คำว่าไซคีเดลิกมักถูกโยงกับภาพสีสันหลุดโลกและเสียงอันแตกพร่า แต่ดนตรีของ Maya Ongaku มันคือประตูอีกหนึ่งบานที่พาผู้ฟังกลับเข้าไปสู่ความเงียบงามภายในตัวเอง พวกเขาตีความไซคีเดลิกในแบบของตัวเองได้อย่างบ้าคลั่ง ผ่านโชว์ที่ถูกสร้างขึ้นราวกับพิธีกรรม และจังหวะที่ไม่ยึดติดกับโครงสร้างจำเจ ๆ ชื่อค่าย Guruguru Brain ที่พวกเขาสังกัดอยู่น่าจะอธิบายความโกลาหลในดนตรีของพวกเขาได้อย่างดี
ก่อนจะไปสัมผัสโชว์แรกของพวกเขาในไทยวันศุกร์ที่ 31 ตุลานี้ พร้อมกับ Soft Pine มารู้จักเบื้องหลังความคิดในดนตรีของพวกเขาที่มองว่ามันคือภาพฝันอันน่ารื่นรม รวมถึงความรู้สึกของการมาประเทศไทยครั้งแรกของพวกเขาด้วยใน Space Invader ครั้งนี้

นี่เป็นโชว์ครั้งแรกของคุณในประเทศไทย รู้สึกยังไงบ้าง
ผมอยากให้ทุกคนสัมผัสถึงจิตวิญญาณของความเป็นญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยแพชชันครับ
นี่เป็นครั้งแรกที่คุณได้ขึ้นเวทีเดียวกับ Soft Pine เคยฟังเพลงของพวกเขาแล้วหรือยัง
แน่นอนผมเคยฟังแล้ว และรู้สึกว่ามีอะไรหลายอย่างที่เราทั้งสองวงมีเหมือนกัน เสียงของพวกเขาให้อารมณ์ชิล ๆ และลึกลับในแบบที่ผมชอบมาก ผมยังไม่เคยเห็นการแสดงสดของพวกเขาเลยรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็นว่า พลังแบบนั้นจะเปลี่ยนไปยังไงได้บ้างบนเวที
ช่วยเล่าเบื้องหลังซิงเกิลล่าสุดอย่าง Maybe Psychic หน่อย เกิดอะไรขึ้นระหว่างทัวร์ยุโรปที่กลายมาเป็นเพลงนี้
ทัวร์ยุโรปของเราหนักมากครับ 20 วันเกือบ 15 โชว์ เราพยายามไม่ให้เซ็ตลิสต์ในแต่ละโชว์ซ้ำกันเลยใส่ช่วงแจมยาว ๆ ประมาณครึ่งชั่วโมง เดิมทีเป็นการแจมสี่จังหวะแบบอิเล็กทรอนิก แต่ค่อย ๆ ถูกตัดทอน ทดลองไปเรื่อย ๆ จนลงตัวกับสไตล์ที่มีความดั๊บและกลิ่นอายตะวันออกกลางปลอม ๆ นั่นแหละครับที่กลายเป็น Maybe Psychic
จาก Approach มาถึง Anima แล้วก็ Maybe Psychic คุณมองว่าอัลบั้มและซิงเกิลเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเดียวกันไหม
ผมคิดว่าดนตรีทั้งหมดคือการเดินทางจากภายนอกสู่ภายในอยู่แล้วครับ ผมมักเขียนเพลงเกี่ยวกับสิ่งนั้น เลยอาจดูเหมือนเป็นเส้นเรื่องที่ต่อเนื่อง และยิ่งเล่นดนตรีไปเรื่อย ๆ ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าชีวิตของพวกเราคือเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่และงดงามเรื่องหนึ่ง การจะเดินต่อหรือจบลงอย่างไรให้ทุกคนยังมีความสุข เป็นสิ่งที่ผมคิดอยู่เสมอ
โชว์ของคุณมักให้ความรู้สึกเหมือนพิธีกรรม คุณสร้างบรรยากาศร่วมบนเวทีแบบนั้นยังไง
ผมมองว่าโชว์คือรูปแบบหนึ่งของพิธีกรรม และสิ่งจำเป็นที่สุดของมันคือการด้นสด สำหรับผมช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดของดนตรีคือจังหวะที่มันเสียงดังขึ้นมา นั่นคือโอกาสที่เราจะได้แบ่งปันช่วงเวลานั้นกับผู้คนจำนวนมาก
ค่าย Guruguru Brain เป็นชื่อที่ผู้คนทั่วโลกรู้จักในฐานะศูนย์กลางของดนตรีไซคีเดลิกจากญี่ปุ่น การได้อยู่ในค่ายนี้ให้อะไรกับคุณบ้าง ทั้งในแง่การทำงานหรือแรงบันดาลใจ
ที่ Guruguru Brain ศิลปินจะรับผิดชอบงานตัวเองเกือบทั้งหมด ทั้งทุนสร้าง เพลง ทัวร์ และการวางแผนในอาชีพ แน่นอนว่ามีคำแนะนำดี ๆ จากทีมอยู่เสมอ แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของวงเอง มันอาจฟังดูยาก แต่กลับช่วยให้ศิลปินเติบโตในฐานะ “มนุษย์” ได้จริง ๆ ทุกครั้งที่ผมเจอเพื่อนร่วมค่ายในเอเชีย ผมจะรู้สึกเลยว่าพวกเขาเป็นคนที่รักศิลปะและมีจิตใจงดงาม เป็นคอมมูนิตี้ที่หาได้ยากมาก ผมอยากช่วยให้วงการนี้คงอยู่และเติบโตต่อไปโดยไม่สูญเสียความงามของมัน
ถ้า Maya Ongaku จะได้ร่วมงานกับศิลปินที่ไม่ใช่นักดนตรี เช่น ผู้กำกับ ภาพวาด หรือ นักเขียน คุณอยากร่วมงานกับใคร
ส่วนตัวช่วงนี้ผมสนใจนักคิดกับนักปรัชญามากกว่าศิลปินครับ ถ้ามีโอกาสได้พูดคุยกับคุณชินอิจิ นากาซาวะ (นักคิดญี่ปุ่นสายปรัชญาจิตวิญญาณร่วมสมัย) คุณเท็ตสึอากิ โคโต (นักปรัชญาสายมานุษยวิทยา) หรือทิม อินโกลด์ คงเป็นประสบการณ์ที่งดงามมากในชีวิตผม
คุณได้แสดงในหลายทวีป ทั้งอเมริกา ยุโรป และเอเชีย สังเกตเห็นความแตกต่างของผู้ชมที่ฟัง Maya Ongaku ไหม
แรก ๆ ผมรู้สึกถึงความต่างชัดเจนครับ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าผู้ชมที่มารอเราไม่ว่าจะประเทศไหนต่างอบอุ่นเหมือนกันหมด จากบนเวทีจะเห็นสายตาเขิน ๆ ที่งดงามส่องแสงอยู่ในไฟสปอตไลต์ มันคล้ายกันอย่างน่าประหลาด
คุณคาดหวังจะได้เจอหรือค้นพบอะไรจากแฟน ๆ ชาวไทยหรือจากประเทศไทยเอง ที่อาจกลายมาเป็นแรงบันดาลใจทางดนตรีไหม
ประเทศไทยมีวัดมากมาย และผมสนใจแนวคิดทางจิตวิญญาณของที่นี่ครับ พุทธศาสนามีอิทธิพลต่อญี่ปุ่นมาก แต่ในไทยดูเหมือนจะมีรสชาติทางศาสนาที่ต่างออกไป ผมอยากได้สัมผัสด้วยตัวเอง
หลังจากได้ทัวร์ต่างประเทศ คุณมองวงการอินดี้ญี่ปุ่นเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง
ผมรู้สึกว่าญี่ปุ่นเริ่มมีแนวโน้มปิดตัวและแยกตัวมากขึ้น ซึ่งน่าเสียดาย เพราะผมเชื่อว่าศิลปะควรเป็นพื้นที่ที่เชื่อมคนข้ามพรมแดน ยิ่งผมได้เจอศิลปะจากทั่วโลก ผมก็ยิ่งเห็นคุณค่าของสิ่งที่เราเกิดมาพร้อมกับมัน สิ่งที่เรามองว่าธรรมดาอาจกลายเป็นเอกลักษณ์ที่สวยงามเมื่อมองจากข้างนอก และถ้าเราตระหนักถึงมันได้เร็ว เราจะสร้างสรรค์ได้อย่างเสรีและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ผมคิดว่าความรู้สึกแบบนี้สำคัญมากต่ออนาคตของวงการดนตรีญี่ปุ่น
มีอะไรพิเศษที่เตรียมไว้ให้แฟน ๆ ชาวไทยไหมในโชว์ครั้งนี้
ทุกการแสดงของเราคือเซอร์ไพรส์ครับ (หัวเราะ) แต่สิ่งที่ทำให้โชว์เปลี่ยนไปจริง ๆ คือพลังจากคนดู เสียงตอบรับของผู้ชมชาวไทยจะสร้างบรรยากาศใหม่ และแน่นอนว่าเราจะเล่นตามอารมณ์นั้น นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นได้แค่ในไทยเท่านั้น มาสร้างบรรยากาศอันแปลกประหลาดไปด้วยกันครับ
อยากฝากอะไรถึงคนที่กำลังรอชมการแสดงครั้งนี้ไหม
หลายคนอาจรู้สึกว่าไลฟ์เฮ้าส์มืดและน่ากลัว แต่ผมอยากให้ทุกคนหามุมที่สบายใจที่สุด แล้วปล่อยตัวให้ผ่อนคลาย อย่าเกร็งครับ แค่เปิดใจแล้วมามีความสุขไปด้วยกันก็พอ
ชอบไปคอนเสิร์ตเพราะเป็นกิจกรรมที่ทำคนเดียวได้ และยังชอบแนะนำวงดนตรีใหม่ ๆ ผ่านตัวอักษรตลอดเวลา
