การเปลี่ยนผ่านบนเส้นทางดนตรีของ Paul Banks จาก Interpol

673 views
Interpol Maho rasop Paul Banks interview

หลังจากที่ได้รับชมการแสดงสุดประทับใจของวงโพสต์พังก์จากนิวยอร์กที่แฟนชาวไทยให้การรอคอยมานานอย่าง Interpol ที่ Maho Rasop 2023 กันไปแล้ว The COSMOS ขอหยิบบทสัมภาษณ์เอ็กซคลูซิฟที่เรามีโอกาสได้พูดคุยกับฟรอนต์แมน Paul Banks มาให้ทุกคนได้อ่านกัน ถึงการค่อย ๆ เติบโตจากการเป็นวงเล็ก ๆ ในย่านที่อยู่อาศัย สู่เฮดไลเนอร์ที่โลดแล่นในวงการมาเกือบ 3 ทศวรรษ

Interpol

รู้สึกดีครับ ขอบคุณครับ ไม่แย่ขนาดนั้นครับ

ผมว่าเพราะพวกเราเริ่มจากการทำกิจกรรมกันแค่ในย่านที่พวกเราอาศัยอยู่ แถว Lower East Side ของแมนฮัตตัน แล้วก็บรูกลิน เราเล่นโชว์เล็ก ๆ กันแถวบ้านแล้วก็ค่อย ๆ เติบโตกันมาแบบนั้น เลยคิดว่าการแข่งขันเดียวที่พวกเราต้องเจอคือการทำยังไงให้มีงานเล่น แล้วก็เล่นออกมาให้ดี จากนั้นก็ได้แต่หวังว่ารอบหน้า ๆ จะมีคนมาดูเยอะขึ้น มันไม่ได้มีกลยุทธ์อะไรเบื้องหลังเรื่องพวกนี้หรอกครับ แค่พวกเราทำกันมาแบบนี้แหละ

คือถ้าไม่ได้มีงบในการทำมาร์เก็ตติงอะไรแบบนั้น พวกเราเป็นวงในพื้นที่อะครับ ถ้าเรามีระบบนิเวศวงการดนตรีแบบนี้อยู่แล้ว มีวง มีคนดู มีงานเล่น …แล้วเราก็มี The Strokes อีก มันก็เกิดการขับเคลื่อนกันเอง

เราอยู่กับ Matador Records เขามีฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่แข็งแรง มีพีอาร์เก่ง ๆ แบบ Nils Bernstein แล้วสมัยนั้นเรามีสัมภาษณ์นิตยสารกันเป็นเล่ม ๆ เยอะมาก ไปออกรายการวิทยุ ประมาณนี้ครับ

ผมว่าการเป็นศิลปินมันไม่ต้องคำนึงถึงการไปแข่งกับศิลปินคนอื่น ๆ ผมว่าเราแค่ต้องพยายามเป็นวงที่ดีที่สุดที่เราจะเป็นได้ ทั้งในมุมของการเป็นวง และมุมของตัวเองในการเป็นนักดนตรีที่เก่งที่สุดที่เราจะทำได้ แล้วถึงตอนนั้นถ้าเรามีวัตถุดิบสำหรับการทำเพลงที่ดีพอ แล้วก็มีความตั้งใจที่จะทำมันออกมาให้ดี จากนั้นก็คอยดูว่าผลลัพธ์มันจะออกมาเป็นยังไง นั่นน่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผมนะ

ในช่วงชีวิตของวงเรามันน่าจะเป็น ซีดี ดิจิทัล แล้วกลับมาเป็นไวนิลนะ คือตอนเด็ก ๆ ผมมีเทปแหละ แล้ว Interpol ชุดแรก ๆ เองก็มีเทป แต่ตอนหลังทุกอย่างออกมาเป็นซีดี เอ่อ… ผมว่ามันไม่ได้เปลี่ยนประสบการณ์การฟังของคนมากขนาดนั้นนะ ผมว่าตอนนี้คนเข้าถึงการฟังเพลงได้มากขึ้น เลยไม่แน่ใจว่ามันอาจจะสร้างผลกระทบเชิงลึกกับการที่คนจะให้ความสนใจกับศิลปินแค่คนเดียวหรือเปล่า เมื่อเทียบกับการได้รู้จักกับเพลงใหม่ ๆ แทบจะตลอดเวลา ผมว่าอันนี้น่าจะต่างจากเมื่อก่อนที่ว่าเรามีไวนิลอัลบั้มที่ชอบ แล้วได้ใช้เวลาในการซึมซับอยู่แต่กับแผ่นนั้น ในขณะที่ตอนนี้มันมีอะไรหลายอย่างเยอะไปหมด แต่ผมว่ายังไงก็ตาม ดนตรีมันก็ยังเป็นเพื่อนของมนุษย์มาแต่ไหนแต่ไรตั้งแต่แรกเริ่ม ผมว่าหัวใจของมันก็ยังเหมือนเดิม

มันแทบจะต่างกันเลย โหมานั่งคิดแล้วนานเหมือนกัน (ยิ้ม) เมื่อก่อนมันเหมือนเราต้องมี meet and greet ยังไม่มีโซเชียลอะเนาะ แล้วก็การไปปรากฏตัวที่ร้านแผ่นเสียง หรือที่โชว์ นั่นเป็นวิธีที่เรามีโอกาสได้พบปะกับแฟน ๆ แล้วผมว่ามันมีความต่างกันมาก ๆ จากช่วงเริ่มเข้าวงการ ที่ยังไม่ค่อยรู้สึกถึงความคาดหวังของแฟนเพลงในการปรากฏตัวหรือการมีปฏิสัมพันธ์อะไรกับเราขนาดนั้น ยิ่งในยุคนี้ผมก็ไม่แน่ใจว่าการสื่อสารของวงกับแฟน ๆ อยู่ในระดับที่ตอบรับความต้องการของเขาได้แล้วหรือยัง แต่ผมว่ามันเจ๋งตรงที่มันเป็นการสื่อสารแบบสองทางมากขึ้น จากวงสู่แฟนเพลง จากแฟนเพลงกลับมาสู่วง นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ เมื่อเทียบกับตอนที่เราเริ่มมันยังไม่มีครับ

จริง ๆ ก็มีหลายวงที่ทำกันมานานกว่านั้นอีกนะ อย่าง Radiohead, Red Hot Chili Peppers, The Cure แค่นี้เราก็เห็นตัวอย่างที่เป็นแรงบันดาลใจจากศิลปินหลาย ๆ วงที่ยังทำเพลงกันอยู่ พอถูกถามประมาณว่าทำยังไงให้เป็นวงที่อยู่มานาน ก็นะ ผมคิดว่ามันก็จะต้องมีช่วงใดช่วงนึงที่เรายังจะทำเพลงอยู่แหละ คงเป็นเพราะเราเป็นศิลปิน แล้วเราก็ยังชอบที่จะสร้างงานศิลปะ แล้วเรายังเป็นแรงบันดาลใจซึ่งกันและกัน นั่นน่าจะเป็นเหตุผลว่าทำไมเรายังเป็นวงที่อยู่กันมานานได้ขนาดนี้

ไม่มีครับ ไม่มีมานานแล้ว กระบวนการคิดเวลาที่เขียนเพลงผมแค่คิดถึงเรื่องใหญ่ ๆ เหมือนเป็นหม้อหม้อนึง แล้วค่อย ๆ แตกย่อยออกมาเป็นเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกัน มีทั้งเรื่องที่สะท้อนมุมมองที่ผมมีต่อสิ่งต่าง ๆ หรือความรู้สึก ณ ขณะนั้น แล้วเนื้อเพลงส่วนใหญ่ก็ได้จากการตีความจากตัวดนตรีอีกที ผมไม่มีเนื้อเพลงโผล่ขึ้นมาก่อนโดด ๆ แล้วยัดเข้าไปในดนตรีของ Interpol ผมจะฟังพาร์ตดนตรีก่อน แล้วค่อยคิดท่อนร้องให้ออกมาตามนั้น มันเหมือนเป็นการได้มีปฏิสัมพันธ์กับตัวดนตรีจริง ๆ โดยที่ผมได้ยินซาวด์ แล้วค่อยตีความออกมาในมุมประหลาด ๆ ในแบบของผม

ผมมีความสนใจในเรื่องภาษาในเรื่องที่ว่า ความหมายมันปรากฏอยู่ก่อนที่เราจะมีการคิดค้นภาษา แล้วภาษามันช่วยสื่อความหมายที่มีอยู่ก่อนแล้วให้ชัดขึ้น หรือจริง ๆ แล้วความหมายถูกสร้างขึ้นมาจากภาษากันแน่ ผมมองว่าอย่างหลังมันน่าสนใจ ตรงที่อำนาจของภาษามันมีแนวโน้มที่สามารถสร้างความท้าทายทางสติปัญญาได้อย่างน่าประหลาด ผมเลยชอบอะไรแบบนี้มาก แล้วก็มักจะคิดในสโคปนี้เสมอ

มันมีช่วงเวลาหนึ่งในประวัติศาสตร์อเมริกาหรือที่ไหนบนโลกที่คนมีระบบความเชื่อที่อยู่นอกเหนือไปจากอัตวิสัย แล้วเลือกที่จะปล่อยใจดื่มด่ำไปกับความเชื่อนั้น ๆ ซึ่งสำหรับผมมันประหลาดดีเมื่อพื้นฐานของความเป็นจริงมันเริ่มกระจัดกระจาย ไม่มีความเชื่อที่จริงแท้ร่วมกันอีกต่อไป ความพยายามจะหลบหนีจากความเป็นจริงทำให้คนยอมถลำลึกลงไปเรื่อย ๆ ในทฤษฎีสมคบคิดหรือจินตนาการพวกนั้น จนมันมาถึงจุดที่ว่าเราต้องรู้สึกไม่แน่ใจในความเป็นจริงที่เราพูด ๆ กัน หรือมันอาจจะไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นสำหรับผมแล้ว ‘The Other Side of Make-Believe’ เป็นเหมือนข้อเสียของการหลงถลำไปในความเชื่อ หรือนำจินตนาการไปใช้แบบผิด ๆ ครับ

การได้อยู่บนเวที กับการที่เราเล่นกันเป็นวงจริง ๆ แล้วเล่นได้ดี ส่วนคนดูเองก็สนุกไปกับพวกเรา เหมือนเป็นคลื่นความที่ที่รับส่งเท่า ๆ กันในแบบที่ทุกคนเอนจอยไปกับโมเมนต์ของดนตรี มันเป็นประสบการณ์ร่วมที่รู้สึกเยี่ยมยอดครับ

ขอบคุณที่รอกันมานาน ขอบคุณที่เป็นแฟนเพลงของพวกเราครับ หวังว่าจะได้กลับมาอีกเร็ว ๆ นี้และบ่อย ๆ ตื่นเต้นมาก ๆ ที่จะได้เล่นที่ไทยครับ

ขอขอบคุณ Beggars Thailand

Photos by Ebru Yildiz, Atiba Jefferson, Matador Records

Related Articles

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy