ท่ามกลางบรรดารายชื่อภาพยนตร์และสารคดีที่เกี่ยวกับดนตรีที่มีเข้าไทยในปีนี้ นอกเหนือเรื่อง A Complete Unknown (2024) อันว่าด้วยเรื่องราวของ บ๊อบ ดีแลน ศิลปินโฟล์กระดับตำนานไปแล้ว ปีนี้ก็ได้มีหนังยาวลำดับล่าสุดที่เราเชื่อว่าต้องติดลิสต์หนังดีของใครหลายคนอย่าง Sinners (2025) ของผู้กำกับ Ryan Coogler แถมด้วยสกอร์จากคอมโพสเซอร์หนุ่ม Ludwig Göransson ที่นอนรางวัลแน่ ๆ โดยไม่มีเพียงการปรากฏตัวของนักแสดง นักดนตรี และคนมีชื่อเสียงเท่านั้น แต่ยังกล่าวถึง Charley Patton อีกหนึ่งศิลปินเดลตาบลูส์ที่ประวัติศาสตร์เคยจารึกไว้อีกด้วย
*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์*

ไรอัน คูเกลอร์ เป็นผู้กำกับเป็นที่ใครหลายคนอาจรู้จักเขาผ่านหนัง Fruitvale Station (2013), Creed (2015), Black Panther (2018), Black Panther: Wakanda Forever (2022) และอย่างที่เราทราบกันดีว่าคูเกลอร์มักจะพ่วงนักแสดงคู่บุญหรือเพื่อนรักอย่าง Michael B. Jordan มารับทั้งบทเอกและบทรองตลอด โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ จอร์แดนก็ได้กลับมารับบทฝาแฝด Smoke-Stack อีกด้วย
สำหรับพี่น้องสโมคและสแตก พวกเขาถือเป็นตัวละครที่มีบทบาทอย่างมากในพาร์ทการดำเนินเรื่อง แต่ยังมีอีกหนึ่งตัวละครหลักที่สำคัญไม่แพ้กันคือ Miles Caton ผู้รับบทเป็น Sammie Moore ลูกชายของนักบวชที่อาศัยอยู่ในชนบทแห่งหนึ่ง ณ รัฐมิสซิสซิปปี สหรัฐฯ ท่ามกลางวิถีชีวิตของคนดำชนชั้นล่างที่ทำงานไร่ฝ้าย และยังตกอยู่ภายใต้กฏหมายเหยียดผิวของจิมโครว์ ในช่วงยุค 1930s ซึ่งคูเกลอร์ได้หยิบเรื่องราวของ Robert Johnson ศิลปินชาวแอฟริกัน-อเมริกัน ผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ราชันย์แห่งเดลตาบลูส์” และมาพร้อมกับตำนานเล่าขานว่า เขาขายวิญญาณให้แก่ซาตาน (Deal with the Devil) เพื่อแลกกับความสามารถทางดนตรี มาใส่ในตัวละครนี้
หากใครเคยอ่านเรื่องราวของ โรเบิร์ต จอห์นสัน มาก่อนจะสังเกตได้ว่า เกือบทุกแง่มุมของตัวละคร แซมมี่ มัวร์ นั้นถูกหยิบยกมาจากประวัติเบื้องลึกของเขา ทั้งการเป็นเด็กบ้านนอกที่เติบโตในชนชั้นแรงงาน ด้วยความรักที่มีต่อดนตรี เวลาส่วนตัวที่หลงเหลือเขาก็ใช้ไปกับการฝึกฝนเพลงบลูส์ จนได้รับโอกาสให้ไปบรรเลงที่บาร์แห่งหนึ่ง เพียงแต่แซมมี่ไม่ได้ขายวิญญาณให้แก่ซาตาน หรือไปยืนรอที่จุดตัดระหว่างถนนไฮเวย์เพื่อให้ปาฏิหาริย์เกิด ทว่า โอกาสต่าง ๆ ที่แซมมี่ได้รับล้วนมาจากฝีมือการร้องเล่นของเขาเอง แม้ตัวเรื่องจะไม่ได้มีฉากที่แสดงถึงการฝึกซ้อมแบบเอาเป็นเอาตาย ยกเว้นด้าน ไมลส์ คาตัน นักแสดงหนุ่มที่รับบท หรือกระทั่งตัวโรเบิร์ต จอห์นสันเอง ต่างคนต่างก็ทุ่มเทให้กับสิ่งที่เขาหลงใหล แม้ว่ามันจะแลกมาด้วยเวลา ชื่อเสียง และการถูกยอมรับหรือไม่ก็ตาม

ในบริบทของภาพยนตร์เรื่องนี้ การเล่นดนตรี ถือเป็นเรื่องที่ผิดแผกเสมือนตราบาป และ “ตราบาป” ในที่นี้ ยิ่งชวนให้เรานึกถึงเพลง ‘Black And Blue’ ขับร้องโดยหลุยส์ อาร์มสตรอง ที่เคยแปลเนื้อหาไว้ในบทความ Soundtrack to a Coup d’Etat: ฉากเปิดโปงสงครามเย็นที่ร้อนเร่าด้วยดนตรีแจ๊ส ทำไมการเป็นคนดำ มันช่างชอกช้ำเหลือเกิน ด้านองค์ประกอบการเล่าเรื่องของ Sinners ยังชวนให้เราตั้งคำถามอีกว่า พวกเขาไม่มีสิทธิได้ร้องเล่นเต้นรำ เฝ้าฝันถึงชีวิตที่สุขสบาย พวกเขาต้องทำงานอย่างตรากตรำจนกว่าจะสิ้นใจไปเท่านั้นหรือ
แต่สถานบันเทิงเล็ก ๆ ของสองพี่น้องฝาแฝดอย่าง Juke Joint Bar สามารถมอบให้สิ่งนี้ให้กับพวกเขาทุกคนได้ คืนก่อนที่แซมมี่จะได้รับดีลพิเศษ และเนื้อเรื่องจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ (ที่แน่นอนว่าหนังไม่ได้ถูกจัดเป็นฌองร์มิวสิคคัลตั้งแต่แรก) มีสิ่งหนึ่งที่ถ้าไม่ใช่เนิร์ดเกียร์หรือคนดูที่จดจำแม่นทุกรายละเอียด ก็อาจมองข้ามไปคือไดอะล็อกที่เล่าถึงที่มาที่ไปของกีตาร์ โดยมีการกล่าวถึงบิดาแห่งเดลตาบลูส์อีกคนอย่าง Charley Patton ศิลปินที่มีพื้นเพคล้ายคลึงกับตัวละครในหนัง เพราะว่ากันว่าเขามีทั้งเชื้อสายคนดำ คนขาว และชนพื้นเมือง
เขาประสบความสำเร็จเล็ก ๆ ในฐานะศิลปินที่ได้บันทึกเสียงจริงจัง และโด่งดังด้วยโชว์สไตล์การเล่นที่ยังไม่แพร่หลายเป็นวงกว้างในยุคนั้น เช่น การยกกีตาร์ไปด้านหลังหัวเพื่อเล่นแบบไม่มองคอร์ด บทเพลงของชาร์ลี แพตตัน (Charley Patton) ได้รับการอธิบายว่าเป็นผลงานที่เรียบเรียงออกมาอย่างกลมกล่อม จากอิทธิพลของเพลงบัลลาดในศตวรรษที่ 19 และดนตรีบลูส์ที่สื่อถือพลังแห่งความเท่าเทียมระหว่างคนขาวกับคนดำ ซึ่งสะท้อนถึงการเดินทาง ความยากลำบากที่ชาวแอฟริกัน-อเมริกันต้องเผชิญ และการเสาะแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ส่วนตัวเราคิดว่า ทำไมคูเกลอร์อ้างอิงถึง ชาร์ลี แพตตัน ในลักษณะของการรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน แม้เขาเลือกที่จะสื่อสารผ่านเรื่องราวจากไดอะล็อกสั้น ๆ เพียงไม่กี่พารากราฟเพื่อเล่าที่มาที่ไปของกีตาร์ที่พระเอกใช้ในหนังเพียงเท่านั้น
อย่างเพลง ‘Moon Going Down’ ถ้านำมาเชื่อมโยงกับ Cycle ของมนุษย์ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ไปจนถึงเหนือธรรมชาติแบบตำนานของแวมไพร์ในภาพยนตร์เรื่องนี้ เราก็จะพบว่าสัญลักษณ์ของ “พระจันทร์” มันมีความเกี่ยวข้องกันระหว่างความเป็น-ความตาย และการเกิดใหม่อีกครั้ง หรือในอีกนัยยะหนึ่ง มันก็ยังสื่อสารถึง ความโศกเศร้า การสูญเสีย และจุดสิ้นสุดของอะไรสักอย่างเมื่อแสงจันทร์ลับไป

โดยกีตาร์ตัวที่ว่าคือ Resonator Guitar (รุ่น 1932 Dobro Cyclops) เรโซเนเตอร์เป็นโมเดลกีตาร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นในช่วงยุค 1920s ที่สโมคและสแตกได้มอบให้พระเอกเป็นของขวัญ ซึ่งแฝดน้องเคยหลอกเขาไว้ว่า กีตาร์ตัวนี้เป็นอาวุธคู่ใจของศิลปินเดลตาบลูส์ระดับตำนานอย่างชาร์ลี แพตตัน ทำให้พระเอกรักกีตาร์ตัวนี้อย่างสุดหัวใจ แต่จริง ๆ แล้วมันถูกส่งต่อมาจากพ่อของพวกเขาที่เสียชีวิตไปแล้วต่างหาก
อย่างไรก็ตาม คุณค่าทางจิตใจที่เขามีต่อกีตาร์ตัวนี้ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างใด เมื่อมันได้ทำหน้าที่บรรเลงเสียงดนตรีที่หลอมรวมทุกคนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ยิ่งทำให้สิ่งที่พิเศษมาก ๆ สำหรับเราในฐานะผู้ชม คือการได้ท่องโลก ชมวัฒนธรรม เรียนรู้ประวัติศาสตร์ดนตรี อาทิ ดนตรีบลูส์, โฟล์ก, คันทรี่, ร็อกแอนด์โรล, ฮิปฮอป, ดนตรีชนเผ่าพื้นเมืองของชาวแอฟริกัน, กอสเปล, โอเปร่า และวิถีชีวิตที่สื่อสารออกมาอย่างมีจิตวิญญาณ ซึ่งไม่ได้จำกัดเฉพาะแค่เรื่องราวของคนดำ แต่ยังรวมไปถึงการถูกมองเป็นอื่นของชาวไอริช และคนจีนในเรื่องนี้ด้วย
อ้างอิง:
ตำนานดนตรีบลูส์ “โรเบิร์ต จอห์นสัน” ขายวิญญาณให้แก่ซาตานจริงหรือ
เรื่องของคนดำ และการทำหนังอย่างมีหัวใจแบบ ไรอัน คูเกลอร์

แบม นักเขียนน้องเล็กที่ชอบอ่านหนังสือและฟังเพลงในเวลาเดียวกัน ปัจจุบันกลับมาทำเพจ Listenist