โหดจัดกับไลน์อัพ Primavera Sound Barcelona 2023 วันแรก พบกับ New Order, Blur, Halsey, Pusha T และ Red Velvet

by Montipa Virojpan
1.3K views
Primavera Sound 2023 day 1 review

อ่านตอนก่อนหน้าได้ ที่นี่

ความเดิมตอนที่แล้ว…

หลังจากจบโชว์ Pet Shop Boys ที่ Opening Day ไป ตอนนั้นเป็นเวลา 5 ทุ่มกว่า ๆ ก็รู้สึกว่ายังไม่อยากกลับบ้าน (ยังไม่ดึกเลยแก เวลานี้คนที่นี่เขาเพิ่งเริ่มเที่ยวกัน) เราเลยตัดสินใจไปหาทาปาสแถวนั้นกินแล้วเสิร์ชดูว่ามีคลับไหนเปิดบ้าง รอบก่อนที่มาตอนปี 2018 เราก็ยังไม่ได้อินสายดีเจหนักเหมือนทุกวันนี้เลยอยากไปเช็กของเขาหน่อย ปรากฏว่าแทบทุกคลับปิดหมดเพราะวันนั้นเป็นวันพุธ แต่มันมีอยู่ที่นึงที่ดูใน Google Map แล้วบอกว่าเปิดทุกวัน และเปิดตอนเที่ยงคืน! บ้าไปแล้ว

เรานั่งรถเมล์จากแถวร้านอาหารมาลง Drassanes ทั้งที่จริง ๆ สามารถนั่งเมโทรจาก Forum มาเลยก็ได้ เพราะร้านอยู่ติดกับ La Rambla หรือก็คือถนนคนเดินยอดฮิต (ที่ดังเรื่องโจรชุมด้วยนั่นแหละ) พอดี แต่ที่จำไม่ได้เพราะบ้านเมืองเขาตอนกลางวันกับกลางคืนดูต่างกันราวกับคนละที่ ตรงนี้เลยรู้สึกว่ากลายเป็นย่านที่ไม่คุ้นไปซะงั้น โซนตรงนั้นตอนกลางคืนเต็มไปด้วยคลับและบาร์ มีคนออกมาดริงก์กันเต็มถนน เราเดินกันเข้าซอยเล็ก ๆ ก็ถึงที่หมายเวลาเที่ยงคืนกว่า ๆ เห็นว่ามีคนมายืนต่อคิวเข้าคลับกันแล้ว

Photo credit https://www.clubbingspain.com/

Moog เป็นคลับที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1996 ในบาร์เซโลน่า เป็นอาคารสองชั้นที่ด้านบนจะเป็น Mirror Room เปิดเพลงป๊อปหรือเพลงฮิตในขณะนั้น ส่วนชั้นล่างจะเป็น underground techno น่าสนใจที่วัฒนธรรมเรฟของเขาสามารถยืนอายุมาได้ยาว ๆ แบบหลายที่ในยุโรป เทียบกับบ้านเราที่มีช่วงเงียบไปเป็นสิบปีก่อนจะกลับมาคักคักอีกไม่นานมานี้ อาจจะด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่างทางวัฒนธรรมก็เป็นได้

เราอยู่กันที่ชั้นล่าง และดีเจคนที่เล่นคืนนั้นคือ Javi Gon เรียกได้ว่าเปิดฮาร์ดเทคโนทุบตึกแบบไม่ให้พัก ไม่เบรก ไม่มีผ่อน เอาแต่เร่ง เต้นลืมตายแบบไม่อยากกลับบ้าน แต่ที่น่ารำใจนิดนึงคือคนตั้งใจเต้นตั้งใจฟังเพลงก็มีนะ แต่ส่วนใหญ่จะฟีลโซเชียล กลุ่มเพื่อนอยู่ไหนก็จะพาลากตามกันไป เดินไปเดินมา เม้าท์มอย จะมีคนใหม่ ๆ มาแทรกและเบียดไปข้างหน้าเรื่อย ๆ คนนัวก็นัวกันไม่สนชาวบ้านแล้วมาชนพวกที่เต้น ๆ ดังนั้นพวกที่ตั้งใจเต้นก็จะไม่ได้อยู่จุดเดิมของตัวเอง ต้องไหลไปตามฝูงมนุษย์ที่เคลื่อนตัวตลอดเวลา แต่หลัง ๆ ก็เริ่มชิน ปล่อยใจ หาจุดที่ทรงตัวได้แล้วก็เต้นยาว ๆ จนตีสามค่อยกลับบ้านไปพัก (ขออภัยไม่มีภาพถ่ายเอง เพราะสนุกจัด ฮา)

Day 1 : 1 June 2023

วันนี้ถือว่าเป็นวันที่ไลน์อัพแตกแตนมาก มีทั้ง New Order, Blur, Halsey, Loyle Carner, Central Cee, DARKSIDE แต่ชีวิตต้องเลือก เพราะเราไม่สามารถแยกร่างได้ มาดูกันว่าจะเก็บได้ครบวงที่อยากดูหรือไม่

Primavera Sound Barcelona by Christian Bertrand

เราตั้งใจจะเข้างานเร็วเพื่อมาดู Black Country, New Road เป็นวงแรก แต่จากที่เมื่อเช้ารีบตื่นเพื่อไปต่อคิวกินทาปาสร้านดัง เราก็หมดแรงและตั้งใจจะกลับมางีบสักแปป แต่หลับเพลินไปนิด ตื่นสาย!!!!

เราสะดุ้งตื่นประมาณห้าโมงครึ่ง ตาลีตาเหลือกพุ่งตัวเข้าไปที่งาน โชคดีที่บ้านไม่ไกลจากงานมากนัก 30 นาทีถึง บวกกับได้ pre-register บัตรไปแล้วเรียบร้อย พอไปถึงหน้างานแทบไม่ต้องโชว์พาสปอร์ต สแกน QR เข้าไปได้เลย

Black Country, New Road by Clara Orozco

วงเล่นเวลาหกโมงตรง แต่กว่าจะเดินจากหน้างานไปถึงเวทีใหญ่ (Estrella Damm) ก็ใช้เวลาไปแล้วอีกประมาณ 15 นาที จากที่วันก่อน ๆ ครึ้มเมฆ วันนี้แดดเปรี้ยง เรียกได้ว่ามาถึงบาร์เซโลน่าแล้วจริง ๆ จำได้ว่าปี 2018 ยังเป็นพื้นคอนกรีต แต่ปีนี้เขาเอาหญ้าเทียมมาปูให้นั่งกันนิ่ม ๆ ไม่ร้อนก้น หรือใครจะยืนจอย ๆ ก็ตามสะดวก วงกำลังเล่นเพลง ‘I Won’t Always Love You’ ช่วงท้าย ๆ เสียงร้องเพราะจับใจของมือกีตาร์คลอไปกับเสียงไวโอลินหวานเศร้าบาดลึก ตามด้วย ‘Across the Pond Friend’ ที่ไดนามิกในเพลงเพราะมาก ๆ ฟังแล้วขนลุกน้ำตาซึม ยิ่งช่วงทุกเครื่องโหมประสานกันคือบ้าไปเลย ต่อด้วย ‘Laughing Song’ ที่เสียงกลองเร้า ๆ ขับให้เสียงร้องยิ่งทรงพลังทวีคูณ ‘Nancy Tries to Take the Night’ โชว์ยูนิซันกีตาร์ แบนโจ ไวโอลิน ทำให้ต้องขนลุก ก่อนที่สมาชิกวงจะพากันไปนั่งล้อมวงที่ฝั่งขวาดูเพื่อนเล่นเปียโนเดี่ยวในเพลง ‘Turbines/Pigs’ เสียงร้องสะกดใจคนดูพร้อมกับไวโอลินสอดประสานมาน้อยแต่มาก แล้วในท้ายเพลงเพื่อน ๆ ก็กลับมารวมวงแล้วค่อย ๆ โหมกระหน่ำซาวด์จัดหนัก มือกลองอินเนอร์ดีจัดหวดจนไมค์กลองร่วงลงไป คนดูส่งเสียงร้องเชียร์ชอบใจกับความสามารถของทั้งวงที่โหดมาก ๆ จากนั้นนักร้องนำก็บอกว่าวันนี้เป็นวันเกิดอายุ 24 ปีของชาร์ลี (มือกลอง) พอดี แล้วจึงพาเข้าเพลง ‘Dancers’ และปิดท้ายอย่างบ้าคลั่งด้วย ‘Up Song (Reprise)’ ที่ฝูงชนช่วยกันฮัมและตบมืออย่างพร้อมเพรียง ถือว่าเป็นบรรยากาศช่วงเริ่มงานที่ชวนใจฟูมากจริง

Black Country, New Road by Clara-Orozco

จากนั้นเราก็ต้องวิ่งไปที่เวที Ron Grutal ที่อยู่ใกล้ ๆ กับหน้างาน ที่มี Yard Act วงเท่จากเมืองลีดส์ ประเทศอังกฤษกำลังเล่นอยู่ วงนี้เขาเป็นโพสต์พังก์ อินดี้ร็อก ที่ดนตรีเน้นซิ่ง ๆ กับ spoken words เปิดมาด้วยงานเร็ว ‘Fixer Upper’ และซิ่งต่อในเพลงอัพบีต ‘Witness (Can I Get A?)’ แทบจะพุ่งตัวเข้าไปมอชกับข้างหน้าแต่วงยังเล็กอยู่ ก่อนจะแนะนำตัวทักทายคนดูและบอกว่านี่คือโชว์ที่ดีที่สุดในยุโรป เรียกได้หนึ่งเฮ แล้วพาเข้าเพลงต่อไป ‘Land of the Blind’ จบจากเพลงนี้พวกเขาก็พาเราไปบ้ากันต่อใน ‘The Trenchcoat Museum’ ที่เขาใช้เอฟเฟกต์ไมค์ก้อง ๆ ทำเสียงร้องให้เหมือนกีตาร์ดิสทอร์ต โคตรเท่ โยกหัวจะหลุด แล้วก็พูดขอบคุณคนดูโดยบอกให้ทุกคนชูดริงก์ในมือเพื่อดื่มให้ช่วงเวลาพิเศษแบบนี้ จากนั้นวงก็เล่น ‘Pour Another’ และ ‘Payday’ตามด้วย ‘The Trapper’s Pelt’ กับกีตาร์ซิ่ง ๆ เท่ไม่พัก แล้วก็ส่งเข้าเพลงซึม ๆ ‘100% Endurance’ และปิดท้ายไปอย่างหนักหน่วงสุดมันในเพลงดัง ‘The Overload’ เห็นคนดูโดดไปด้วยกันรอบ ๆ แล้วสนุกมาก

Yard Act by Christian Bertrand

ตอนประมาณทุ่มครึ่ง เราเดินกลับมาที่อีกเวทีใหญ่ข้างกันกับ Estrella Damm ชื่อ Santander (ปีนี้เวทีเยอะขึ้นมาก แบบเขาจัดไว้ข้าง ๆ กันเลยเพื่อสลับเซ็ตเฮดไลน์เนอร์ แต่ที่เราอยากดูมันมีวงเล็ก ๆ ที่เล่นเวทีรองกับพวกดีเจโหด ๆ ด้วย ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมถึงวิ่งสับแตกขนาดนี้) Alex G ที่เมื่อปี 2018 ก็ได้ดูเขาโดยตอนนั้นใช้ชื่อว่า (Sandy) Alex G กลับมากับเพลงอัลเทอร์เนทิฟร็อกซึม ๆ ตามฉบับ คือเพื่อนเราที่ล่วงหน้ามาก่อนแล้วสามสี่เพลงบอกว่า เมื่อกี้ Caroline Polachek ที่เหมือนสะพายกระเป๋ามาเดินเที่ยวงานเฉย ๆ ถูกเรียกให้ขึ้นไปแจมด้วยในเพลง ‘Mission’ น่าเสียดายมาก ๆ ซึ่งเราก็อยู่ฟังเขาเล่นไม่กี่เพลงตั้งแต่ ‘Kicker’ ‘Brick’ ‘Horse’ ‘Blessing’ ก่อนจะวิ่งต่อไปที่เวที Plenitude ที่อยู่อีกฟากนึงของงานแบบไกลสุดจากกันเลยเพื่อไปดู Sudan Archive ที่เล่นไปแล้วสักพัก

Alex G by Clara Orozco

ประมาณสองทุ่ม เราได้ยินเสียงเพลง UK garage หนึบ ๆ ใน ‘Freakalizer’ โดนเส้นมาแต่ไกล จากนั้นก็เป็น r&b เท่ ๆ งานเบสหนักหน่วงหวดไม่ให้หยุดโยกใน ‘Glorious’, ‘Loyal (EDD)’, ‘Ciara’ และเกรี้ยวกราดต่อใน ‘OMG BRITT’ แล้วเธอก็ชวนคนเชื้อสายแอฟริกันให้ช่วยกันตบมือสนุกกันในเพลง ‘NBPQ (Topless)’ แต่เราก็อยู่ได้ไม่นาน ต้องวิ่งกลับไป Turnstileที่ Estrella Damm ที่เดิม โอ้ย ขาลากสุดไรสุดแต่ยอม

SUDAN ARCHIVES by Eric Pamies

ไอ้บ้าเอ๊ยยยยยย เดินมาแต่ไกลก็ได้ยินเสียงกีตาร์กับกลองแล้วมันปลุกพลัง เรารีบวิ่งเข้าไปที่บริเวณ front of house ที่เป็นจุดที่เรากับเพื่อนจะนัดเจอกันเป็นประจำ สิ่งที่ทำสิ่งแรกคือฝากกระเป๋าไว้ที่มันแล้วขอเข้าไปมอช รอบก่อนเคยมีประสบการณ์มอชในโชว์ของ Arctic Monkeys ที่นี่ เลยขอซ้ำซะหน่อยเดี๋ยวจะรู้สึกว่ายังมาไม่ถึง คนดูบ้าคลั่งด้านหน้าล้อมวงกันรอบ ๆ และเริ่มปะทะกันแบบไม่ลืมหูลืมตา ดนตรีเร้าสร้างอารมณ์ร่วมให้ทุกคนต้องใส่กันซะหน่อย ตอนนั้นสองทุ่มครึ่ง ฟ้ายังสว่าง แดดเริ่มคล้อยฟีลแบบห้าโมงเย็นบ้านเรา คิดดูว่ามันไวบ์ดีแค่ไหน วงจัดให้แบบดุ ๆ ทั้ง ‘DON’T PLAY’ ‘FLY AGAIN’ ‘NEW HEART DESIGN’ ‘Real Thing’ ‘Big Smile’ ‘Gravity’ ‘Drop’ ‘HUMANOID / SHAKE IT UP’ ที่ ตอนท้ายมีคนนั่งวีลแชร์ถูกช่วยกันยกขึ้นไป crowd surfing ด้วย ทุกคนส่งเสียงเฮกันลั่นเวที โอยยยย ดีมาก สังคมดนตรีที่น่ารักมีอยู่จริง ๆ

Turnstile by Christian Bertrand

แล้วก็ถึงเวลาต้องใช้วิชาแยกร่าง (ยังแยกไม่พอหรอ) เพราะใกล้จะสามทุ่ม Pusha T จะเล่นพร้อมกับ Red Velvet พอดี ให้ทายว่าเลือกอะไร? ไปอย่างหลังค่ะ อยากสัมผัสประสบการณ์ K-pop ในเฟสติวัลยุโรปมาก ๆ ก็ยืนโยก ๆ Pusha T นิดนึงที่เวทีอัฒจรรย์ชื่อ Cupra ที่คนดูสามารถนั่งหรือยืนดูด้านล่างก็ได้ ก็ได้ฟัง ‘Let the Smokers Shine the Coupes’ ‘Brambleton’ ‘Just So You Remember’ ความปังคือเราสามารถเดินไปฝั่งตรงข้ามที่เวที Ron Brugal เพื่อดู Reve ได้แบบไม่ขาลากมาก  

PUSHA T by Eric Pamies

จอย ๆ กันแปปนึง ก็ได้เวลาราชวงศ์เค้กแดง คนดูไม่ค่อยหนาตาเท่าไหร่ แต่ชาวติ่งก็คือเกาะขอบเวทีพร้อมแฟนชานต์กันเสียงลั่นแน่นอน เราไปถึงตอนเล่นเพลง ‘Beg for Me’ ต่อด้วย ‘ZOOM’ เพิ่งสังเกตว่าสมาชิกหายไปไหนคนนึง (ขออภัยจำชื่อไม่ได้ครบทุกคน) แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าคอนเสิร์ตที่ไทยถูกยกเลิก ไม่แน่ใจว่าเหตุผลเกี่ยวเนื่องกันหรือไม่ แล้วเวนดี้ก็พูดทักทายคนดู เอเนอร์จี้เต็มร้อยมาก ฉะฉานสดใส ชวนเข้าเพลงดัง ‘Bad Boy’ ซึ่งวันนี้พวกเธอหยิบเวอร์ชันภาษาอังกฤษมาร้อง ต่อกันกับอีกเพลงฮิต ‘Psycho’ ตามด้วย ‘You Better Know’ ‘Zimzalabim’ ที่สแปนิชเซิ้งกันม่วนมาก และจบไปด้วย ‘Red Flavor’ ถือว่าเป็นโชว์ที่เปิดโลกเรามาก ๆ เพราะส่วนใหญ่ศิลปินที่มาเล่นคือเป็นแบนด์ โซโล่ ไม่ก็ดีเจ ซึ่งพวกเธอคือเกิร์ลกรุ๊ปกลุ่มเดียวที่อยู่ในงานนี้ก็ถือว่าเป็นรสชาติใหม่ ๆ ล่ะนะ

Red Velvet by Sharon Lopez

จากนั้นเราก็เดินกลับมาที่ Santander เจอกับ NxWORRIES หรือ Anderson .Paak กับ Knxwledge นั่นเอง มาค่ะสายกรูฟ ตัวโยก จอย ๆ ปล่อยใจ ไวบ์เพลินสุดไรสุด เพราะให้คนขึ้นไปเต้นบนเวทีได้ด้วยเอ้อ มีเล่น ‘Just the Two of Us’ ของ Bill Withers แล้วก็เล่นเพลง breakbeat โดนเส้นฉันมาก ฮาสุดคือมีแซมพ์ ‘Wonderwall’ ของ Oasis อาจจะเพราะเห็นว่ามี Blur มาเล่นด้วย กวนปะนิ ฮ่า ๆ (สำหรับคนที่ไม่ทราบ สองวงนี้เขาไม่กินเส้นกัน)

ช่วงนี้ก็เป็นเวลาเดินหาข้าวกิน เติมเบียร์ นั่งพัก แล้วก็แวะไปที่เวที Pull & Bear ใกล้ ๆ กันซึ่งเป็นเวทีคลับ ตอนนั้น Rhyw กำลังดีเจ เล่นโหดมาก หวดสะใจ ก็เต้นจอย ๆ ไปแปปนึง จริง ๆ ก็อยากจะวิ่งไปดู Central Cee นะ เพราะตอน Rolling Loud เขาทำชั้นทับใจมากอะ UK Drill เข้ม ๆ แต่เวทีไกลเกิน เดินไม่ไหว ส่วน Perfume ตัวจี๊ดจากญี่ปุ่น กับ PinkPantheress สาว UKG pop มาแรงเองก็ไกล เลยปักหลักอยู่แถวนั้นรอดูวงต่อไป

Nxworries (Anderson Paak & Knxwledge) by Clara Orozco

แล้วก็ถึงเวลาที่เรารอคอย เวทีข้าง ๆ กันจะมีตำนานอีกวงนึงขึ้นเล่น นั่นคือ New Order นั่นเอง จากเดิมเราจะต้องมา Primavera คนเดียว แต่พอวงเพิ่งประกาศจอยไลน์อัพรอบหลัง เพื่อนเราเลยขอมาแจมด้วย วงขึ้นเวทีตรงเวลามาก ๆ ห้าทุ่มเป๊ะเพลง ‘Regret’ ก็ถูกเล่นเลย ต่อด้วย ‘Age of Consent’ ทำเอาเราน้ำตาซึมเลยเพราะชอบอัลบั้ม ‘Power, Corruption, and Lies’ มาก ฟังจนแผ่นแทบสึก ตอนแรกเกือบเอาเสื้อรูปปกอัลบั้มนี้มาใส่แล้วแต่กลัวเขาว่าเบียว ฮา จากนั้นก็เล่น ’Academic’ กับอีกเพลงที่สำคัญสำหรับเรา ‘Your Silent Face’ อันนี้กลั้นน้ำตาไม่อยู่จริง ๆ ตอนเขาเล่นเมโลเดี้ยนไลน์ที่เป็นไอคอนิกของเพลงนี้คือประทับใจมาก น่าจะร้องหนักจนคนข้าง ๆ เดินเอาทิชชู่มาให้แล้วบอกกับเราว่า “Your reaction made a big impact to me. This song is important to me, too” โห ซึ้งเลยอะ ร้องหนักกว่าเดิม เพราะเพลงนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เราแต่งเพลงนึงของวงเราได้ แล้วเขาก็บอกว่าถ้าอยากเต้น อยากจอย ก็มายืนด้วยกันได้นะ โฮ มิตรภาพแฟนเพลง จากปีที่แล้วก็มีอะไรแบบนี้ให้ประทับใจ นี่แหละทำไมชั้นถึงรัก Primavera

อะต่อด้วย ‘Be a Rebel’ ‘Sub-culture’ แล้วก็ได้เป็นอีกเพลงที่ต้องน้ำตาแตก ‘Bizarre Love Triangle’ จากนั้นก็เล่น ‘Plastic’ ’True Faith’ กับอีกเพลงฮิต ‘Blue Monday’ ‘Temptation’ และปิดท้ายกันไปด้วย ‘Love Will Tear Us Apart’ เพลงตั้งแต่สมัยพวกเขายังเป็น Joy Division ซึ่งถือว่าเซอร์ไพรส์มาก ๆ ที่ได้ฟัง แล้วตอนท้ายทำเอาเราไม่ไหวแล้วจริงเมื่อหลังเวทีขึ้นคำว่า ‘Forever Joy Division’ มันท่วมท้นไปหมด ยกให้เป็นหนึ่งในโชว์ที่ดีที่สุดของเฟสติวัลวันแรกไปเลย เล่นดีมาก ทำซึ้งเก่งมาก เป็นบุญแล้วชาตินี้ได้ดู ฮือ

New Order by Christian Bertrand
Forever Joy Division by Montipa Virojpan

อิ่มเอมกันไปเรียบร้อยแล้ว แต่ไฮไลต์ของคืนนี้ยังไม่หมด อยากจะดู Alison Goldfrapp แต่ก็เดินไกลเกิน ขอยอมแพ้ เลยไป Cupra เจอกับ Loyle Carner แทน โอยพ่อคุณ เล่น ‘Hate’ เพลงเปิดเพลงแรกจากอัลบั้มใหม่ ‘Hugo’ ก็เอาตายไปเลย จากนั้นก็เป็น ‘You Don’t Know’ ‘Georgetown’ ‘Polyfilla’ ’Angel’ และ ‘Damselfly’ เพลงโปรดทั้งนั้น คือชอบมากที่เขา shout out เพื่อนเขาอย่าง Tom Misch ตลอด ๆ เลย เสียดายที่อยู่จบโชว์ไม่ได้ต้องวิ่งกลับไปรอดูอีกวงรัก แต่คิดว่าเคยดูมาแล้วรอบนึงก็ตัดใจก็ได้นุ

Loyle Carner by Eric Pamies

ช่วงนี้เองเรายอมพลาด Le Tigre กับ DARKSIDE ด้วย เพราะเล่นชนกับ Blur พอดี เพื่อที่จะให้ได้ที่ยืนที่ดีที่สุดก็ต้องเสียสละครัช ตอนไปถึง Estrella Damm เวที Santander ข้าง ๆ คือ Halsey ปล่อยพลังแบบระเบิดระเบ้อมาก แล้วในที่สุด ป้ายตัวอักษร blur ก็มาลอยคว้างอยู่กลางเวทีข้าง ๆ ไฟค่อย ๆ หรี่ลงพร้อมเสียงคนดูเฮลั่นในเวลาตีสองห้านาที เพลงธีม ‘Tales of the Unexpected’ ขึ้นมา ทุกคนฮึกเหิมเต็มที่ ส่วนเราเองก็เมาได้ที่แล้วเหมือนกัน (กินไปเยอะมาก เบียร์ ไวน์ เวอร์มุธ มาววววว พร้อมจอย ๆ กับวงบิดาคัฟ) พอขึ้น ‘St. Charles Square’ ก็โดดยับเลย ต่อด้วย ‘There’s No Other Way’ ที่เอาจริง เราก็ว่าเดม่อนน่าจะเมาพอ ๆ กับเราอะ ร้องเสียงเป๋ไม่ไหวแล้ว อันที่จริงมีจังหวะนึงที่คนเดินออกเยอะมากถึงขนาดเดม่อนพูดออกไมค์ แง จากนั้นก็เป็นเพลงสนุก ๆ ‘Popscene’ ‘Tracy Jacks’ ตามด้วยเพลงในดวงใจชวนปีนโต๊ะร้องมาก ๆ อย่าง ‘Beetlebum’ ตามด้วย ‘Trimm Trabb’ ‘Villa Rosie’ และ ‘Coffee & TV’ กรี๊ดปรอทแตก แล้วก็เป็นเซ็ตเพลงที่นานมาแล้วไม่ได้เล่น ทั้ง ‘Luminous’ ‘End of a Century’ ‘ Country House’ 

Blur by Christian Bertrand

เท่านั้นแหละ ทำนองคุ้นหูมันขึ้นมา อีนี่โดดเป็นบ้าจนเพื่อนไล่ให้ไปโดดบนพื้นหญ้า (พอดีว่ายืนกันตรงรั้ว FOH แล้วน่าจะสั่นเกิน ขอโทษกั๊บ) มาเลยจ้า ‘Parklife’ ตะโกนกันฮึกเหิมสุด ๆ ทั้งบริเวณ ตอนนั้นก็มีคนเข้ามาโดดด้วยกัน ฉีดยากันเข้าไป บอกว่า “I love your energy!” ใช่สิ ก็เป็นคนบ้าได้มาปล่อยพลังสุด ๆ ขนาดนี้ ถ้ายิ่งเจอคนที่ร้องเพลงวงที่ชอบได้เหมือนกัน ตะโกนสุดเสียงไปพร้อมกันเนี่ย ไม่เหลือ! แล้วก็ให้พักหายใจกันใน ‘To the End’ ก่อนไปซิ่งต่อที่ ‘Girls & Boys’ กับ ‘Song 2’ ให้แตกแตนติดสองเพลงกันไปเลย ค่อยมาหอบแฮกกันตอนเปียโนในเพลง ‘Intermission’ ‘This Is a Low’ แล้วทำซึ้งใน ‘Tender’ ซึ่งน่าจะเป็นเพลงแรกที่เรารู้สึกว่าเดม่อนร้องดีขึ้นแล้ว ฟูลฟิลมาก ก่อนจะเล่นเพลงใหม่ที่เพิ่งปล่อยมาสด ๆ ‘The Narcissist’ ที่ก็ดีเหลือเกิน รออัลบั้ม ‘The Ballad of Darren’ ไม่ไหวแล้ว แง และปิดท้ายกันแบบฟิน ๆ ไปด้วย ‘The Universal’ ขนลุกมาก ฟีลดีมาก ถึงจะร้องไม่สุดแต่ป๋าคนอื่น ๆ ในวงก็แครี่อยู่ แล้วด้วยบรรยากาศโดยรวมที่แฟนมารวมตัวกันก็ทำให้เป็นโชว์ที่สนุกอยู่ดี ชาตินี้ได้ดู Blur แล้ววววว

Blur by Christian Bertrand

จบจากนี้เราก็เดินไปหาเพื่อนที่แยกตัวไปก่อนที่เวที Amazon เพื่อดู DARKSIDE เราไปตอนวงเล่นเพลงสุดท้ายพอดี แล้วก็เดินเตาะแตะกันแบบขาไร้เรี่ยวแรง แต่ก็ยังไม่อยากกลับบ้าน ไปเจอเวที Pull & Bear ที่ตอนนี้เวลาตีสี่ครึ่ง มี Brutalismus 3000 กำลังเล่นอยู่ โหหหหหหหห แตกแตนมาก หวดเพลงกันแบบสมองเหลว คือลืมไปเลยว่าลุยกันมาตั้งแต่บ่าย ยังมีแรงได้อีก นั่นแหละค่ะ เต้นคลั่งอยู่ตรงนั้นจนตีห้าครึ่ง ถึงบ้านหกโมงเช้า สิริรวมนับก้าวประมาณ 30,000 ก้าวสำหรับวันแรก มารอดูกันว่าวันที่ 2 จะยาวนานพอกันไหม จะเดินไกลกว่ากันรึเปล่า ติดตามกันได้เลยเพราะมีวงอย่าง Depeche Mode, Swans, Four Tet, Fred again…, Skrillex, Kendrick Lamar, Alvvays หลากรสชาติมาก ๆ รออยู่ ห้ามพลาด

New Order by Christian Bertrand

Related Articles

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy