถึงอีพีชุดล่าสุดอย่าง ‘YANT’ พวกเขาก็ได้แต่งตั้งทีม PLUK-SEK SERVICE ขึ้นมา โดยกระทำการปลุกเสกผู้ชมด้วยพิธีกรรมสุดขลัง แบบมีลูกสมุนมาร่ายรำและโปรยดอกไม้เป็นสิริมงคลให้เหล่าลูกไก่

จุดเริ่มต้นในสายงาน Visual Design & Motion Graphic และ Stage & Lighting Design ทำไมถึงอยากมาทำงานสายนี้?

A BOY IN RED: จริง ๆ เราเป็นคนที่ชอบฟังเพลงกับดูคอนเสิร์ตตั้งแต่เด็กแล้ว เมื่อก่อนชอบดูพวก Lyrics Video ของวงดนตรีต่างประเทศแล้วเกิดอยากทำได้ เลยลองศึกษาแบบงู ๆ ปลา ๆ ผ่านการทำบนคอมง่อย ๆ ตั้งแต่สมัยมัธยม แล้วช่วงที่เข้ามหา’ลัย เราก็ได้มีโอกาสรู้จักกับแก๊งค์ดุริยางค์ศิลปากรผ่านเจมส์ (FTO) ที่เป็นเพื่อนเราตั้งแต่มัธยม

พอแก๊งนั้นจัดคอนเสิร์ตกัน เจมส์กับเพื่อน ๆ ก็เลยลองชวนมาทำงานคอนเสิร์ตเล็ก ๆ ที่มี Installation Art กับ Visual จนเริ่มรู้สึกชอบที่มันได้ทดลองฟอร์แมตใหม่ ๆ ที่เกี่ยวกับดนตรี โดยที่ไม่จำเป็นต้องเล่นดนตรีก็ได้ หลังจากนั้นก็ทำมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ตอนนั้นมาจนถึงตอนนี้

KOMBO: อย่างเราก็เป็นหนึ่งในคนที่ชอบดูคอนเสิร์ตมาก ๆ ซึ่งก็ไปกับจ้าวนี่แหละ แต่ตอนนั้นไม่ไดัคิดว่าตัวเองชอบพาร์ทของการดีไซน์ไฟ เราแค่อยากไปดูศิลปินที่เราชอบ จนตอนมัธยมเราก็ได้มีโอกาสออกแบบเวที และคุมบอร์ดไฟของงานแฟชั่นโชว์ของรุ่น ตอนนั้นยังแค่ดีไซน์ภาพของ Scene ที่อยากได้ และดัน Fader ของบอร์ดไฟที่น้าไฟทำไว้แล้วให้ตรงจังหวะเพลง

ตอนนั้นยังไม่ค่อยเข้าใจว่าสิ่งนี้ต้องทำยังไง แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราเริ่มสนใจพาร์ทไฟในคอนเสิร์ตขึ้นมา แต่งานที่ได้เริ่มมาจับสายนี้จริงจังคือช่วงมหา’ลัย คืองาน Live Session ของ Varis ที่ได้มาเริ่มออกแบบไฟแบบจริงจังครั้งแรก ซึ่งก็เป็นจ้าวนี่แหละชวนมา หลังจากนั้นก็มีโอกาสได้ไปจอยงานร่วมกับแก๊งค์ดุริยางค์ต่อมาอีกหลายงาน จนมีคนเห็นและพยายามต่อยอดมาจนถึงทุกวันนี้ครับ

A BOY IN RED x KOMBO

ย้อนกลับไปสมัยเรียนมหาวิทยาลัย แต่ละคนได้เรียนคณะและสาขาที่ใกล้เคียงมาหรือเปล่า? จำเป็นไหมที่ต้องเรียนตรงด้านนี้เฉพาะ? หรือมีคำแนะนำอะไรให้คนที่อยากเริ่มลองทำไหม?

A BOY IN RED: ส่วนตัวเราจบ CommDe (Communication Design) จากจุฬามา มันคือออกแบบนิเทศน์ศิลป์ที่แต่ละหลักสูตรมันจะไม่ได้อยู่แค่การออกแบบกราฟฟิก แต่จะได้ทำพวกงานโมชั่นกราฟฟิค ถ่ายหนัง ทำศิลปะจัดวางร่วมด้วย เพราะมันค่อนกว้างมาก ๆ โดยแต่ละอย่างก็จะได้ทำอยู่แค่ไม่กี่เทอม เราเลยคิดว่าอาจจะไม่ได้จำเป็นที่จะต้องเข้ามหา’ลัยเพื่อเรียนด้านนี้โดยตรง แค่อาจจะต้องเข้าใจเพลง เข้าใจบรรยากาศหรืออารมณ์ของเพลง หรือมีความสนใจที่จะตีความเพลงที่ฟังออกมาเป็นภาพ เราว่าแค่นี้ก็น่าจะพอเริ่มทดลองทำได้แล้ว

ส่วนพวกเรื่อง Technical ในปัจจุบันเรามองว่าเรียนจากยูทูปยังได้เลย (เพราะเราก็เรียนจากยูทูปเหมือนกัน) ถ้าใครอยากเริ่มจริง ๆ เราว่าโอกาสมันมีค่อนข้างเยอะ อาจจะไม่จำเป็นต้องรอให้งานจริง ๆ เข้ามา เช่น เริ่มจากทำลงโซเชียลมีเดียตามเพลงที่ชอบ หรือลองเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในวงการที่เขาทำงานสายนี้กัน ไม่ว่าจะจากฝึกงาน หรือลองทำงานให้คนใกล้ตัว เดี๋ยวคนก็เห็นเองครับ

KOMBO: จะว่าใกล้ก็ใกล้ครับ เพราะเราเรียนสถาปัตยกรรมภายใน สจล. (สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง) โดยสิ่งที่ได้มาคือการออกแบบ Space และแนวความคิดต่าง ๆ เวลาต้องการทำอะไรสักหนึ่งอย่าง มันจะต้องมีเหตุผลและที่มาเสมอ รวมถึงเรื่องคู่สี และวัสดุที่ใช้ ซึ่งจะช่วยเราได้มาก ๆ ในงานออกแบบ 

ส่วนตัวมองว่ายังไม่ค่อยมีหลักสูตรที่เรียนสิ่งนี้โดยเฉพาะมากนักในไทย แต่ก็อยากให้ลองเอาตัวเองไปอยู่ในซีนดู อาจจะจากการฝึกงาน หรือทดลองเล็ก ๆ กับเพื่อน โดยเริ่มจากดูยูทูปก่อนว่าเบื้องหลังการทำงานเป็นยังไง สำหรับเราการได้ลอง Operate หรือ Design สักหนึ่งงาน มันสามารถตอบอะไรหลายอย่างได้ เพราะจากประสบการณ์ของตัวเราเอง ก็ลองผิดลองถูกมาตลอด ช่วงแรกเรารับงานทุกสเกล ไม่สนบัทเจท ขอให้ได้ลองเพื่อตอบตัวเองว่าชอบจริงไหม ซึ่งก็ไม่ใช่วิธีที่ดีเท่าไหร่ แต่ก็ช่วยตอบคำถามและความแน่ใจให้การเราได้ประมาณนึงเลย

Credit: artistry.soullil

ปกติเราจะเห็นจ้าวกับกฤตแพ็คคู่ทำงานด้วยกันบ่อย ๆ โดยเฉพาะตอนทำให้วง FORD TRIO สำหรับทั้งสองคนมองว่าการทำงานด้วยกันต้อง Require อะไรบ้าง มีความยาก-ง่ายอะไรไหม? มีเรื่องสนุก ๆ อะไรที่ถือเป็นประสบการณ์หรือเรื่องตลกไว้เล่ากับเพื่อนหรือเปล่า?

A BOY IN RED: สิ่งที่เราต้องการจากกฤต หรือแม้แต่คนอื่นที่ทำงานด้วยกัน หลักๆ น่าจะเป็นเรื่องความเข้าใจบรรยากาศของพื้นที่และคนดู ทุกครั้งที่เราทำงานกับกฤต ต้องมีจุดที่วิชวลยอมถอย ยอมน้อยลง หรือบางซีนไฟยอมมืดเพื่อให้วิชวลเด่น มันจะช่วยให้งานออกมาดูกลมมากขึ้น แล้วคนดูจะได้ไม่รู้สึกว่าทุกอย่างมันดูเยอะไปหมด อย่างน้อยมันจะทำให้งานออกมาดูมีมิติมากกว่าที่ไฟกับวิชวลใส่เต็มตลอดเวลา

ความยากของการทำงานที่ต้องวางแผนร่วมกันกับกฤต จะมาจากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เช่น เวลาซาวด์เช็คน้อยหรือโดนตัด ไม่ก็การที่ไม่รู้ Equipment ล่วงหน้า ซึ่งมันจะส่งผลให้เราทั้งคู่รวนกันไปด้วย เพราะ Flow หลักของหน้างาน เราอยากให้กฤตเซตไฟตามสี ตามฟีลลิ่งของเพลงก่อนแล้วค่อยมาตกลงกันว่า เราจะเล่นตรงนี้ยังไง แต่ถ้าเวลาน้อย พวกการวางแผนโชว์จะถูกผลักไปอยู่ที่หน้างานทันที เพราะวงที่เราทำส่วนใหญ่มักจะไม่ได้มี Data ทำให้เราต้อง Operate เองทุกช่วงของโชว์ พอไม่ได้มีการวางแผนหน้างาน บัคมันก็จะเกิดขึ้นได้บ้าง

เรื่องสนุก ๆ น่าจะงานที่ไต้หวันล่าสุดกับ FORD TRIO ที่เวลาเซ็ทอัพค่อนข้างน้อย ตอนเริ่มโชว์กฤตก็ยังเซตไฟไม่เสร็จดี ปกติเวลาทำงานเราจะสื่อสารกันตลอดว่า เห้ยท่อนนี้กูดับ มึงนำ หรือว่า ท่อนนี้กูเยอะ ๆ เลย มึงนิ่งลงหน่อย แต่งานนี้พอกฤตต้องเซ็ตไฟซีนที่ยังไม่ได้ทำพร้อมกับการ Operate ไปด้วยมันน่าจะเยอะไปสำหรับกฤต เราก็คอยบอกเรื่อย ๆ ว่าท่อนนี้ไปนะ ท่อนนี้งี้นะ กฤตตอบกลับแค่ว่า มึงนำเลยเพื่อน เดี๋ยวกูตามเอง หลังจากนั้นเราก็ลุยกันเองแบบต้องเชื่อใจกันว่า จะไม่มีใครแหลมออกมา (หัวเราะ)

KOMBO: การสื่อสารสำคัญที่สุดครับ เหมือนที่จ้าวบอก การแบ่งพื้นที่ให้กัน ไม่แข่งกันเอง และคุยกันเสมอว่าเราจะทำอะไรต่อไป บางทีอาจจะต้องมีการเตรียมกันก่อนเริ่มงาน เช่น คู่สี และบรรยากาศเพลงนี้จะประมาณไหน ตรงนี้เราขอดับไฟ หรือดับวิชชวลนะ เพื่อให้ระหว่างโชว์มันลื่นไหลที่สุด แต่มีบ้างที่เกิดปัญหาที่ไม่คาดคิดหน้างานแบบที่จ้าวเล่า ก็จะมีมองหน้ากันแล้ว เออ มึงไปก่อนเลย (หัวเราะ)

สิ่งที่ยากสำหรับเราในการทำงานร่วมกับฝั่งวิชวลคือ การบริหารเรื่องสี และความสว่าง ที่การหาตรงกลางสำหรับเราก็เป็นเรื่องที่ยังต้องคอยเวิร์คกันเสมอ บางทีเราอาจจะสว่างไป หรือสีที่ใส่ไปอาจจะไม่เข้ากันตอนเล่นจริง สิ่งนี้ต้องอาศัยการสื่อสารร่วมกัน และชั่วโมงบินในการลองผิดลองถูก แต่กับจ้าวอาจจะด้วยเป็นเพื่อนกันมานาน และหลังงานจบ หรือไปดูคอนเสิร์ตไหนมาก็จะมาแชร์กันตลอดว่าอันนี้เวิร์ค อันนี้อาจจะยังนะ มันเลยทำให้งานต่อไปสมูท หรืออาจจะมีไอเดีย ไปจนถึงการทดลองใหม่ ๆ อยู่เสมอ

มีวงไหนหรือหรือเวทีไหนที่เคยทำแล้วชอบที่สุดไหม?


A BOY IN RED: เวทีที่ชอบน่าจะเป็นงาน Non-Fest เมื่อปีที่แล้ว เพราะเป็นงานที่คุมทุกอย่างกันเองหมดตั้งแต่ Stage Design ลงมาจนถึง Visual กับ Lighting แถมเหมาทำเองกันหมดทุกวง รู้สึกเป็นประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นมากครับ

ส่วนวงที่ชอบทำนอกจาก FORD TRIO แล้วทำบ่อยสุด ๆ น่าจะเป็น LAAN เพราะล่าสุดได้ไปทำให้ที่ DeCommune เก่าตรงถนนพระสุเมรุ รู้สึกว่าชอบงานตัวเองมาก เอาจริง ๆ เราเป็นคนไม่ถนัดทำ Visual ให้วงที่ไม่ค่อยเถิดเทิง แต่พอได้ทำ LAAN เหมือนได้ปลดล็อคแนวทางใหม่ ๆ ของการทำวิชวลอีกแบบที่ไม่ต้องเยอะก็สามารถทำให้สนุกได้

KOMBO: เวทีที่ชอบส่วนตัวคืองาน Future Fest 2023 เป็นงานแรกที่ได้มีโอกาสทำ Stage Design เฟสติเวลใหญ่ ๆ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่เราได้ทดลองงานผ้า การใช้ไฟแบบแท่ง (tube led) ซึ่งส่งผลต่องานของเราหลังจากนั้นเป็นต้นมา อย่างการหยอดใช้เส้นตรงในงาน เหมือนมะนเป็นงานที่วางรากฐานให้เราทั้งการดีไซน์ การคิด และเรียนรู้วิธีติดตั้ง ส่วนอีกงานคือ Non Fest ซึ่งนอกจาก Stage และ Lighting ที่เรารับผิดชอบแล้วยังได้เรียนรู้เรื่องการวางแผนการทำงานในการจัดตารางติดตั้งทุกอย่าง และรับมือปัญหาหน้างานที่เราคาดไม่ถึง

มีคอนเสิร์ตไหนที่ไม่ได้ไปทำเอง แต่กลับประทับใจวิชวลกับไฟเอามาก ๆ หรือมี Artists ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ทั้งสองคนไหม?

A BOY IN RED: ล่าสุดเพิ่งไปดูคอนเสิร์ต Olivia Dean ตอนต้นปีมา เราประทับใจไฟตรงที่มันน้อยมาก วิชวลไม่มี คู่สีวนซ้ำ ๆ แต่มันทำงานกับบรรยากาศของเพลงมาก แทบไม่หวือหวาเกินหรือเล่นเยอะ หน้าไม่สว่าง แต่มันได้มู้ดสุด ๆ ซึ่งมันเปิดโลกการทำงานของเรามาก เพราะคอนเสิร์ตในไทยที่เราดูมักจะเป็นคู่สีเยอะ ๆ เคาะตามจังหวะเป๊ะ ๆ แต่ของ Olivia บางเพลงมาแค่สปอตไลท์เราก็รู้สึกว้าวได้เลย กับอีกวงที่ชอบคือตอนไปดู HAIM เซ็ตที่ Fuji Rock Festival สำหรับโชว์นี้คือเราประทับใจวิชวล Text ของเขามาก มันโดนเส้น มันเจนซี (หัวเราะ) แทบไม่มีวิชวลที่เป็นฟอร์มมาเลย แต่มันสื่อสารเนื้อหาของเพลงได้ดีมาก

KOMBO: ถ้างานที่ไม่ได้ไปเองแล้วชอบในตอนนี้คือไลฟ์ของ Mac DeMarco ในงาน Arte Concert Festival 2025 โดยสิ่งที่เราประทับใจคือการจัดวาง Stage ที่มีการแขวนกระจกไว้ด้านบนช่วยเพิ่มมิติให้กับสเตจ พื้นเวทีใสที่มีการซ่อนไฟไว้อยู่ด้านล่าง รวมทั้งการเล่นไฟที่ค่อย ๆ เผยทีละส่วน สลับท่าการเล่นไปมา ทำให้ภาพรวมทั้งโชว์มันสมูทและตื่นตาตื่นใจในเวลาเดียวกัน

อีกงานนึงที่เราได้ไปดูแล้วยังตราตรึงจนถึงทุกวันนี้คือไฟของ Phoenix ที่งาน Clockenflap ปี 2023 เป็นผลงานของ Pierre Claude (Lighting Designer ของวง Air, The Strokes ) เขามีจังหวะการเล่นไฟที่สมูทมาก ๆ เน้นเล่นน้อยแต่แฝงเทคนิคการเล่นซับซ้อนไว้อยู่ข้างหลังในแแต่ละซีน  ซึ่งเข้ากันได้ดีกับวิชวลแบบ Seamless โดยในแต่ละเพลง แต่ละท่อนจะมีท่าใหม่ ๆ ที่ทำให้เราประทับใจ จนอุทานออกมาไม่หยุดตั้งแต่ต้นจนจบโชว์เลย

อยากรู้ว่าเบื้องหลังการทำงานของแต่ละคน มีวิธีการคิดงานหรือรวบรวมไอเดียมาจากอะไรบ้าง จนกว่าจะออกเป็นงาน ๆ หนึ่งที่สเกลก็ค่อนข้างใหญ่และต้องทำงานร่วมกับคนอื่น ๆ ด้วยเหมือนกัน


KOMBO: พาร์ทของ Lighting Design อันดับแรกสำหรับเราคือ “การฟังเพลง” ยิ่งถ้าวงส่งมาก่อนวันงานนาน ๆ จะยิ่งดี เราจะมีเวลาในการคิดคู่สี การฝึกซ้อม หรือคิดไอเดียว่าท่อนนี้ จังหวะนี้ น่าเล่นไฟท่านี้นะ ถ้าคนที่ดูเราทำงานมักจะเห็นไอแพดเราที่เขียนชื่อเพลง ต่อท้ายด้วยวงกลมสี ๆ และโน๊ตเล็ก ๆ ว่าต้องทำอะไรบ้างเสมอ

โดยถ้าเป็นงานที่เราไปทัวว์กับวงเรามักจะขอ Lighting Plot ของงานมาดูประกอบการออกแบบไปด้วย เพื่อให้เราเห็นภาพ และท่าในการเล่นมากขึ้น สมมติบางทีที่หากเจอทีมงานที่ทำไฟล์สำหรับทำโชว์ล่วงหน้าได้ เราก็จะทยอยทำไว้เรื่อย ๆ เพื่อให้หน้างานเรามีพื้นที่ในการ Fine Tune หรือปรับแต่งโชว์ของเราให้เนียบและสมูทมากขึ้น

ในส่วนของ Stage Design เรามักจะเริ่มจากไปดูสถานที่ก่อนเป็นอันดับแรก แล้วค่อยมาจับกับไอเดียของงานเพื่อออกแบบอีกที เพราะปัญหาส่วนมาก มักมาจากการที่เราพลาดในส่วนของการดูหน้างานให้ละเอียดก่อนออกแบบหรือติดตั้ง ทำให้เกิดปัญหาหน้างานซึ่งจะกินเวลาในการทำซีนไฟของเราเข้าไปอีก 

A BOY IN RED: การทำงานของวิชวลคล้าย ๆ ของกฤตเลยคือ ต้องการ Setlist จากศิลปินมา ยิ่งได้คลิปเสียงซ้อมรวมยิ่งดี เพราะเราทำงานไม่ค่อยทำเป็นเพลง แต่จะดูองค์รวมก่อนว่าศิลปินต้องการจะเล่าอะไรในเซ็ตนี้ แล้วหลังจากนั้นค่อยนั่งคิดมู้ดบอร์ด เสพทุกอย่างที่คิดว่ามันใกล้เคียง ไม่จำเป็นต้องเป็นเรฟของวิชวลก็ได้ โดยพยายามรวบรวมมันให้เข้ามาอยู่ในหัวมากที่สุด อย่างของ FTO เราก็ไปนั่งดูพวกคลิปบรรยายเกี่ยวกับสวรรค์ในศาสนาพุทธ แล้วเจอวิชวลประหลาด ๆ เต็มไปหมด แล้วค่อยเอามาต่อยอด (หัวเราะ) เราจึงค่อยมาวางเจาะทีละเพลง ไปจนถึงการเวิร์คเพิ่มกับไฟว่าอยากให้ปรับตรงสีนี้ให้อ่อนลง ซีนนี้สว่างน้อยลง ส่วนขั้นตอนหน้างานจะคล้ายของกฤตเลย

ขั้นตอนหรืออะไรที่ท้าทายที่สุด ตั้งแต่ทำงานสายนี้มา?


KOMBO: สำหรับเราคือเรื่องการจัดการกับหน้างาน ยังคงเป็นสิ่งที่ท้าทายจนถึงทุกวันนี้ เพราะไฟแต่ละสถานที่ และทีมซัพพลายเออร์ของแต่ละทีมไม่เหมือนกัน เราต้องคอยบริหารเวลาเซ็ตอัพของเราเสมอ เพราะส่วนมากวงที่เราได้ไปทำร่วมกัน วงจะไม่มีการใช้ Data ซึ่งทุกอย่างจะต้องมีการเตรียมตัวและแพลนมาให้พร้อมที่สุด รวมทั้งตัวเราเองต้องเรียนรู้ในการใช้ไฟ และบอร์ดให้ได้มากและหลากหลายที่สุด เพื่อให้รับมือได้ทันเวลาเจอหน้างานใหม่ ๆ

หรือบางครั้งมันพ่วงด้วยเวลาที่จำกัด เราอาจจะทำบางส่วนทัน ก็ต้องอาศัยการเล่นสดซึ่งต้องผ่านการทำมาเยอะ และเข้าใจในบอร์ดและไฟมาก ๆ แต่ถ้าไม่ได้ก็ จ้าว ฝากด้วย (หัวเราะ) เหมือนรอบงานไต้หวันที่จ้าวเล่า ซึ่งเกิดปัญหาหน้างานทำให้เวลาในการเซ็ตอัพทุกอย่างหายไปจนเหลือไม่ถึง 20 นาที แต่ด้วยความที่เราชินกับบอร์ดและอยู่กับวงมากนาน จนรู้ว่าท่อนต่อไปวงจะไปทางไหน ต้องใช้เอฟเฟกต์ท่าไหน เราก็จะเตรียมสร้างซีนรอไว้ เหมือนเราต้องนำหน้าวงไปแล้วท่อนนึงว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปเพื่อให้สามารถทำทัน การทำแบบนี้ช่วยทำให้เราเอาตัวรอด และสร้างโชว์ออกมาได้ แม้อาจจะไม่ 100% อย่างที่เราอยากให้มันเป็นในสถานการ์ณที่มีข้อจำกัดด้านเวลา

A BOY IN RED: คล้ายตามที่กฤตบอกเลยครับ (หัวเราะ) ถึงจะเตรียมตัวไปดีแค่ไหน หน้างานก็จะเกิดปัญหาได้อยู่ดี ทั้งการสื่อสารที่อาจจะมีผิดพลาดบ้างระหว่างวงกับงาน แต่พักหลังมาเรากับกฤตก็พยายามทำ Rider ของตัวเองให้คล้าย ๆ กับทีมเสียงว่า เราต้องการ Equipment อะไรบ้างให้เค้าเช็คกลับมาให้เราว่ามีไหม เราต้องเตรียมอะไรไปเพิ่มไหม เพื่อช่วยลบจุดบอดที่อาจจะพลาดได้

ทั้งคู่มองว่าคนทำงานสาย Visual Design & Motion Graphic และ Stage & Lighting Design มีความสำคัญอย่างไรบ้างต่อศิลปิน อุตสาหกรรมวงการดนตรี และคอนเสิร์ตในบ้านเรา? เพราะสำหรับเรามองว่า เมื่อศิลปินไปถึงจุดนึงแล้ว พวกเขาต้องการทำโชว์สเกลใหญ่ที่ไม่ได้มีเพียง การเล่นดนตรีต่อหน้าผู้ชม แต่บรรยากาศ วิชวล ไฟในงานก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมพวกเขา

KOMBO: เราเห็นด้วยนะ และอยากให้คนมองเห็นความสำคัญต่อสิ่งเหล่านี้มากยิ่งขึ้น เพราะสำหรับเรา หรือตัวศิลปินเองก็อาจจะรู้สึกว่าอยากให้คนดูหรือผู้จัดมองว่า เห้ย มันเอาจริงว่ะ โดยเฉพาะบางท่อนของเพลงที่ต้องสอดคล้องไปกับไฟและวิชวล จะยิ่งช่วยทำให้การดูโชว์ไม่น่าเบื่อ ไปจนถึงข้อความหรือบรรยากาศที่ทางวงต้องการจะสื่อก็ชัดขึ้น มันสามารถขับให้คนดูรู้สึกได้ถึงบรรยากาศและเอนจอยไปกับโชว์ หรือถ้ามองในส่วนของผู้จัด ยิ่งงานที่ผ่านการออกแบบที่ตั้งใจและดูดี มันจะยิ่งช่วยสร้างความประทับใจให้กับคนดูมากขึ้น และเพิ่มโอกาสให้คนอยากมาซ้ำ เพราะการออกแบบงานและบรรยากาศที่ดีครับ

A BOY IN RED: เห็นด้วยเหมือนกัน แต่ก่อนที่เราจะเป็นคนทำวิชวล เราก็เคยเชื่อว่า เห้ย เป็นศิลปินแค่เล่นดีอย่างเดียวก็พอแล้ว แต่พอเราทำมาเรื่อย ๆ แล้วได้เจอหลากหลายวงที่เขาทำวิชวลเจ๋ง ๆ เราเลยเริ่มมองว่าการเล่นดนตรี มันไม่ใช่แค่การเอาคนขึ้นมาเล่นให้ดีแล้วจบ มันคือการแสดงมหรสพ 1 รูปแบบ ที่มีการ Co-Operation กันมากกว่าแค่นักดนตรีอย่างเดียว พอคิดแบบนี้เราเลยมองคนทำไฟและวิชวลไม่ใช่แค่เทคนิเชียน แต่เป็นส่วนหนึ่งของวงเหมือนกัน ที่จะช่วยให้สิ่งที่เค้าสื่อสารออกไปมันชัดเจนขึ้นกว่าเดิม

อยากให้ช่วยเล่าถึงโปรเจกต์ภายใต้ชื่อ .pry ที่ต้องทำงานกับศิลปะจัดวาง และ ซาวด์ดีไซน์ของเจมส์ว่าทำไมทุกคนถึงตั้งกลุ่มนี้ขึ้นมา? และฟีดแบ็คที่ได้รับกลับมาจาก “เสียง แสง ทรง / Seang Sang Song” ที่งาน Awakening Songwat 2025 เป็นยังไงบ้าง?

.pry: สวัสดีครับ พวกเราดอทพราย (คัท)

A BOY IN RED: จริง ๆ มันคือโปรเจกต์ที่เอาความรู้ที่พวกเราสามคนมีมาต่อยอด เพื่อหาเส้นทางใหม่ ๆ ในการทำงานครับ เผื่อมันสามารถใช้ในงานคอนเสิร์ตที่เราทำกันเป็นประจำอยู่ได้ ซึ่งมันก็ค่อนข้างเปิดโลกนะ มันทำให้เราไม่ต้องจำกัดอยู่กับกรอบที่ว่า งานสเตจไลท์ติ้งต้องจบที่อุปกรณ์เวทีเท่านั้น มันอาจจะเอาไฟบ้านมาคอนโทรลได้ เอาไฟเส้นมาทำวิชวลได้ ก็หวังว่าจะได้ทำมันต่อไปเรื่อย ๆ

KOMBO: ส่วนในเรื่องพาร์ทงานโครงสร้างต่าง ๆ เราได้ขึ้นโครงทั้งหมดมาจากภาพสเก็ตของเจมส์ ที่อยากให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้รับการโอบล้อมจากผู้คนในวัฒนธรรมต่าง ๆ ในพื้นที่ของทรงวาด ซึ่งจะเล่าผ่านบทเพลงทั้งจากจีน ไทย ฝรั่ง โดยพาร์ทของไฟในชิ้นงานนั้น จะเป็นส่วนประกอบที่ช่วยให้คนเข้าใจถึงบทเพลงผ่านบรรยากาศของสี และการเล่นจังหวะตามบทเพลงแต่ละเพลง พวกเราจะแอบดีใจทุกครั้งที่มีคนถ่ายสตอรี่ชิ้นงาน หรืออาจจะทั้งตกใจแล้วอุทานหลังจากกดปุ่มชิ้นงานก็ได้ (หัวเราะ)

เป้าหมายหรือแพลนในอนาคตของแต่ละคน

KOMBO: ส่วนตัวอยากทำงานที่สเกลใหญ่ขึ้น หรือได้ออกไปทัวร์ต่างประเทศกับวงดนตรีมากขึ้น สำหรับเรา การที่ยิ่งได้ออกไปเจอสถานที่ใหม่ ๆ วงใหม่ ๆ มันจะช่วยให้เราไม่หยุดนิ่งและพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เช่น การจะทำอย่างไรให้งานหน้าคมขึ้น สมูทขึ้น จัดการเวลาได้ดีขึ้น ส่วนแพลนในอนาคตอยากทำงานคอนเสิร์ตของตัวเองสักงานนึงครับ 

A BOY IN RED: เช่นเดียวกับกฤตในเรื่องการออกไปเจอสถานที่ใหม่ ๆ เพราะเราจะได้เจอกับคนที่ทำงานไม่เหมือนเรา ทำให้เราเอาวิธีของเขามา Adapt หรือปรับให้งานเราดีขึ้น และอยากทำคอนเสิร์ตของตัวเองเหมือนกัน ตอนนี้คิดว่าเรามีทีมที่ค่อนข้างพร้อมมาก ๆ ทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน ขาดอย่างเดียวคือเงิน (หัวเราะ) สำหรับใครที่อยากสนับสนุนก็ติดต่อพวกเรา A BOY IN RED x KOMBO มาได้ครับ

+ posts

แบม นักเขียนน้องเล็กที่ชอบอ่านหนังสือและฟังเพลงในเวลาเดียวกัน ปัจจุบันกลับมาทำเพจ Listenist

Related Articles

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy