เราเป็นอีกคนหนึ่งที่พูดตลอดเวลา ว่าถ้ามีรางวัลศิลปินที่ขยันที่สุดในซีนดนตรีไทย เราอยากมอบรางวัลนี้ให้กับ KIKI ที่สุด ในฐานะที่ปล่อยอัลบั้มออกมาให้เราเต้นกันได้ทุกปี
ใครที่ยังไม่รู้จัก พวกเขาคือวง electropop สามคนจากค่าย Parinam Music ที่ถ่ายทอดซาว์อันพุ่งพล่านของดนตรีอิเล็กทรอนิกได้อย่างคึกคัก แต่ยังเคลือบไว้ด้วยดนตรีป็อปสนุก ๆ ผ่านบีทที่เรียบเรียงได้เป็นเอกลักษณ์สุด ๆ พร้อมเสียงร้องที่มนต์ขลังจนพวกเราหลงใหล
หลังจากอัลบั้มปล่อยอัลบั้ม ‘Post-Existential Crisis‘ ออกมาตอนปี 2023 ก็ได้พาวงออกไปทัวร์มากมายอีกหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นทั่วเอเชียหรือฝั่งยุโรป พวกเขาจึงตัดสินใจปล่อยอัลบั้มพิเศษอย่าง ‘New Dawn No.01‘ ที่หยิบเพลงของตัวเองมาทำใหม่แบบเซ็ตเทคโนจ๋า ๆ แบบเอามันล้วน ๆ กลายเป็นเหมือนการสะสมประสบการณ์มาจนกลายเป็นอัลบั้มล่าสุดที่ปล่อยให้เราฟังแล้ว ในชื่อว่า ‘Death of a Daisy & Birth of an Oyster’ ซึ่งพวกเขาต่อยอดจากทุกสิ่งที่เราได้ฟังจนกลายเป็นซาวด์ใหม่ ๆ ที่วงอยากไปต่อ

อ่านต่อ: KIKI ‘Post-Existential Crisis’ Album Review
สำหรับอัลบั้มนี้ วงอธิบายคอนเซปต์ของอัลบั้มไว้อย่างชัดเจน โดยครึ่งแรกจะเป็น “Death of a Daisy” ซึ่งดอกเดซี่มักเป็นตัวแทนของความรัก ความสนุก ความบริสุทธิ์ หรือความไร้เดียงสาที่ใคร ๆ ก็อยากเด็ดดม ซึ่ง Daisy ในความหมายนี้ คือความอ่อนโยน ไร้เดียงสาต่อโลกที่โหดร้าย Daisy จึงต้องสละตัวเองเพื่อกลายเป็นสิ่งอื่นที่แข็งแกร่งกว่า
“Birth of an Oyster” เพราะโลกภายนอกบีบให้เราต้องแข็งแกร่ง จึงต้องกลายเป็นหอยนางรม เพื่อปกป้องตัวเองโลกที่มีแต่คนอยากได้ไข่มุกจากมัน เหมือนที่สังคมพยายามหยิบฉวยคุณค่าและหาประโยชน์จากเรา แต่ Oyster ไม่ได้หมายความว่าเราทิ้งความอ่อนโยนทั้งหมดไป แต่เราเลือกที่จะปกป้องความปรารถนา ความสุข และสิ่งที่ควรค่าแก่การมอบให้ตัวเองก่อนจะหยิบยื่นให้ใคร
นี่คือสิ่งที่วงอยากนำเสนอในอัลบั้มนี้ และที่ต้องยกเครดิตให้เลยคือภาพประกอบน่ารัก ๆ โดย Ayu (@ayu_ayqx) หรือ เต๋า—ศตายุ พรมภักดี ดีไซเนอร์ที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรมากมาย แต่เฮเลนฟรอนต์แมนของวงพูดในงานเปิดอัลบั้มว่า อยากให้โอกาสคนทำงานที่ยังไม่มีชื่อเสียงบ้าง ซึ่งอาร์ตเวิร์คที่ออกมาหลาย ๆ ตัวอย่างปกซิงเกิลเองก็สวยจับใจเหลือเกิน
ถ้าจะพูดถึงเพลงในอัลบั้มนี้ ก็ต้องขอพูดถึง Daisy เป็นเพลงแรกเลย เพราะสำหรับเราน่าจะเป็นเพลงที่อธิบายอัลบั้มนี้ได้ดีที่สุดเลย แถมเป็นเพลงที่เราชอบที่สุดในอัลบั้มด้วย ความลงตัวของไลน์ซินธ์และบีทกลองเท่ ๆ ทำให้เราร่วงหล่นลงไปในน้ำเสียงเศร้า ๆ ของเฮเลนอย่างไม่ทันตั้งตัว ก่อนครึ่งหลังจะค่อย ๆ ผลิบานออกมาอย่างรุนแรงด้วยซาวด์เทคโนอันพุ่งพล่านจนเราต้องเต้นตามทันทีที่มันกระแทกใส่เรา ฟังครั้งแรกคือเหวอมากว่ามาแบบนี้เลยเรอะ
ส่วน Oyster ก็สะกดเราด้วยดนตรีสองเลเยอร์ที่ล้อไปด้วยกันได้อย่างลงตัว ท่อนฮุกที่เราใจสุด ๆ ก็ทำให้เราต้องโยกหัวตาม การที่มันอยู่เพลงสุดท้ายในอัลบั้มเหมือนเป็นการบอกใบ้กลาย ๆ ว่าวงกำลังจะเปลี่ยนไปแล้วนะในเรื่องของแนวดนตรี ซึ่งมีกลิ่น progressive house ที่โคตรโดนเส้นเราเลย
ส่วนใครคิดถึงกลิ่นอายจากอัลบั้มก่อนหน้า ก็ยังมีมาให้ชื่นใจเหมือนเดิมแน่นอน นอกจาก Baby ที่ปล่อยออกมาก่อนหน้านี้แล้ว ก็ยังมี Sonic Bloom ที่สนุกมาก เป็นเพลงเปิดอัลบั้มที่ค่อย ๆ บีบนวดเราด้วยบีทหวานเยิ้ม เมโลดี้ที่ชวนเบิกบานใจมันค่อย ๆ ขับกล่อมให้เราพร้อมรับแรงปะทะจากในอัลบั้มนี้ต่อไป
อีกเพลงหนึ่งที่กรี๊ดมาก Good Day ที่ให้อารมณ์ดิสโก้นิด ๆ ความฟังก์จากไลน์คีย์บอร์ดนี่ทำให้อมยิ้มทันทีที่ได้ยิน แถมท่อนฮุกก็ชวนโยกซะเหลือเกิน โซโล่ก็เรียบเรียงได้โคตรเท่ เป็นกลิ่นใหม่ ๆ ที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจาก KIKI เหมือนกัน ชอบเพลงนี้มากกกก แล้วเรียงต่อกับเพลง Everybody ที่ได้ H3F มาเติมไลน์กีตาร์เท่ ๆ ลงไปอีก โดยเฉพาะท่อนโซโล่กีตาร์ที่บาดใจสุด ๆ ฟังต่อกันคือโคตรถูกต้องมาก
มาถึงอีก 3 เพลงที่คล้ายกันอย่าง Love is So Unreal, Together และ Sick ที่วงลองย่อยองค์ประกอบลงจนเหลือแต่ซาวด์สังเคราะห์เท่านั้น เหมือนวงจะเคยบอกไว้เหมือนกันว่ามีบางเพลงที่ลองไม่ใช้กีตาร์ไปเลย ผลลัพต์ของมันก็คือสามเพลงนี้ที่ค่อนข้างน้อยมากถ้าเทียบกับเพลงอื่น แต่ซินธ์หวานเยิ้มก็ยังผสมผสานกับเสียงร้องเท่ ๆ ของเฮเลนได้อย่างมีเสน่ห์เหมือนเดิม แถมบีทก็ยังโดนเส้นเหมือนเดิมตามสไตล์ของวง เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่วงอยากให้ทุกคนลองฟังแหละ
แต่ส่วนตัวชอบ Sick ที่สุดในสามเพลงนี้ ด้วยท่อนฮุกที่เป็นคำสั้น ๆ “It’s a touch, It’s a rush, It’s a movement …” ด้วยจังหวะอะไรมันทำงานกับเราได้อย่างดีมากจนต้องโยกตามทุกท่อน แอบโดนใจเราเป็นพิเศษ
อีกหนึ่งกิมมิคเล็ก ๆ ที่เราชอบในอัลบั้มนี้ คือการที่ Walk Away กับ Say It แอบเชื่อมกันแบบ seemless ซึ่งเป็นลูกเล่นจากสมัยเทปคาสเซ็ต รวมถึงเนื้อหาที่อาจจะเล่าการเปลี่ยนผ่านความสัมพันธ์ที่เชื่อมไปถึงคอนเซปต์ของอัลบั้มอย่างการเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วย ซึ่ง Walk Away พูดถึงจุดเปลี่ยนของความรักที่ต้องแยกทางกัน เมื่อความรักไม่สามารถรั้งพวกเราไว้ได้อีกต่อไปก็ต้องจากกัน และ Say It คือการทบทวนความรู้สึกเก่า ๆ เหล่านั้น ก่อนจะยอมรับในการเปลี่ยนแปลงแล้ว
โดยทั้งสองเพลงก็ถูกเล่าด้วยดนตรี synth-pop เท่ ๆ กระแทกใจด้วยบีทกลองตึ้บ ๆ ลวดลายซินธ์บาดใจพร้อมเสียงร้องของเฮเลนที่ชวนสะกด ก่อนจะอัพบีทขึ้นมาในเพลงหลัง แต่ยังคงบรรยากาศของดนตรีที่ต่อเนื่องกันมาได้ ซึ่งทั้งสองเพลงเองก็เหมือนจะไม่ใช้กีตาร์เลย ก็เป็นรสชาติที่แปลกใหม่ของวงเหมือนกัน
ทิศทางใหม่ ๆ ของวงก็ยังโดนเส้นเราเหมือนเดิม แต่ถ้าถามว่าเพลงไหนคือเพลงที่ติดหูเราสุด ๆ ในอัลบั้มนี้ ขอยกให้ Good Day ที่เรารู้สึกว่าวงบาลานซ์ความป็อป ความอิเล็กทรอนิก และความฟังก์ได้โคตรลงตัว ท่อนฮุกที่ร้องตามง่าย เสียงซินธ์ท่อนเชื่อมอีก เลยกลายเป็นไวบ์รวม ๆ ที่ฟังแล้วไม่เบื่อเลย
แต่ไม่ว่าจะทำอะไรออกมาเราก็คิดว่าเราน่าจะชอบเพลงของพวกเขาแน่นอน ใครฟังเพลงไหนในอัลบั้มนี้แล้วชอบมากก็อย่าลืมไปคอมเมนต์บอกวงด้วยน้า หรือมาคอมเมนต์คุยกันในเพจของคอสมอสก็ได้เน้อ เพราะมันเป็นกำลังใจสำคัญให้กับวงได้จริง ๆ

ชอบไปคอนเสิร์ตเพราะเป็นกิจกรรมที่ทำคนเดียวได้ และยังชอบแนะนำวงดนตรีใหม่ ๆ ผ่านตัวอักษรตลอดเวลา