คุยกับ Whispers ว่าอะไรทำให้วงฮาร์ดคอร์วงนี้ ได้เป็นวงไทยแรกที่ได้ไปเหยียบบนเวทีระดับโลก

by McKee
149 views
Whispers Hardcore Yom‐Ma‐Lok Narok Bon Din Holding On Records Flatspot Records Music Exchange

จากวงดนตรีอันเดอร์กราวด์ที่ยืนหยัดในซีนฮาร์ดคอร์ไทยกว่า 10 ปี วันนี้ Whispers ก้าวข้ามเส้นสมมุติบนแผนที่โลก พาดนตรีฮาร์ดคอร์ที่เล่าเรื่องวัฒนธรรมตะวันออกไปสู่หูคนฟังทั่วโลก ไม่ใช่แค่พลังดนตรีอันดุดัน แต่พวกเขามาถึงจุดนี้ได้ด้วยคอมมูนิตี้ที่แข็งแรงของชาวฮาร์ดคอร์ และแพสชันที่ผลักดันพวกเขาอย่างไม่หยุดยั้ง รวมถึงทัศนคติที่ดีและเป็นมิตรกับซีนดนตรีสุด ๆ พวกเขาคือหลักฐานที่ว่า ฮาร์ดคอร์ไทยไม่ได้เป็นเพียงเสียงกระซิบในยุคนี้อีกต่อไป แต่สามารถไปไกลได้ถึงระดับโลกเหมือนกัน

วันนี้ทีมคอสมอสได้มีโอกาสพูดคุยกับ Whispers ช่วงระหว่างกำลังพักจากทัวร์พอดี ไปทำความรู้จักตัวตนและดนตรีของพวกเขามากขึ้น รวมถึงพูดคุยเกี่ยวกับซีนฮาร์ดคอร์ที่พวกเขาช่วยกันผลักดันมาตลอด ใน Transmission ครั้งนี้

Whispers Hardcore Yom‐Ma‐Lok Narok Bon Din Holding On Records Flatspot Records Music Exchange
Whispers Hardcore Yom‐Ma‐Lok Narok Bon Din Holding On Records Flatspot Records Music Exchange

สมาชิก Whispers
มายด์—นิติศาสตร์ ชัยบุรี (นักร้อง)
หนึ่ง—วีรยุทธ กลีบประทุม (กีตาร์)
โอเล่—กิตติ สุวรรณ (กีตาร์)
เก็ต—ธาณินทร์ มีมงคล (เบส)
เอส—ปิยะวุฒิ ทองประกอบ (กลอง)

มายด์: สนุกมากครับ แล้วก็รู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่ให้โอกาสพวกเรา มันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก เพราะวงเราทำดนตรีกันมากว่า 10 ปี แต่เอาจริง ๆ เพิ่งจะได้โอกาสจริงจังจากผู้ใหญ่ช่วงปีหลัง ๆ นี่เอง และครั้งนี้ก็เป็นโอกาสสำคัญที่ทาง CEA ยื่นมือเข้ามาช่วยถึงสามครั้ง พวกเราก็ยังรู้สึกเป็นเกียรติและซาบซึ้งใจมากครับ

เก็ต: ก็เซอร์ไพรส์มากครับที่เราส่งไปแล้วได้ถูกคัดเลือกจริง ๆ เพราะปกติถ้าเป็นวงดนตรีหนัก ๆ แบบเรา ส่วนใหญ่ผู้ใหญ่หรือคนทั่วไปก็มักจะไม่ค่อยโฟกัสหรือมองไม่เห็นตรงนี้ แต่พอครั้งนี้พวกผู้ใหญ่หันมามองว่าดนตรีแบบนี้ก็สามารถส่งออกได้เหมือนกัน เราก็รู้สึกขอบคุณมากครับ

ซึ่งมันทำให้รู้สึกว่าดนตรีไทยถูกเปิดโลกมากขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้เรามักจะเห็นแต่แนวอินดี้หรือฮิปฮอปมีโอกาสออกไปเล่นข้างนอก แต่จริง ๆ แล้วดนตรีเมทัล ฮาร์ดคอร์ หรือสายหนักกว่านั้น ก็เป็นดนตรีสากลที่อยู่ในระดับโลกเหมือนกัน เพียงแต่ที่ผ่านมาเหมือนถูกปิดไว้ ไม่มีใครมองเห็น พอมีโอกาสแบบนี้เกิดขึ้น มันทำให้เรารู้สึกว่าโลกภายนอกเปิดรับเรามากขึ้น และเราก็ได้รับแรงสนับสนุนมากขึ้นด้วยครับ

มายด์: ตอนนี้ก็คิดว่าโอเคแล้วนะครับ ไม่มีอะไรที่ต้องปรับปรุง เราเองก็ไม่ได้รู้ระบบระเบียบของทาง CEA ชัดเจน แต่สิ่งที่พวกเราได้รับมาถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากแล้ว ก็เลยอยากให้มีต่อไปเรื่อย ๆ มากกว่าครับ

โอเล่: เรื่องการสนับสนุนศิลปิน ผมว่าตอนนี้เขาเปิดกว้างมากขึ้นแล้วนะครับ ถือว่าดีมากแล้ว ส่วนเรื่องการรีพอร์ตหรือรายงานต่าง ๆ ผมมองว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะถ้าเราเป็นวงแล้วได้รับโอกาส การรีพอร์ตก็เหมือนเป็นหลักฐานยืนยันว่ามีการทำสิ่งนั้นจริง ๆ สำหรับผมมองว่ากระบวนการตอนนี้ถือว่าดีแล้วครับ

เก็ต: ตอนนี้ผมเห็นว่าเริ่มมีเพจอื่น ๆ เข้ามาช่วยทำพีอาร์ให้โครงการนี้มากขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้วงต่าง ๆ เข้าถึงได้ง่ายขึ้น เพราะปกติถ้าเป็นเพจของรัฐบาลหรือโครงการอย่างเดียว วัยรุ่นหรือวงทั่วไปอาจจะไม่สนใจ แต่พอมีเพจอื่นเข้ามา ทำให้รู้สึกเข้าถึงง่ายขึ้น เหมือนกับว่าถ้าเรามีวง เราก็อาจจะมีโอกาสนะ บางทีอาจจะได้คอนเนกชันจากต่างประเทศที่ชวนมา เพียงแต่ถ้าเรายังไม่มีเงินทุน ก็อาจจะลองส่งตรงนี้ไปก่อนได้

ผมชอบตรงที่เขามีพัฒนากติกาด้วย อย่างปีแรกกติกาค่อนข้างยาก แต่พอเราผ่านไป เขาก็มีการเรียก แก็บ ผู้จัดการของ Whispers ไปสัมภาษณ์ว่าการรีพอร์ตต้องเป็นยังไง การทำงานจริง ๆ มันยากแค่ไหน แล้วเขาก็นำข้อมูลนั้นไปปรับปรุงโครงการ ทำให้การให้งบตรงนี้สมูทขึ้น วงอื่น ๆ ก็ทำงานได้ง่ายขึ้น อันนี้ต้องขอบคุณมากครับ

มายด์: ก็อย่างที่พูดเลยครับว่ามันมีหลายปัจจัยรวมกัน ไม่ว่าจะเป็นคอมมูนิตี้ของชาวฮาร์ดคอร์ ชาวเมทัล อันเดอร์กราวด์ต่าง ๆ ที่เริ่มเติบโตขึ้นหลังโควิด เพราะผู้คนอยากออกไปดูไลฟ์โชว์ อยากมีส่วนร่วมกับคอมมูนิตี้มากขึ้น มันก็เลยกลายเป็นเหมือนการเปลี่ยนยุคสมัย เข้าถึงคนหมู่มากขึ้น ไม่ได้เข้าใจยากเหมือนเมื่อก่อนที่เราทำเพลงแค่ในกลุ่มเล็ก ๆ ของเราเอง

หลังจากนั้น ด้วยความที่วงเรามีความแอคทีฟ มีผลงานและกิจกรรมออกมาอย่างต่อเนื่อง มันก็ทำให้คนหลายกลุ่มเริ่มเห็นเรามากขึ้น แม้จะยังไม่ถึงขั้นแมสหรือเป็นที่รู้จักในสื่อกระแสหลัก แต่เราก็พยายามทำให้เข้าถึงคนให้มากที่สุด ทั้งกลุ่มเก่าและกลุ่มใหม่ ซึ่งผมมองว่าตรงนี้มีผลอย่างมากที่ทำให้ Whispers มาถึงจุดนี้ได้

เพราะเราไม่ได้เป็นวงที่มาจากประเทศอื่น เราเป็นวงจากประเทศไทย ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการทำให้คนไทยเข้าถึงเราได้ง่ายที่สุดก่อน นี่เป็นจุดประสงค์หลักที่เรายึดมาตลอดครับ

โอเล่: ที่ผมมองนะครับ โอกาสที่เราได้รับจนมาถึงทุกวันนี้ คอมมูนิตี้ฮาร์ดคอร์ก็เป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันเราเหมือนกัน เพราะในคอมมูนิตี้ฮาร์ดคอร์มันเชื่อมต่อกันง่าย เหมือนเราฟังเพลงคล้าย ๆ กัน ชอบอะไรที่ใกล้เคียงกัน ชอบวงนั้น ชอบโชว์นี้ พอได้มาแลกเปลี่ยนกัน ความสัมพันธ์มันก็เกิดขึ้นจากตรงนั้น

ผมว่ามันเริ่มต้นจากตอนที่มีวงต่างประเทศมาทัวร์ในไทย แล้วเราก็ได้เข้าไปมีส่วนร่วม คอยช่วยเหลือหรือซัพพอร์ต ทำให้เราได้สร้างคอนเนกชันและความสัมพันธ์ที่ต่อยอดกันไปครับ ถ้าพูดถึงวงต่างประเทศผมว่ามันคล้ายกันเลย สมมติวงจากนิวยอร์กเขาก็จะบอกว่า เราเป็นวงจากนิวยอร์กนะ ซึ่งกับพวกเราก็เหมือนกันครับ เรามาจากกรุงเทพฯ ประเทศไทย เราก็ต้องภูมิใจที่จะพรีเซนต์ว่าเราเป็นใคร มาจากที่ไหน

เพราะฉะนั้นเวลาใครได้ดูโชว์ของเรา เขาก็รับรู้ได้ว่ามันไม่ง่ายเลยสำหรับวงจากประเทศไทยที่จะออกไปทัวร์ยุโรป อเมริกา หรือออสเตรเลีย โอกาสมันยากมาก ถ้ามีโอกาสก็อยากให้คนลองมาดู ซึ่งผมมองว่านี่แหละครับคือสิ่งที่คอมมูนิตี้ฮาร์ดคอร์สร้างไว้ ความเข้าใจในความยากลำบากของแต่ละวง และสิ่งนี้เองที่ผลักดันให้วงการฮาร์ดคอร์ดูเติบโตและมีความหลากหลายมากขึ้นครับ

เก็ต: เหมือนเราใช้ดนตรีฮาร์ดคอร์เป็นตัวเบิกทางออกไป แต่เอาจริง ๆ แล้วก็ต้องกลับมาที่พื้นฐานของวง แก็บ ซึ่งเป็นผู้จัดการวง Whispers เขาก็ทำ Holding On Records ที่คอยผลิตอัลบั้มให้วงในไทย รวมถึงพาศิลปินต่างชาติมาเล่นโชว์ที่นี่ ซึ่ง Whispers เองก็เป็นหนึ่งในสตาฟของ Holding On Records ด้วย

วงที่เคยมาทัวร์ก็จะเห็นพวกเรา ทั้งผม ทั้งเพื่อน ๆ อย่างเอสหรือโอเล่ มายด์ ทุกคนคอยช่วยแก็บ ไม่ว่าจะเป็นไปรับศิลปินที่สนามบิน ยกของ หรือช่วยงานต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้เราทำด้วยใจครับ ไม่ได้มีใครจ้าง แต่เพราะเรารักดนตรีตรงนี้ เลยรวมตัวกันทำ Holding On Records ขึ้นมา ถึงมันจะไม่ได้เป็นออฟฟิศจริงจังอะไร แต่เรามองว่ามันคือแพสชันของเรา

มายด์: ทั้งหมดที่พูดมามันก็เชื่อมโยงกันหมดครับ คืออย่างที่บอกว่ามันเริ่มจากคอมมูนิตี้เล็ก ๆ ก่อน แล้วค่อย ๆ หล่อหลอมขึ้นมา พอถึงเวลาหนึ่งคอมมูนิตี้มันก็ใหญ่ขึ้นตามสิ่งที่พวกเราทำมาตลอด พวกเราโชคดีที่ได้เล่นผ่านคอมมูนิตี้นี้ แล้วก็รู้สึกว่าความสัมพันธ์ตรงนี้แข็งแรงมาก แม้ในอดีตจะยังมีคนน้อย แต่ก็ยังเกาะกลุ่มกันมาเรื่อย ๆ จนถึงตอนนี้ที่เริ่มมีคนสนใจมากขึ้น ทำให้คอมมูนิตี้บ้านเราแข็งแรงขึ้นด้วย

หนึ่ง: เหมือนกันบ อย่างผมเองก็มีอีกวงชื่อ Grimtooth ที่เล่นแนวพังก์ ก็เป็นส่วนหนึ่งของซีนพังก์ซึ่งก็ยังมีเพื่อน ๆ ที่จัดงานเล็ก ๆ กันอยู่ แล้วเราก็ยังได้ขึ้นไปเล่นกันอยู่เหมือนเดิมครับ

มายด์: อย่างที่บอกไปเมื่อกี้ว่าหลังโควิดมันทำให้ทุกคนรู้จักกันง่ายขึ้น เวลาเราไปหาเขาหรือเขามาหาเรา มันได้เห็นหน้าค่าตา ได้คุยได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น เพราะฉะนั้นทุกซีนเลยขับเคลื่อนไปพร้อม ๆ กันคล้าย ๆ ครับ

เก็ต: ผมว่าตอนนี้กำแพงของอันเดอร์กราวด์ไทยมันถูกพังออกไปแล้วครับ กลายเป็นว่าเราสามารถสลับไลน์อัพกันได้ อย่างฝั่งอื่นก็อาจจะมาเล่นฮาร์ดคอร์บ้าง ทุกอย่างมันผสมกันได้หมด เหมือนการทำกับข้าว บางเมนูอาจเผ็ดกว่า บางคนอาจไม่กินเผ็ด แต่พอเอามาผสม มามิกซ์กันใหม่ มันก็เข้ากันได้ ไม่มีปัญหา ทุกคนอยู่ร่วมกันได้ครับ

มายด์: จริง ๆ แล้ว Whispers ไม่ได้เป็นวงที่เขียนเพลงเกี่ยวกับศาสนาเป็นหลักครับ แต่ว่าสิ่งเหล่านี้มันอยู่ใกล้ตัวเรา เลยหลุดเข้ามาในเนื้อหาบ้าง เพลงของ Whispers มักจะพูดถึงเรื่องรอบตัว ตั้งแต่เรื่องธรรมดาไปจนถึงเรื่องที่เราแตะต้องไม่ได้ ซึ่งบางอย่างหยิบมาใช้สื่อสารได้ บางอย่างก็อาจไม่ เราต้องเลือกดู

ผมเองอยู่กับเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่เด็ก เรื่องเวรกรรม ชาติหน้า หรือชีวิตหลังความตาย มันอยู่ในวัฒนธรรมที่เราได้ยินมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ พอเอามาเขียนเป็นเนื้อเพลงก็เลยรู้สึกว่าน่าสนุก และถือเป็นชาเลนจ์ของการทำเพลงด้วย ว่าจะเล่าอย่างไรให้คนเข้าใจง่าย ถึงแม้มันไม่ใช่ภาษาแม่ของเรา

อีกอย่าง ผมว่าการหยิบเรื่องใกล้ตัวมานำเสนอมันดูจริงและลึกกว่าไปพยายามเล่าเรื่องฝั่งตะวันตกหรือเรื่องที่เราไม่ได้รู้ลึกจริง ๆ เพราะสิ่งที่เราเจอเอง สัมผัสเอง มันฝังอยู่ในประสบการณ์ตั้งแต่เด็ก ผมมองว่านี่คือสิ่งที่มีความเป็นไทยอยู่ในนั้น และมันทำให้เราเล่าออกมาได้ดีกว่า

จุดประสงค์ของผมเลยคือ อยากโฟกัสกับคนฟังคนไทยด้วย แต่ขณะเดียวกันก็อยากส่งออกไปให้ถึงคนข้างนอกด้วย การใช้เรื่องใกล้ตัวมาเล่ามันจึงกลายเป็นเหมือนสะพานกลาง ที่ช่วยเชื่อมคนฟังทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ครับ

โอเล่: แฟนเพลงฝั่งตะวันตกเขาก็เก็ตนะครับ เขาดูว้าวกับสิ่งที่เราทำ อย่างที่มายด์บอกว่าวัฒนธรรมพุทธเป็นสิ่งที่เรารับอิทธิพลมาตั้งแต่เด็ก มันอยู่รอบตัวเราอยู่แล้ว เราไม่ได้หยิบมุมที่ยากเกินไปมาพูด แต่เลือกสิ่งที่เข้าใจง่าย อย่างเรื่องเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งเป็นสิ่งที่คนต่างชาติโดยเฉพาะฝรั่งที่สนใจ เอเชียก็สนใจอยู่แล้ว

ผมมองว่ามันแปลกดีด้วยที่เรามาจากไทย เพราะวงฮาร์ดคอร์จากไทยอาจยังไม่ค่อยมีใครหยิบเรื่องแบบนี้มาเล่า เราเลยอยากลองทำอะไรใหม่ ๆ อย่างการพูดถึงยมโลกหรือแนวคิดที่แตกต่าง เพื่อทดลองและสร้างสิ่งที่สดใหม่ขึ้นมาครับ

มายด์: ฝั่งคริสต์เองเขาก็มีคริสเตียนเมทัลใช่ไหมครับ แต่ของเรายังมีไม่กี่วงที่หยิบเรื่องศาสนาบ้านเกิด ไม่ว่าจะพุทธ มุสลิม เซ็น หรือเต๋า มาทำเพลง ซึ่งผมมองว่ามันทำได้ ถ้าเราปรุงให้ง่ายต่อการเข้าถึง เพียงแต่เรื่องพวกนี้มันค่อนข้างเซนซิทีฟ ต้องระวังไม่ให้กลายเป็นการเหมารวม อย่างเช่นเรื่องอิสราเอลกับกาซา ผมเองก็ไปศึกษามาบ้าง แล้วหยิบมาถ่ายทอดในเพลงด้วยการตั้งคำถามว่า ทำไมถึงมีกลุ่มคนที่พยายามทำให้เกิดสงคราม แต่ตัวเองไม่เคยลงมาอยู่ในสนามจริงเลย

โดยหลัก ๆ แล้ว ผมเป็นคนเขียนเนื้อเพลง ส่วน Jem จากวง Speed ก็มาช่วยเรียบเรียงบ้าง เพราะผมไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษขนาดนั้น แต่ก็พยายามสื่อสารให้ได้ว่าผมอยากจะพูดอะไร เนื้อหามันเลยกว้าง ทั้งเรื่องศาสนา สงคราม มิตรภาพ หรือสิ่งที่ผมหรือคนรอบตัวได้เจอจริง ๆ มันปนกันไป แล้วสุดท้ายเราก็พยายามดึงทุกอย่างให้อยู่ตรงกลาง ตามคอนเซปต์ของชื่ออัลบั้มครับ

เก็ต: คำถามที่เจอบ่อยเวลาไปทัวร์ก็คือ เขาจะถามว่ายมโลกหมายความว่าอะไร เราก็จะอธิบายตรงนั้นให้ เพราะเหมือนเขาพยายามศึกษาพวกเราในระดับหนึ่งอยู่แล้ว และพอเราอธิบาย เขาก็จะเข้าใจมากขึ้น ซึ่งก็น่าจะเชื่อมโยงกับสิ่งที่อยู่ในเนื้อเพลงและโชว์ที่เราเล่นครับ

มายด์: มันก็เลยกลายเป็นจุดขายของวงไปในตัว ตั้งแต่ Narok Bon Din มาจนถึง Yom-Ma-Lok เราใช้ภาษาไทยทั้งหมด มันคือสิ่งที่ทำให้วงเรามีเอกลักษณ์ครับ

มายด์: อิทธิพลที่ได้รับก็มีเยอะนะครับ เอาจริง ๆ สำหรับตัวผมเอง ผมก็ได้แรงบันดาลใจจากหลายวง แต่ไม่ทั้งหมด เพราะเขาอาจเขียนจากสิ่งที่เขาเจอ ใช้ชีวิตแบบเขา แต่ผมไม่ได้เจอหรือเติบโตมาแบบนั้น มันก็เลยมีบางอย่างที่ผมรับมาเป็นอิทธิพล แต่ก็มีหลายอย่างที่ผมเลือกจะไม่ดึงมาใช้

ผมมองว่าศิลปะมันเล่นได้ครับ เราไม่จำเป็นต้องก็อปปี้ทั้งหมด แต่สามารถหยิบสกิลบางอย่างออกมาใช้ แกนกลางจริง ๆ ก็คือดนตรีที่เราทำกันมาตลอด ไม่ใช่ว่าเพิ่งเริ่มทำแล้วก็เลียนแบบเขาทันที เรามีหลายอย่างที่อยากนำเสนอต่อทั้งคนฟังในไทยและต่างประเทศ คำถามคือจะทำยังไงให้มันแตกต่าง แต่ยังเป็นเราอยู่ด้วย

แต่เราก็ pay respect เขามาเสมอครับ ตั้งแต่ช่วง Narok Bon Din แล้ว เรารู้สึกว่าคน ๆ นี้เป็นบุคลากรที่มีคุณค่า ทั้งในแง่วงดนตรีเอง ทั้งในแง่ผลงานเพลง รวมถึงตัวตนในฐานะศิลปินที่คนยกย่อง เราเลยมองว่าเขาเป็นคนที่เราเคารพและนับถือจริง ๆ ก็เลยคิดว่าอยากจะทำอะไรแบบนี้บ้าง เหมือนกับหลาย ๆ วงที่มีต้นแบบหรือไอดอลนั่นแหละครับ

หนึ่ง: ส่วนตัวผมนะ ผมก็อยากเล่นกับเพื่อนผมนี่แหละ อย่าง The Darkest Romance ผมเห็นวงนี้มาตั้งแต่หลายสิบปีก่อน จนวันนี้เติบโตมาขนาดนี้ก็ดีใจกับเขามาก ๆ อยากมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนกันบ้าง ไม่ว่าจะเล่นด้วยกันหรือแชร์เวทีเดียวกันก็ดี มันเหมือนนึกภาพว่าเราขึ้นโชว์พร้อมกันได้ แบบ Bodyslam กับ Big Ass อะไรเงี่ย

มายด์: ถ้าสำหรับผมก็คือ King Nine ครับ ผมชอบมาก มันเป็นวงจากนิวยอร์กที่ตอนผมเริ่มฟังเพลงฮาร์ดคอร์ใหม่ ๆ ผมรู้สึกว่าทุกคนรอบตัวก็ชอบเหมือนกันหมด แล้วผมเองก็อินมาก ๆ ถึงขั้นคิดว่า กูจะไปดูงาน ไปอยู่ใน pit ของวงนี้ให้ได้

มายด์: เคยทำครับ เรามีเพลงที่ทำ split กับวงญี่ปุ่น Gates of Hopeless เคยทำเพลงที่เนื้อหาการเมืองจ๋าเลย แต่กลับรู้สึกว่าเขียนเรื่องอื่นมันสนุกกว่าสำหรับผม ถึงแม้ผมจะอินกับการเมืองมาก ๆ และก็ยังรับรู้อยู่ทุกวันนี้ว่าสถานการณ์เป็นยังไง แต่ด้วย mindset ของผม ผมไม่อยากยัดเยียดให้ใครต้องคิดเหมือนผม รู้สึกเหมือนผม หรือแสดงออกเหมือนผม

การเมืองเป็นเรื่องของแต่ละคนครับ ผมไม่อยากเลือกข้างให้ใคร เพราะแค่เราอยู่ตรงกลาง บางทียังถูกหาว่าเลือกข้างเลยด้วยซ้ำ เพราะงั้นสิ่งที่ผมอยากเน้นคือเรื่อง human being การให้เกียรติกันและกัน ซึ่งมันเป็นมาตรฐานพื้นฐานที่น่าจะนำมาซึ่งความสงบสุขมากกว่า เราไม่มีใครชอบสงครามหรอกครับ คงไม่มีใครชอบความเกลียดชัง

โอเล่: ผมมองว่าการเมืองมันก็เป็นส่วนหนึ่งของฮาร์ดคอร์อยู่แล้วครับ เพราะรากของมันก็เริ่มต้นจากตรงนั้น แต่ในยุคปัจจุบัน ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและความคิดเห็นมันเยอะขึ้น เราในฐานะวงก็เลยเลือกที่จะไม่หยิบเรื่องละเอียดอ่อนมาพูดมากเกินไป เพื่อไม่ให้ดูเหมือนว่าเรากำลังเลือกข้างหรือเทกไซด์

ผมไม่ได้หมายความว่ามันไม่สำคัญนะครับ แต่สำหรับเรา การจะบอกว่าวงนี้คิดแบบนั้น วงนี้คิดแบบนี้ มันไม่แฟร์ เพราะจริง ๆ แล้วสมาชิกในวงแต่ละคนก็มีทั้งสิ่งที่เห็นตรงกันและไม่ตรงกัน ฟีดแบ็กบางอย่างก็แรงเกินไป จนเราอาจไม่รู้ว่าจะรับมือยังไง เพราะฉะนั้น เราเลยเลือกที่จะพูดในสิ่งที่เรารับมือกับมันได้จริง ๆ ครับ

แต่เราก็ไม่ได้บอกนะครับว่าวงที่ทำแบบนั้นหรือคิดแบบนั้นเป็นวงไม่ดี ผมมองว่ามันคือการอยู่ร่วมกันในสังคม ความแตกต่าง ความไม่เหมือนกันนี่แหละคือสิ่งที่ถูกต้องอยู่แล้วครับ

โอเล่: อย่างแรกเลยคือเพื่อนครับ Ricky หรือ Co-Owner ของค่าย Flatspot Records เป็นคนเซ็น Speed มาก่อน แล้ว Speed ก็เป็นเหมือนตัวอย่างให้เห็นว่าการเติบโตของวงฮาร์ดคอร์สามารถไปได้ไกลแค่ไหน ทีนี้เขาเองก็คงมองว่า Whispers ก็มีโอกาสเติบโตได้เหมือนกัน เขาเลยวิดีโอคอลมาคุยกันถึงทิศทาง ว่าจะทำยังไงต่อไปได้บ้าง

ซึ่งพวกเรารู้สึกขอบคุณและเป็นเกียรติมาก ๆ ที่ได้โอกาสนี้ เพราะ Flatspot Records ทำให้เราได้ออกไปเจอโลกกว้างมากขึ้นครับ การเป็นวงมันไม่ได้มีแค่เรื่องทำเพลงอย่างเดียว แต่มันยังมีเรื่องภาพลักษณ์ การโปรโมต มาร์เก็ตติ้งเข้ามาเกี่ยวด้วย ซึ่งตรงนี้บอกตรง ๆ เลยว่าตอนแรกเราเริ่มจากศูนย์เลย

อย่างเวลาค่ายกับ Ricky คุยกัน ก็จะมีผมกับพี่แก๊บเข้าไปช่วยชนไอเดียก่อน พอได้แนวทางแล้วก็มาย่อยต่อกับมายด์ ทุกคนก็ออกไอเดียกัน พอเสร็จผมก็เอาไปสรุปแล้วย่อยกลับไปที่ค่ายอีกที มันไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนอะไรขนาดนั้น เพราะเรารู้จักกันอยู่แล้วมันเลยง่ายขึ้น เหมือนเรารู้สไตล์กันว่าใครคิดแบบไหน ใครเป็นยังไงครับ

อัลบั้ม Yom-Ma-Lok ตอนที่เราทำออกมา เราก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะดีหรือไม่ดี แต่ Ricky เป็นคนบอกเลยว่าเชื่อกูเหอะ มันดี มันเจ๋งแล้ว อย่าไปคิดมาก สำหรับกูแฮปปี้แล้ว ซึ่งตรงนั้นก็ทำให้เรามั่นใจขึ้น สุดท้ายที่อัลบั้มได้ออกมาให้คนได้ฟังกันในวันนี้ มันก็คือผลลัพธ์จากเวลาที่พวกเราใส่ลงไปจริง ๆ ครับ

มายด์: ด้วยความช่วยเหลือของพี่แก็บครับ เพราะพี่แก็บเป็นคนจัดงานที่ไทยซะส่วนใหญ่ อย่างที่บอกว่า Ricky จาก Pestport เล่นอยู่วง Backtrack ซึ่งเคยมาไทยประมาณ 2–3 รอบ พี่แก็บก็เป็นคนจัดทั้งหมด เราก็ได้รู้จักกัน ได้แฮงเอาท์ คุยกัน มันเลยทำให้ Whispers ไม่ได้รู้สึกว่าการทำงานมันยากอะไร รู้สึกสบายใจที่ได้ทำงานร่วมกัน อย่างน้อยพอมีคนรู้จัก มันก็ช่วยให้เราทำงานง่ายขึ้นตามสไตล์คนไทยที่เวลาเจอคนคุ้นเคยก็อุ่นใจขึ้น

และที่สำคัญคือเขาไม่เคยเข้ามายุ่งกับงานของวงเลย ไม่เคยบอกให้เปลี่ยนตรงนี้ตรงนั้น ทุกอย่างยังเป็นของเราเต็มที่ครับ ด้วยความช่วยเหลือของวง Speed ด้วยครับ มันเลยทำงานง่ายขึ้นไปอีก

เก็ต: เขาก็เป็นคนที่ช่วยลงเงินก้อนหนึ่งเพื่อให้เราทำมิวสิกวิดีโอโปรโมตวง ให้มันดูอินเตอร์มากขึ้น รวมถึงดูแลเรื่อง Spotify ให้ดูโปรขึ้น จัดไทม์ไลน์ให้เรา ซึ่งถ้าเราทำกันเองแบบ DIY ทั้งหมดก็คงจะชิวไปเรื่อย ๆ แบบปีนึงยังไม่เสร็จ (หัวเราะ)

พออัลบั้มออกมา เขาก็เสนอว่าให้เราไปเป็นวงเปิดในทัวร์ของ Speed ดูก่อน ว่าฟีลมันโอเคไหม วิธีการทำงานของทัวร์ฮาร์ดคอร์แบบนี้พวกเราเอ็นจอยหรือเปล่า และเขาก็คอยดูฟีดแบ็กจากคนดูด้วยว่าสนุกกับเราไหม จนสุดท้ายเราก็เลยได้โอกาสไปทัวร์ยุโรปกับ Speed เป็นครั้งแรกครับ

โอเล่: ถ้าในมุมผมนะ เรื่องนักดนตรีมันก็มีหลายด้านครับ วงไหนสกิลดีก็เด่นในแบบนั้น วงไหนเพอร์ฟอร์แมนซ์ดีบนเวทีก็เด่นไปอีกทาง แต่ผมมองว่าคนไทยสู้ได้ครับ วงไทยสู้กับต่างประเทศได้เลย เพราะจากที่ผมเห็นมา คนไทยไม่กระจอกเลยจริง ๆ เก๋ามากด้วยซ้ำ

ผมพูดตรง ๆ เลยว่า ผมเห็นวงในไทยหลายวงที่ไม่ได้เก่งน้อยกว่าต่างประเทศเลย ไม่ว่าจะเป็นสายอันเดอร์กราวด์ ฮาร์ดคอร์ เดธคอร์ หรือแนวอื่น ๆ ก็ตาม สิ่งเดียวที่ผมว่าคนไทยยังสู้ไม่ได้จริง ๆ ก็คือเรื่องการสื่อสาร เพราะภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาหลักของเรา แล้วก็มีความต่างทางวัฒนธรรมที่ต้องเรียนรู้ ตรงนี้แหละที่ผมได้ซึมซับระหว่างการไปทัวร์ ได้เห็นชัดว่าความต่างเหล่านี้สำคัญ แต่ก็เป็นสิ่งที่เราพัฒนาได้ครับ

มายด์: เรื่องดนตรีมันก็อาจจะต่างกันนิดหน่อย เพราะเราไม่ได้โตมาในสภาพแวดล้อมแบบนั้น ที่มีเวลาและโอกาสให้เสพงานศิลป์ได้ตลอดเวลา บ้านเรามันก็มีความต่างตรงนี้ครับ หลายคนยังต้องปากกัดตีนถีบ (หนึ่ง: มันคือความเหลื่อมล้ำ เรื่องคุณภาพชีวิต) ซึ่งพวกผมก็ผ่านมาก่อน

บางทีเพื่อน ๆ ที่ไปดูคอนเสิร์ตก็อยากจะซื้อของของวงที่มาเล่นด้วย ตรงนี้มันก็มีความต่างครับและมันส่งผลมากจริง ๆ อย่างเช่นเราไม่สามารถจัดงานได้ทุกอาทิตย์หรือทุกเดือนได้ ต้องมีการเว้นช่วงบ้าง เพื่อให้คนในไทยได้มีเวลารู้ข่าว เก็บเงิน เตรียมตัว หรือแม้กระทั่งลาหยุดไปดูโชว์

ต่างกับฝั่งต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่เจริญแล้ว วันจันทร์คุณยังไปดูไลฟ์เฮาส์ได้ โชว์ SOLD OUT และวันอังคารก็ยังไปทำงานต่อได้ แต่ในไทยจะทำแบบนั้นยากมากครับ จะทำได้ก็ต้องเป็นโชว์สเกลใหญ่มาก ๆ แต่ถ้าเป็นโชว์เล็ก ๆ แบบใต้ดิน มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะ SOLD OUT ในวันธรรมดา ส่วนใหญ่ก็ทำได้แค่เสาร์–อาทิตย์เท่านั้นเองครับ

เก็ต: บางทีเราต้องทำงานพาร์ทไทม์ 2–3 วัน เพื่อเก็บเงินไปดูคอนเสิร์ตสักงานหนึ่ง อาจจะทำงานเสิร์ฟตามร้านอาหารฟาสฟู๊ด ซึ่งสำหรับคนไทยทั่วไป มันคือการเก็บเงิน 600 บาทเพื่อไปดูโชว์สักครั้งหนึ่ง มันไม่ง่ายเลยครับ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่คนจัดงานต้องคิดเลยครับ ว่าจะจัดงานวันไหนดี อย่างน้อยก็ต้องเป็นวันศุกร์หรือเสาร์ เพื่อให้คนสะดวก แล้วก็ต้องเผื่อเวลาโปรโมทให้มากพอ เพื่อที่คนจะได้มีเวลาหาเงิน เก็บเงินไว้ซื้อตั๋วหรือของวงครับ

หนึ่ง: ห้องซ้อม ไม่ก็ Live House

โอเล่: มันก็อาจดูเห็นแก่ตัวถ้าพูดแค่ว่าต้องมีห้องซ้อม แต่ผมมองว่าถ้ามีพื้นที่กลางที่มันไม่ใช่แค่ห้องซ้อม แต่มาเป็นพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนจริง ๆ ได้ด้วย มันอาจจะสร้างคอมมูนิตี้ขึ้นมาได้ ผมว่ามันจะมีค่ามากกว่านะครับ

มายด์: ยกตัวอย่างอย่างสนามบาสเก็ตบอลก็เป็นฟรีสเปซ ที่ไทยเองก็มีทั้งภาครัฐและเอกชนทำบ้างเหมือนกัน แต่ถ้าไปดูที่อเมริกา เขาทำพื้นที่ให้เด็กใช้จริง ๆ เด็กก็เข้ามาฝึก มาลองเล่นกันได้ และมันจะต้องมีคนอินชาร์จสักคน เป็นเหมือนเฮดคอยดูแล ทำความเข้าใจและเชื่อมกับฝั่งรัฐด้วยครับ

เก็ต: Youth Center เลย อย่างลานอเนกประสงค์แบบนี้ วงฮาร์ดคอร์ก็ไปเล่นได้ พ่อแม่ยังจูงลูกไปดูได้เลย แค่ปรับโชว์ให้เบาลงหน่อย มันก็ทำให้เข้าถึงคนได้กว้างขึ้น แล้วที่สำคัญตั๋วก็จะถูกลงเยอะ เพราะเป็นพื้นที่ของรัฐ ค่าเช่าก็อาจจะถูกลงหรือบางทีก็ฟรีด้วยครับ

มายด์: การศึกษา เศรษฐกิจ มันเชื่อมโยงกันหมดเลยครับ โดยเฉพาะเรื่องพื้นที่ มันควรมีหน่วยงานที่เข้ามาช่วยดูแลด้านเยาวชนโดยตรง กำหนดทิศทางหรืออย่างน้อยก็ชี้ทางให้เห็นว่าดนตรี ศิลปะ มันก็สำคัญได้พอ ๆ กับอาชีพอื่น ๆ

คนเป็นหมอหรือวิศวกรสำคัญก็จริง แต่คนทำเพลง คนวาดรูปก็มีคุณค่าไม่ต่างกัน ขอแค่ได้ลองจริง ๆ แล้วผลลัพธ์มันจะตามมาเอง ถ้าเป็นผลลัพธ์ที่ดี ผมว่าพ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนก็น่าจะเปลี่ยนมุมมองใหม่ ว่าสิ่งที่เคยคิดว่าไม่จำเป็นหรือไร้สาระ จริง ๆ แล้วมันมีคุณค่าในตัวมันเองครับ

หนึ่ง: จริง ๆ พวกผมเองก็โตมาในพื้นที่ที่ไม่ได้ดีอะไรนักหรอกครับ แต่ถ้ามีพื้นที่แบบ Youth Center อยู่ใกล้ ๆ ผมว่าเด็ก ๆ เขาจะสามารถเลือกได้เลยว่าจะไปทางที่ดีหรือไม่ อย่างน้อยถ้ามีพื้นที่ดี ๆ ที่ให้เขาสนใจจริง ๆ มีศิลปะ มีดนตรี ฟุตบอล บาสเก็ตบอล หรือกิจกรรมต่าง ๆ มันก็จะช่วยให้เขามีทางเลือกที่สร้างสรรค์กว่าเดิมครับ

Whispers Hardcore Yom‐Ma‐Lok Narok Bon Din Holding On Records Flatspot Records Music Exchange

โอเล่: เอาเรื่องแรกเลยครับ ปกติบ้านเราเวลาเรานั่งคุยกัน เท้าก็จะวางข้างล่างใช่ไหม แต่ฝรั่งเขาเหมือนติดเป็นนิสัยว่าต้องเอาเท้าวางบนโต๊ะ มันเป็นเรื่องปกติของเขาเลย ตอนแรกเราก็แบบ เฮ้ย เอาเท้าวางบนโต๊ะได้เหรอ เพราะของไทยเรามันถือ แต่พอไปอยู่ตรงนั้นจริง ๆ ก็ต้องกลมกลืนกับเขาเหมือนกัน สุดท้ายก็เข้าใจว่า อ๋อ โอเค มันทำได้ บางครั้งเราก็ทำตามบ้างครับ

มายด์: ฝรั่งเค้าไม่ค่อยยิ้ม ผมยิ้มให้ผมกลายเป็นแบบคนปัญญาอ่อน (หัวเราะ) แต่ก็เข้าใจได้นะ โตมากันคนละแบบ ใส่รองเท้าเข้าบ้านเงี่ย ผมก็เพิ่งเคยทำเป็นครั้งแรก กูเดินใส่รองเท้าเข้าบ้านใครอยู่วะเนี่ย จะเสียมารยาทป่าววะ (หัวเราะ)

หนึ่ง: แต่ก็ดูไม่สกปรกนะ (หัวเราะ)

เก็ต: เจอเหมือนลุงเกษียณอายุประมาณ 70 อยู่ดี ๆ โผล่มาพูดไทยกับเรา ตอนนั้นไปเล่นที่อเมริกา ลุงบอกว่าเคยทำงานที่ไทย แล้วก็ชอบอยู่ปากช่องอะไรแบบนั้น เราก็ไม่คิดเลยว่าอายุเท่านี้แล้วจะมาดูคอนเสิร์ตฮาร์ดคอร์ด้วย ที่เขามาก็เพราะเห็นวงเรามีคำว่า ‘Bangkok, Thailand’ ต่อท้าย เขาเลยรู้สึกว่า เออ เคยทำงานที่นี่ งั้นมาดูหน่อยว่าพวกนี้เป็นยังไง มาแถวบ้านเขาได้ยังไง สุดท้ายลุงก็มาซื้อเสื้อที่ด้านหน้าเป็น Whispers ด้านหลังเป็น Bangkok Evil Core แล้วก็บอกว่าเป็นกำลังใจให้ ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันที่บ้านลุง

มายด์: ที่นั่นเขาเลิกงานกันไวมาก หมายถึงว่าเลิกงานแล้วก็ยังมีเวลาไปทำอย่างอื่นต่อ ไปดูคอนเสิร์ต ไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้เยอะ มันเลยดูเหมือนว่ามีอิสระเสรีในการใช้ชีวิต ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ในกรอบมากเกินไปเหมือนบางทีบ้านเรา

เอส: ช็อกสุดคือต้องกินขนมปังทุกวันเนี่ยแหละ ไม่ชอบเลย

โอเล่: ชอบกินขนมปังมาก (หัวเราะ)

เก็ต: อีกช็อกหนึ่งเลยคืออากาศครับ บางทีหนาวมากจนเราไม่ทันได้เตรียมตัว เพราะเราต้องเล่นทุกวันและย้ายเมืองทุกวัน บางเมืองอากาศร้อน บางเมืองหนาว บางที่ก็ชื้น ไม่เหมือนกันสักที่เลยครับ

โอเล่: ไม่เลยครับ เพราะผมไม่คิดว่าตัวเองดังขนาดนั้น (ทุกคนหัวเราะ) ผมมองว่าความเป็นไทยมันถูกฝังอยู่ในตัวตนเราอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเลยไม่ได้รู้สึกว่าต้องแบกหรือต้องกดดันอะไรเป็นพิเศษ

มายด์: เอาจริง ๆ มันก็เป็นกิมมิคด้วยซ้ำ มันมีอยู่สองด้านละ ด้านหนึ่งก็คือการตลาดของพวกเรา แต่อีกด้านหนึ่งก็คือตัวตนที่แท้จริงของเราเอง แต่ถ้าถามว่าผมคิดว่าตัวเองไม่ได้มีชื่อเสียงขนาดนั้น เราไม่ได้อยู่ในสื่อหลักเลย เราอยู่ในสื่อรองเสมอ

หนึ่ง: ผมว่า MILLI เขาแบกกว่าผมอีก (ทุกคนหัวเราะ) เวลาไปงานอีเวนต์ที่ไม่เกี่ยวกับซีนฮาร์ดคอร์เลย อย่างงาน Nike หรืออะไรแบบนั้น ผมก็เจอคนรู้จัก Whisper เยอะนะครับ อย่างที่ฝั่งมาร์เก็ตติ้งที่ออสเตรเลียเขายังถามเลยว่า อยู่วง Whispers ใช่ไหม กำลังจะไปเล่นที่ออสเตรเลียเปล่า ตอนนั้นก็ตกใจเหมือนกันว่าเขารู้จักเราได้ยังไง สุดท้ายก็กลายเป็นว่าสิ่งที่เราทำออกมา มันส่งต่อออกไปจริง ๆ เหมือนสื่อหรือแอดทุกอย่างที่เราปล่อย มันทำให้คนข้างนอกเริ่มเห็นเรามากขึ้นครับ

เก็ต: เราไม่ได้ว่าเราเป็นที่หนึ่งของ Bangkok เราแค่รีพรีเซ็นต์ว่าเราอยู่ที่นี่ แค่ตอนนี้สิ่งที่พวกเราทำมันเริ่มออกผลแล้ว คนก็เลยมองเห็น แต่จริง ๆ ตอนที่เราปลูกไม่มีใครเห็นก็ไม่เป็นไร เพราะเรายังอยู่ตรงนี้เหมือนเดิม เราแค่ปลูกไว้หลังบ้านตัวเองเท่านั้นเอง จนวันนี้พอผลมันออกมาคนอื่นเริ่มเห็นมากขึ้น ก็รู้สึกขอบคุณมากที่เห็นและยอมรับพวกเรามากขึ้นครับ

มายด์: ถูกครึ่งหนึ่งไม่ถูกครึ่งหนึ่ง เพราะว่าคนเราไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะไปดูไลฟ์โชว์ได้และชอบมาก ๆ เพราะคุณภาพชีวิตเขาเอื้อ แต่บางคนอาจไม่สะดวก ซึ่งผมมองว่าเราต้องให้ความสำคัญกับทั้งสองแบบ เราต้องโฟกัสทั้งการเล่นสดและ Audio ควบคู่กันไปในการทำงานครับ

หลายคนอาจคิดว่าเราทุ่มไปที่โชว์ 100% แต่ Audio แค่ครึ่งหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เลย เรารู้จักวงหนึ่งจาก Audio มันทำให้เราอยากไปดูโชว์ หรือในทางกลับกัน บางคนอาจจะเจอวงจากโชว์ก่อนแล้วค่อยกลับมาฟังเพลง มันสลับกันได้หมด ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมการเสพของแต่ละคนครับ

ถ้ามองใกล้ตัวก็อย่างที่ญี่ปุ่นครับ ที่นั่นมีไลฟ์โชว์แทบทุกอาทิตย์ วงใหม่ ๆ หลายวงเขาไม่มีวิธีโปรโมตออนไลน์มากนัก ไม่มีเงินไปยิงแอดจากนายทุน เขาก็ใช้ไลฟ์โชว์เป็นวิธีขายวงตัวเองแทน อาจจะมีแค่ซีดีติดมือไปขายบ้าง ไม่ได้มีอย่างอื่นมากนัก เพราะฉะนั้นการได้ไปดูไลฟ์โชว์ก็คือการได้สัมผัสตัวตนของวงโดยตรง แต่ในอีกด้าน ถ้าวงไหนปั้นจากออดิโอขึ้นมาได้ แล้วต่อยอดจนคนอยากมาดูโชว์สด ก็ดีเหมือนกันครับ จริง ๆ แล้วมันดีทั้งสองแบบ

หนึ่ง: มันก็มีเหมือนกันครับ อย่างเคสหนึ่งที่ผมเจอเป็นคนมีอายุหน่อย เขาเป็นแฟนที่ซัพพอร์ตเราทุกอย่างเลย แต่เขาไม่เคยได้ไปดูโชว์สักครั้งเพราะไม่มีเวลา แต่ก็ยังเชียร์เราเต็มที่

โอเล่: ผมว่ามันแล้วแต่คนชอบจะเสพเลยครับ มันมีอยู่แล้วแหละ คนที่เป็นสายฟังจริงจังก็อยากฟังอะไรที่ชัด ๆ คม ๆ แต่บางคนก็ชอบฟีลแบบซาวด์กระป๋องเหมือนอัดอยู่ในห้องน้ำ ผมว่ามันตัดสินกันไม่ได้หรอกครับ ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน ถ้าใครชอบฟังออดิโอ ผมก็อยากแนะนำให้ลองออกมาดู Whispers เล่นสดบ้าง จะได้สัมผัสบรรยากาศใหม่ ๆ ที่แตกต่างออกไปครับ

โอเล่: ผมว่าตอนนี้มันทำได้แล้วนะ แต่ในมุมมองผม ฮาร์ดคอร์ทุกวันนี้มีเยอะมากจริง ๆ เสน่ห์ของคนฟังฮาร์ดคอร์คือมันต้องขุดครับ ต้องไปค้นหาเอง ผมไม่รู้ว่า AI จะขุดเจอได้แค่ไหนนะ อาจจะทำได้ แต่ผมว่ามันไม่ได้ฟังทั้งหมดแบบคนจริง ๆ ฟัง

เพราะเสน่ห์ของฮาร์ดคอร์คือยิ่งเราฟังยิ่งเจออะไรใหม่ ๆ เราขุดไปเจอท่อนที่ชอบ แล้วก็หยิบตรงนั้นมาต่อกันกับคนที่อินเหมือนเรา ซึ่งผมว่าตรงนี้แหละที่ AI ทำได้ยาก มันเป็นเรื่องของความรู้สึกล้วน ๆ ถึงจะทำออกมาได้ แต่มันก็ยังต่างจากสิ่งที่คนจริง ๆ สร้างอยู่ดีครับ ผมว่าเพลงที่เราได้ยินกันอยู่ทุกวันนี้ มันยังทำให้เรารู้สึกได้นะครับ ว่าอันนี้แข็งไป อันนี้อ่อนไป หรืออันนี้นุ่มไป ผมมองว่าไม่ว่าใครจะทำเพลงยังไง สุดท้ายมันก็ยังมีอารมณ์ที่เป็นตัวนำอยู่มาก ๆ

มายด์: เอาจริง ๆ ผมไม่ได้ปฏิเสธ AI นะ มันช่วยให้เราทำงานง่ายขึ้นได้ แต่ธรรมชาติของมนุษย์กับเครื่องมันต่างกันอยู่ดี ผมว่าเราอาจต้องหาจุดกึ่งกลางให้ได้ ใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยเลือก ช่วยทำงานบางอย่าง แต่สุดท้ายความเป็นมนุษย์ยังมีบางอย่างที่คอมพิวเตอร์เลียนแบบได้ไม่หมด เหมือนดอกไม้พลาสติกกับดอกไม้จริง อีกสิบปีข้างหน้าเราอาจยังไม่รู้ว่าอะไรจะเปลี่ยนไป แต่หัวใจของความรู้สึกยังไงก็คงต่างกัน

หนึ่ง: ผมว่ามนุษย์สามารถขุดลงไปถึงรากของมันได้ อย่างฮาร์ดคอร์เอง ส่วนตัวพวกเราฟังแล้วก็จะอยากหาอะไรใหม่ ๆ ลงไปอีก ขุดลึกลงไปเรื่อย ๆ ส่วนตัวเวลาเราทำเพลงกัน ผมกับโอเล่ก็ยังอัดแบบดิจิทัลง่าย ๆ ใส่มือถือ แล้วส่งต่อให้กันออนไลน์เลย ไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์มานั่งเขียนหรือกดโปรแกรมอะไรขนาดนั้น คือมันออกมาจากจินตนาการตรง ๆ เลยว่าอยากให้เป็นแบบไหน

มายด์: ที่เราทำกันแบบแมนนวลก็เพราะว่าไม่มีเงินครับ คอมพิวเตอร์ยี่ห้อไหนก็เข้าได้นะครับ (หัวเราะ) พวกเราก็ไม่มีเงินและก็ทำไม่เป็นด้วย แต่เข้าได้นะครับ (หัวเราะ)

Whispers Hardcore Yom‐Ma‐Lok Narok Bon Din Holding On Records Flatspot Records Music Exchange

โอเล่: Fordecision, The Shredder, Chain Fight สามวงครับ

มายด์: Grimtooth, Monument X วงเดียวในไทยที่เป็นวง straight edge คือไม่ดูดไม่ดื่มครับ, REXREZ ดีครับ เป็นวงพี่แก็บ Holding On (หนึ่ง: เฮ้ย ไม่ต้องอวยกูมาก)

เอส: หลัก ๆ ก็วงใน Holding On ครับ

มายด์: 38 Special, Obskurus, Eternal Hate, Skewer, Fernentive, Soul Of Sin, Mutation, Crusher, Speech Odd และ High Voltage ทั้งหมดนี่คือวงหน้าใหม่เลยครับ

เก็ต: ผมแนะนำ The Shredder ละกันครับเพราะเขาอยู่เชียงใหม่ เขาก็ทำซีนฮาร์ดคอร์ที่เชียงใหม่เหมือนกัน เริ่มมีแฟนเพลงและฐานคนดูเยอะขึ้น ทางทีม The Shredder ก็ทำทีม Lanna Rot Production เมื่อก่อนวงเมืองนอกมาลงแค่ที่กรุงเทพฯ แต่ตอนนี้เขาเริ่มไปลงที่เชียงใหม่ด้วย มาประเทศไทยก็จะมีสองโชว์ละ

หนึ่ง: Ten Baht Per Hour, A-Zero, Born From Pain, Not Proven และ License To Kill

มายด์: ตอนนี้เรายังมีทัวร์เหลืออยู่ยาวไปจนถึงต้นปีหน้า เลยคิดว่ามันใกล้ถึงเวลาที่จะต้องเริ่มทำผลงานใหม่แล้ว แผนก็ยังเหมือนเดิม คือทำไปพร้อม ๆ กันทั้งการทัวร์และการเขียนเพลง เล่นโชว์เสร็จก็นั่งเขียนเพลงต่อไปเรื่อย ๆ เชื่อว่าปีหน้าจะเป็นปีที่มีเป้าหมายใหม่ ๆ และผลงานใหม่ ๆ ให้ทุกคนแน่นอนครับ

โอเล่: สำหรับผม ก้าวต่อไปมันไม่ใช่เรื่องที่วงจะมาตัดสินได้หรอกครับว่าจะเป็นยังไง พวกผมคงไปต่อทีละก้าวเป็นสเต็ปบายสเต็ปมากกว่า สิ่งที่เราต้องโฟกัสจริง ๆ คือการรักษามาตรฐานของเราให้ได้ ทั้งเรื่องร่างกาย เรื่องการเล่นโชว์ เรื่องดนตรี ถ้าเรายังทำออกมาได้ดีเหมือนเดิม ผมว่ามันก็คือสิ่งที่ดีที่สุด

มายด์: คาดหวังให้คนยังซัพพอร์ตเราต่อไปครับ อยากให้ซีนมันโตพร้อมกันอยากให้ทุกคนไปด้วยกัน อยากให้มีวงไทยไปทัวร์ด้วยกันเยอะ ๆ เราได้ไปบุกเบิกมาแล้ว

เก็ต: ทุกที่ที่เราไปมันคือครั้งแรกหมดเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นแคลิฟอร์เนีย หรืออย่างล่าสุดที่โปสเตอร์เพิ่งประกาศโชว์ที่ FYA ตอนมกรา ทุกอย่างมันคือเฟิร์สไทม์ของพวกเราทั้งนั้น มันเหมือนเราได้ไปบุกเบิกในระดับหนึ่ง แต่ก็อยากให้วงอื่น ๆ ตามมาเร็ว ๆ ด้วย

เราไม่ได้อยากให้ใครมามองว่า Whispers เป็นตัวแทนอะไร เราอยากให้ทุกคนช่วยกัน ร่วมมือกัน แล้วทำให้ซีนมันแข็งแรงไปด้วยกันมากกว่า ถ้าเป็นแบบนั้น ทุกอย่างก็จะยิ่งมีมาตรฐานมากขึ้นครับ

มายด์: อยากทำอะไรทำเลย อยากฟังฟังเลย อยากมันมันได้เลย ถ้าสนุกก็ทำ แต่ถ้าต้องฝืนตัวเองก็อย่าทำ ฮาร์ดคอร์มันไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่อตัวเราเองล้วน ๆ

โอเล่: อย่าคิดเยอะครับ เพราะตอนที่พวกเราเริ่มทำวงมันไม่มีเหตุผลอะไรซับซ้อนเลย นอกจากความเป็นเพื่อน อยากเล่นด้วยกันกับเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ แค่นั้นเอง

เก็ต: ผมอยากเห็นฮาร์ดคอร์เฟสติวัลในประเทศไทยมีวงเยอะ ๆ เหมือนต่างประเทศ ที่มาจากหลากหลายจังหวัด แต่ละที่ก็มีรสชาติใหม่ ๆ ของตัวเอง แบบนั้นมันจะทำให้ซีนเราสนุกและมีสีสันมากขึ้นครับ Concrete Jungle Festival มันคือเหมือนฮาร์ดคอร์เฟสของ Southeast Asia ที่รวมพลังกันครับ ตอนนี้ทุกคนก็จับตามองเยอะมาก และที่สำคัญคือมันเกิดขึ้นในบ้านเราเองด้วย เฟสนี้ให้โอกาสกับวงหน้าใหม่ตลอด ไม่ใช่ว่าจะมีแต่วงใหญ่ ๆ อย่างเดียว

ล่าสุดก็เหมือนได้ยินว่า Cat Expo แล้วเขาเปิดรับวงฮาร์ดคอร์เข้าไปด้วย ต่อให้วงนั้นได้เล่นเป็นวงแรก ผมก็จะไปซัพพอร์ตแน่นอนครับ ถ้ามีวงฮาร์ดคอร์หลายวงได้ไปเล่นในตลาดอินดี้ ผมว่ามันก็ดีนะครับ เพราะโลกมันต้องการความแตกต่างอยู่แล้ว ผมมองว่าถ้าอยากทำก็ทำเลย แต่ลองสร้างความแตกต่างดูบ้างก็ดี ไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกแนวดนตรีอะไรมากเกินไป

หนึ่ง: พวกเราอยากเชียร์คนรุ่นใหม่ที่มีเทรนด์ดี ๆ มีผลงาน แล้วได้โอกาสเข้าไปเล่นในเฟสแบบนี้บ้าง ต่อให้ได้เล่นเป็นวงแรกก็ตาม แต่อย่างน้อยก็อยากให้เขาได้ลอง ผมว่าฮาร์ดคอร์มันก็ตรงนี้แหละครับ มันไม่ต้องปรุงแต่งเยอะ อยากเล่นก็เล่นเลย

Whispers Hardcore Yom‐Ma‐Lok Narok Bon Din Holding On Records Flatspot Records Music Exchange

+ posts

ชอบไปคอนเสิร์ตเพราะเป็นกิจกรรมที่ทำคนเดียวได้ และยังชอบแนะนำวงดนตรีใหม่ ๆ ผ่านตัวอักษรตลอดเวลา

Related Articles

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy