ถ้ายุค 2000s คือช่วงเวลาที่เพลงป๊อปเต็มไปด้วยความซื่อ ความกวนจากอิทธิพลของภาพยนตร์ซักซี้ด ห่วยขั้นเทพ Sukid458 วงอัลเทอร์เนทีฟป๊อป จากบ้าน Shuffle Records ก็พาเราย้อนกลับไปนึกถึงความทรงจำในวันวานเหล่านั้น แม้จะเป็นวงที่นิยามตัวเองว่า “Four Man Can Pop” แต่เสน่ห์ของ Sukid458 ไม่ได้มีแค่ป๊อปที่สนุกหรือเมโลดี้ติดหูเท่านั้น สิ่งที่ทำให้พวกเขาโดดเด่นกว่าหลายวงในรุ่นเดียวกัน คือพลังความเป็นวัยรุ่นที่ไม่สมบูรณ์แบบและสไตล์การร้องที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ที่ผสมทั้งความกวน ความซื่อ แบบเด็กผู้ชายที่ยังอยากลองผิดลองถูกในทุกก้าวของการทำเพลง
หลังจากทำให้แฟนเพลงตกหลุมรักมาตั้งแต่ อัลบั้ม “458” ล่าสุดสี่หนุ่มกลับมาพร้อมซิงเกิลใหม่ เธอเชื่อฉันหรือเปล่า? เพลงที่พาเราขยับจากความซ่าแบบวัยรุ่นไปถึงการตั้งคำถามกับตัวเองถึงความเชื่อมั่นในตัวเอง ผ่านภาษาที่ตรงไปตรงมาซึ่งเป็นลายเซ็นของพวกเขา อีกทั้งยังมาพร้อมกับมิวสิควิดีโอที่ชวนให้เราย้อนกลับไปทบทวนความฝันที่เคยพกพาในวัยเด็ก วันนี้เรามีโอกาสได้ชวน Sukid458 มานั่งพูดคุยถึงที่มาที่ไป เบื้องหลังความหมายที่ซ่อนอยู่ของซิงเกิลล่าสุด และมุมมองความฝันของวนในอนาคต

สมาชิก Sukid458
ซันซัน – ศุภกิตต์ แซ่จู (ร้องนำ)
บีม – พันธมิตร ดีรักษา (กลอง)
ไวน์ – อัครเดช หอมสุวรรณ (เบส)
เล็ก – ภูมิภัทร สิงหาทอ (กีตาร์)
ชื่อวงอ่านว่าอะไร มีที่มายังไงทำไมถึงมาเป็น Sukid458
ซัน: จริง ๆ แล้วชื่อวงอ่านว่า “ศุกิต” มาจากชื่อจริงศุภกิตต์ครับ พอมาเป็นวงก็เปลี่ยนความหมายเป็น Son you always a kid ที่แปลว่าลูกชายผู้เป็นเด็กอยู่เสมอ ส่วน 458 ผมมองเป็นลัคกี้นัมเบอร์ ผมหลับตาจิ้มมาแล้วฟอนต์มันดูแข็งแรงดี
รวมกลุ่มเป็น “Four man can pop” ได้ยังไง
ซัน: ตอนนั้นมีงาน Cat Expo ผมมีเพลงอยู่และรู้สึกว่าตัวเองอยากไปเล่น ผมเลยฟอร์มวงกับเพื่อนไปประกวดเวที Isuzu แต่งานนั้นก็ไม่ได้ครับ หลังจากนั้นก็มีงานจ้างที่ Blueprint Livehouse เข้ามาแทนครับ ก็เลยได้เล่น และฟอร์มวงกับเพื่อนมาเรื่อย ๆ ครับ
ทำไมถึงต้องเป็น 3 คนนี้
ซัน: ตอนนั้นผมมีเพื่อนไม่เยอะครับ (หัวเราะ) ก็พยายามหาเพื่อนเล่นดนตรีเท่าที่ได้ครับ บีมก็ยอมมาตีกลองให้เพราะตอนนั้นบีมยังตีกลองไม่เป็น ก็มาฝึกตีกลองแล้วก็เล่นด้วยกันสลับกันไปมั่ว ๆ
ทำไมถึงเลือกทำเพลงแนวอัลเทอร์เนทีฟป๊อป มีแรงบัลดาลใจมาจากไหนกันบ้าง
ซัน: ถ้าเป็นวัยผม อายุ 20 ต้น ๆ ก็น่าจะไม่พ้นภาพยนตร์ Suckseed ซักซี้ด ห่วยขั้นเทพ และ Season Change ซีซันส์เชนจ์ ครับ ผมมีความฝันว่าอยากทำอะไรบ้า ๆ ครับ และผมชอบหนังอัลเทอร์เนทีฟด้วย ส่วนวงที่ฟังก็ไม่พ้นพวก Scrubb, Tattoo Colour, ค่าย Bakery และ Smallroom ครับ
เล็ก: ถ้าอย่างผมเมื่อก่อนผม ชอบ Tattoo Colour ผมชอบแทททูมาตั้งแต่เด็กเลยครับ
ซัน: พื้นฐานของแต่ละคนจะชอบป๊อปอยู่แล้วครับ
บีม: ผมก็ติด Smallroom ช่วงมัธยมครับ ฟังเพลง Smallroom เยอะ
นอกเหนือจากการทำเพลง แต่ละคนทำอะไรกันอยู่บ้าง งานอดิเรกชอบทำอะไรกัน
ซัน: กินเหล้า (หัวเราะ)
ไวน์: แต่จริง ๆ พวกผมยังเรียนกันไม่จบครับ หลัก ๆ ก็คือเรียนเลย
ซัน: พอเรียนดนตรี ตื่นมามันก็ไม่พ้นดนตรี มันก็วน ๆ ไปเล่น ไปซ้อม ไปทำงาน ทำการบ้าน ฟังเพลง วนกันแบบนี้มากกว่าครับ แต่ก็มีกินเหล้าบ้าง
เล่าให้ฟังหน่อยในซิงเกิลล่าสุด เธอเชื่อฉันหรือเปล่า? มีแรงบัลดาลใจและที่มายังไง
ซัน: ถ้าแบ่งเป็นพาร์ทดนตรีก็คือพวกเราอยากได้เพลงซิ่ง แบบว่าที่มันวิ่ง ๆ อะครับ เล่นสนุก ๆ ไปกับจังหวะ มีความอัลเทอร์เก่า ๆ เพราะซิงเกิลก่อนหน้านี้มันเป็นภาพหลอก ผมว่ามันหนักมากก็เลยอยากให้อันนี้เบาหน่อย ส่วนเนื้อเพลงก็จะมาจากผมหมดเลยครับ ผมอยากให้มันมีลูกเล่นของเรื่องเนื้อเพลงมากขึ้น คิดซับซ้อนมากขึ้น แต่ก็พยายามให้ออกมาง่ายที่สุด เพลงนี้เป็นเพลงเกี่ยวกับตั้งคำถามในช่วงหนึ่งกับตัวเองว่าเราเชื่อในตัวเองหรือเปล่า เพราะก็มีช่วงที่ผมถามตัวเองแบบนั้น ผมคิดว่ามันก็น่าจะทำงานกับคนได้ ทุกคนน่าจะมีช่วงในชีวิตที่แบบยืนหน้ากระจกแล้วคุยกับตัวเอง
แต่ละคนมีภาพฝันของ Sukid458 คืออะไร
ซัน: ถ้าในเอ็มวีก็มีตอบไปบ้างแล้ว ก็คือเล่นดนตรีไปเรื่อย ๆ นั่นคือเป้าหมายเพราะมันไม่เครียดอะครับ แล้วก็ในเอ็มวีเราเอากล้องมาแล้วหันกลับไปหากระจกถามตัวเราเอง เราก็พูดกับวงว่าเราจะเล่นดนตรีไปตลอด
เล็ก: ส่วนตัวผมแค่อยากเล่นดนตรีไปกับเพื่อน ผมไม่เคยมองว่ามันต้องไปไกลมากกว่านี้เลยครับ
ไวน์: ผมคิดเหมือนเพื่อน ๆ คนอื่นเลยครับ ก็อยากเล่นด้วยกันไปเรื่อย ๆ อาจจะมีทะเลาะกันบ้างแต่อยากให้รักกัน รักษาความสัมพันธ์ไว้แต่หลัก ๆ ผมอยากเล่นให้มีความสุข
บีม: ผมอยากให้เติบโตไปด้วยกัน โตไปกับดนตรีในแบบของพวกเรา
แล้วตอนเด็ก ๆ มีความฝันไหม ว่าโตอยากจะเป็นอะไรกัน เคยคิดไหมว่าจะได้เป็นศิลปิน
ซัน: ตอนเด็กผมอยากเป็นเชฟครับเพราะชอบทำอาหาร แล้วก็ตอนโตตอนจบ ม.6 ไม่รู้จะเข้าอะไร คิดว่าตัวเองรู้เรื่องดนตรีเยอะ ก็เลยจับพลัดจับผลูเข้าไปเรียน และเหตุการณ์หลายอย่างก็ได้มาทำวง ฟลุ๊คอยู่เหมือนกันครับ เพราะก็ไม่เคยคิดว่าจะได้มาเป็นศิลปิน ไม่มีอยู่ในฟังก์ชันหัวเลยครับ แค่ชอบเล่นตามพี่เฉย ๆ ครอบครัวชอบเล่นดนตรีก็เล่นไปเรื่อย ๆ งงเหมือนกันครับ
เล็ก: ผมอยากเป็นนักบอลครับ แต่ว่าขาหักก็เลยไม่ได้เป็นครับ ผมก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะทำวง ตอนนั้นผมก็เล่นดนตรีตามรุ่นพี่ครับ แค่อยากแอคผู้หญิงเฉย ๆ ผมเริ่มจากกีต้าร์อันดับแรกครับ (หัวเราะ) เพราะว่ารุ่นพี่เขามีกีต้าร์ 2 ตัวที่บ้านครับ ก็เลยแบ่งกันเล่น
บีม: ผมก็จะคล้ายเล็กครับ แต่ผมมีความคิดที่อยากจะเป็นร็อคสตาร์ตั้งแต่เด็กเลยครับ ผมก็เล่นดนตรี พ่อซื้อกีต้าร์ไฟฟ้า กีต้าร์โปร่งให้ตั้งแต่เด็ก ผมก็หัดเล่นด้วยตัวเอง ตอนเด็กผมจะไปสายกิจกรรมอย่างเดียวครับ ทั้งเล่นกีฬา เล่นดนตรี แต่เรียนเนี่ยผมไม่เอาเลย แต่ก็มีควบคู่กันไปครับ
ไวน์: ของผมก็ตอนเด็กผมอยากเป็นนักบอลครับ แต่ว่าฐานะตอนนั้นไม่ได้ดีมาก ผมก็ขอแม่ การเป็นอะไรแบบนี้มันต้องใช้ทุนอะครับ พอ ม.ปลาย บ้านฐานะเริ่มดีขึ้น ที่บ้านก็ถามว่าลองเล่นดนตรีไหม เดี๋ยวซื้อกีตาร์ให้ ผมก็ได้ ๆ เลยเริ่มเล่นจากตรงนั้นลากยาวมาเรื่อย ๆ กลายเป็นว่าเราชอบมันจริง ๆ
พอเราเล่นกีตาร์เป็นอย่างแรก พอมาทำวงต้องเปลี่ยนเครื่องดนตรี มีความยากง่ายยังไง
บีม: ก็เป็นโจทย์ที่ยากมากระดับหนึ่งสำหรับผมนะ เพราะผมไม่เคยเรียนกลองหรือตีกลองแบบเป็นจริงเป็นจัง ก็ต้องพยายามเลยครับ เริ่มจากตีกลองอากาศ แล้วค่อยไปลองกับกลองจริง ฝึกไปเรื่อย ๆ ทีละนิด ฝึกแยกประสาทสัมผัส แต่ผมเป็นคนชอบฟังกลองอยู่แล้ว ชอบจังหวะ เวลาฟังเพลงผมก็จะเน้นโฟกัสที่ริทึมอย่างเดียวเลยครับ ไม่ได้โฟกัสที่เนื้อเพลงอะไรมาก แต่ช่วงหลังก็มีโฟกัสทุกอย่าง
ไวน์: สำหรับผมเล่นเบส กีต้าร์กับเบสมันเป็นเครื่องสายเหมือนกันอยู่แล้วครับ หลาย ๆ อย่างมันก็เหมือนกัน ผมก็เลยเอาจากตรงนั้นมาปรับใช้ แค่วิธีเล่นอาจจะไม่เหมือนกัน แต่ตอนเริ่มต้นทำให้เรามีแต้มต่อ มันเลยไม่ได้ยากมาก
ในอัลบั้ม “458” เป็นโปรเจ็กต์ที่เกิดจากซันก่อนที่จะรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ มีจุดเริ่มต้นของไอเดีย และมีความท้าทายในการทำเพลงยังไงบ้าง
ซัน: อัลบั้ม 458 สีแดงนะครับ เกิดจากการที่ผมมีแนวคิดที่อยากเก็บพอร์ตตัวเองครับ ผมมองว่า Spotify เป็นที่เก็บพอร์ต อารมณ์เหมือนเราอัพเข้าซาวคลาวด์อยากฟังตอนไหนก็ได้ ผมก็ลงในโน๊ตไว้ว่าเก็บไว้เป็นพอร์ต พอเราจบปี 4 แล้วเราทำเพลงเป็นยังไงก็กลับมาเปรียบเทียบดู พอลงไปมันก็ทำงานเลย หลังจากนั้นมันก็ได้งานต่อยอดมาเรื่อย ๆ 458 มันเป็นอัลบั้มที่ไม่ได้มีการคาดหวังอะไรเลยสักนิดครับ มันเหมือนโพสต์หนึ่งในเฟซบุ๊กที่มีคนแชร์ แต่ก็หลังจากนั้นก็เริ่มจริงจังมากขึ้นเรื่อย ๆ เราก็เริ่มแคร์คนที่แชร์ขึ้นเรื่อย ๆ แต่เราก็ยังไม่ลืมตัวตนเรา ก็ยังทำเพลงในฐานะ Sukid458 อยู่
เนื้อหาในอัลบั้ม 458 มาจากประสบการณ์ส่วนตัวรึเปล่า
ซัน: แต่ละเพลงมันก็มีเรื่องราวของมัน เพลงที่สำคัญกับผมจริง ๆ คือเพลง 31 สิงหา เพราะมันคือเพลงที่อาจจะมีแค่ผมที่เข้าใจ เพราะเงื่อนไขที่จะเข้าใจเพลงนี้ก็คือต้องเกิด 31 สิงหาคม ต้องสูญเสียอะไรบางอย่างในวันนั้น ต้องชอบแนวเพลงผม มันถึงจะอินกับเพลงนี้ได้ซึ่งมันหาสามอย่างนี้ยากมาก ผมคิดว่าผมเป็นคนที่อินกับเพลงนี้มากที่สุด แต่ถ้าเป็นในภาพรวมน่าจะเป็นเพลง เพราะเธอ ที่เป็นเพลงแรกที่ผมขึ้นในกีต้าร์ ก็รู้สึกว่าเพลงนี้น่าจะเป็นเพลงที่ออกมาไวมาก เพราะมันเรียบง่ายมาก ถ้าไปอ่านเนื้อเพลงมันแทบไม่ต้องตีความอะไรเพิ่มเลยครับ มันเป็นการสรุปชัดเจนเลยว่าเราต้องการจะสื่ออะไรกับคนคนนั้น ส่งเพลงนี้ไปเพราะเธอ ใช้จีบสาวทั่วไป
เพลง เพราะเธอ เป็นไวรัลในโซเชียลมีเดียด้วย เรารู้สึกยังไงที่เพลงเราถูกพูดถึง
ซัน: โอ้ อันดับแรกก็คือดีใจ ถ้าเขาพูดถึงในทางที่ดี แน่นอนว่าต้องขอบคุณและดีใจครับ ถ้าพูดตรง ๆ เป้าหมายหลักของการที่เราปล่อยเพลงลงในสตรีมมิ่งอะครับ บางทีถ้าเราแต่งเพลงอยู่บ้านเราไม่จำเป็นต้องมีพวกนั้นเลยก็ได้ แต่อันนั้นมันเป็นหลักฐานว่าเราปล่อยเพลงลงสตรีมมิ่ง แล้วมันมีคนฟังเพลงเรา ไม่ว่าเราจะชอบเพลงนั้นมาก เพลงนั้นน้อย สุดท้ายเพลงมันไม่ได้ทำงานกับเราคนเดียวแบบเดียวตลอด เพลงที่ผมไม่ชอบที่สุดในอัลบั้มมันอาจจะเป็นเพลงที่บางคนชอบที่สุดก็ได้
การออกแบบร้องของวงมีเอกลักษณ์มาก เราออกแบบการร้องยังไง
ซัน: มันก็ไม่เชิงออกแบบ (หัวเราะ) จะพูดว่าออกแบบมันก็ใช่ครับ สำหรับผมตอนที่ผมร้องแบบนั้นไปในหัวผมคือ NONT TANON เลยนะ จนมีคนมาทักผมเลยมาดูคลิปตัวเอง ผมก็คิดว่ามันก็แตกต่างดี แต่ผมก็ไม่ค่อยแคร์อะไรเท่าไหร่เรื่องร้อง ผมว่าเรื่องร้องมันก็ยากอยู่เหมือนกัน ผมไม่ใช่คนร้องเพลงตั้งแต่แรกเหมือนกัน
อัลบั้ม ป็อป // เนทีฟ . เราได้ทำกับวงแล้วหรือยัง
ซัน: ยังครับ กระบวนการการทำงานต้องบอกก่อนว่าวงที่ผมเอาเข้ามาคือเล่นสดเป็นส่วนใหญ่ครับ มันก็จะมีความสดใหม่ในเรื่องของการแสดงมากเลยครับ เพราะวงเราเป็นวงที่คิดว่าการเล่นสดสำคัญมาก ๆ แต่ก็ไม่ใช่เนี๊ยบนะครับ เราต้องการความบ้าความแตกต่างจากแทรกออริจินัล เราไม่ต้องการเล่นในเหมือนใน Spotify เราต้องการเล่นให้แตกต่าง เราต้องการให้คนเอ๊ะ ถ้าอยากฟังแบบนี้อีกต้องมาดูสดนะ ส่วนในพาร์ททำเพลงก็ยังเป็นกระบวนการคิดของผมอยู่ครับ ด้วยความคล่องตัวและเรื่องของเวลาด้วยครับ
แล้วมีอะไรที่วงทำด้วยกันบ้าง
ซัน: ถ้าอัพเกรดขึ้นมาก็คือ ผมกับบีมก็จะเริ่มด้วยกันครับ บีมเริ่มเข้ามาช่วยในพาร์ทกลอง บีมเข้ามาช่วยในเรื่องของโทนและเรื่องเนื้อเพลงรวม ๆ อะครับ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องในพาร์ทดนตรีครับ ส่วนในเรื่อง Art Direction หรือในเรื่องแนวทางวงก็ยังเป็นความคิดของผม
พอได้ทำอัลบั้ม ป็อป // เนทีฟ . เรามองว่าเราโตขึ้นหรือแตกต่างจากการทำอัลบั้มแรกยังไง
ซัน: ความกล้าที่จะเล่าเรี่องอื่นนอกจากความรักครับ ความกล้าที่จะแตกต่างกว่าเดิม มันต่างจากอัลบั้ม 458 ตรงที่ความคาดหวังมันมาเยอะกว่าปกติ ผมก็นับว่าอันนั้นเป็นจุดที่โตเหมือนกันครับ แล้วก็ความกดดันมากขึ้น กดดันในเรื่องของตัวเอง พอเพลงเก่าที่เราไม่ได้คาดหวังแม่งเสือกทำงาน แล้วถ้าเพลงที่เราคาดหวังมันไม่ทำงานมันจะผิดหวังไหม อีกอย่างเรื่องของเมโลดี้ก็กล้าคิดมากขึ้น กล้าที่จะตั้งใจที่จะร้องกวน ๆ ไปเลย ให้คนฟังไม่ออกเลยอะครับ ส่วนดนตรีมันก็ไม่ได้ออฟฟิเชียลขนาดนั้น มันก็ยังรู้ว่าเด็กทำอยู่ ซึ่งพวกเราก็ไม่ต้องการให้คนคิดว่าเราเป็นออฟฟิเชียลอะไรอยู่แล้ว เพราะไปเล่นสดเราก็ไม่ได้ภาพนั้นอยู่แล้ว เล่นสดเราก็บ้า ๆ เลยอะครับ ก็เลยอยากให้คนมองเห็นตั้งแต่แทร็กมันอาจจะเป็นเป้าหมายแรกที่อยากให้รู้ว่าวงเราเป็นแบบนี้นะ เราไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะ คุณอาจจะเคยเห็น 458 ที่เป็น IF YOU ที่ร้องเพลงฮิปฮอป แต่เราไม่ใช่อย่างนั้นเลยครับ เราคนละขั้วเลย เราเป็นร็อคสตาร์กัน คือเป็นไปได้เราอยากถอดเสื้อเล่นกันมากเลยครับ (หัวเราะ)
วัยรุ่นที่ไม่สมบูรณ์แบบเลยที่มาของอัลบั้มป็อป // เนทีฟ . ด้วยใช่ไหม
ซัน: ใช่ครับ อัลบั้มป็อป // เนทีฟ . มันอาจจะไม่ใช่ ผลงานชิ้นเอก (Masterpiece) ในเรื่องของดนตรีแต่ผมให้มันเป็นเรื่องของความคิดหรือแก่นของวงเลยครับ มากกว่า 458 อีก ผมได้คำว่า Son you always a kid จากอัลบั้มนี้ ผมได้แนวคิดว่าเราเป็นเด็กในการทำเพลง เราจะบ้า ๆ เราจะทำเสียงไม่ต้องแคร์เหี้ยไรเลย ถ้ามันไม่เดือดร้อนใครเราก็จะทำมัน เราจะทำอะไรที่คนอื่นเขาไม่ทำกัน ที่มันไม่เห็นในซีนเพลงป๊อป เพราะสุดท้ายเรายังยืนยันคำเดิมว่าเราเป็นวงป๊อป เราแทบไม่อยากเรียกตัวเองว่าอินดี้ด้วยซ้ำ เพราะเรารู้สึกว่าเราไม่ได้ไปเข้าข่ายพวกนั้นเท่าไหร่ เรารู้สึกว่าแนวเพลงเรามีความเฉพาะมาก ๆ ครับ
อัลบั้ม ป็อป // เนทีฟ . ใช้ปกอัมบั้มเป็นรูปเด็ก เด็กคนนี้คือใคร ทำไมเรานึกเลือกใช้รูปนี้
ซัน: รูปผมเองครับ กลัวกฎหมายอยู่ก็เลยใช้รูปตัวเอง เป็นรูปที่แม่ถ่ายให้ด้วยครับ ส่วนใหญ่หลาย ๆ อย่างจะทริกเกอร์กับผมเป็นเรื่องส่วนตัวค่อนข้างเยอะครับ แต่ผมพยายามเล่าในมุมที่ทุกคนสามารถเอาไปคิดต่อในแบบของตัวเองได้
แล้วถ้าเด็กบนปกอัลบั้มสามารถคุยกับพวกเราได้ คิดว่าเขาจะพูดว่าอะไร หรือเราจะพูดอะไรกับเขา
ซัน: เออะ ปา ปะ (พูดแบบเด็กทารก)
เล็ก: มึงเอากูมาทำอะไร มึงเอากูมาทำไม
ซัน: ถ้าผมเจอตัวเองจริง ๆ ผมก็คงไม่พูดอะไร คงยิ้มเฉย ๆ
เล็ก: น้าเปงใคร (หัวเราะ)
บีม: ถ้าเป็นผม ผมคงไม่พูดอะไร ผมก็จะปล่อยให้ซันเติบโตแบบนี้ล่ะครับ ไม่งั้นคงจะไม่มี 458 ในวันนี้
เพลงของ Sukid458 ให้ความรู้สึกที่ Nostalgia ทำให้นึกถึง ยุค 2000’s เราชอบอะไรกันในยุคนั้นบ้าง
ซัน: เอาจริง ๆ เราเกิดไล่เรี่ยกันปี 2002 2003 ครับ แล้วที่จริงเราไม่ได้โตในยุค 2000 ด้วยครับ เราโตในยุค 2010 2020 ด้วยซ้ำ ยุค 2000 มันคือยุครุ่นพี่พวกเราอะครับ เราก็จะมองว่ายุคนั้นเท่มาก ทั้งเรื่องการแต่งตัว วัฒนธรรมหลายอย่าง ทั้งไทยและต่างประเทศ ในช่วง 2010 ผมรู้สึกว่ามันเป็นช่วงที่โลกเชื่อมต่อกันไปหมดเลย ทุกอย่างมันดูมีแบบแผนเดียวกัน มันเป็นเสน่ห์ และวัฒนธรรมเลยครับ ทั้งการแต่งตัว และเพื่อนผมเรียนดีไซน์ผมก็เห็นมันมีความ 2000 กว่าขึ้นนะ แต่ก่อนมันติดโมเดิร์น แต่ก่อนมันมีกลิ่นอายโมเดิร์นมาเลย แต่ตอนนี้ก็มีการกลับมาของ Y2K เอามาดัดแปลงแและต่อยอด ผมคิดว่าวัยรุ่นตอนนี้ทำแบบวงแบบพวกเราเยอะ ผมคิดว่าก็รับอิทธิพลมาจากยุคเดียวกันนี่แหละ
แต่ละคนมีสิ่งของอะไรในยุค 2000’s ที่เราอยากได้ไหม
ซัน: ถ้าของผมจะเป็นอย่างในเอ็มวีเธอเชื่อฉันหรือเปล่า ผมอยากได้ภาพที่ใช้ Handy Cam ส่วนสิ่งของผมจะนึกถึง สถานที่มากกว่า อย่างร้านเกม ผมคิดว่าเติบโตมาไม่ดนตรี ก็อีสปอร์ตนี่แหละ
เล็ก: จอแก้วงี้เหรอ
ซัน: ใช่ เป็นอะไรไวป์พวกนั้นมากกว่า อย่างวินนิ่งตู้เกม อะไรที่เราครอบครองไม่ได้ เราต้องจ่ายเป็นครั้งความอนาล็อคพวกนั้นมันมีคุณค่าครับ เพราะเราเจอกันมันไม่ได้เจอกันง่าย ๆ เราต้องนัดกันนะ แต่ตอนนี้เราจะทำอะไรมันเร็วไปหมดอะครับ แต่ก่อนกว่าจะได้อะไร กว่าจะโทรมันไม่ได้เร็วขนาดนี้ ผมรู้สึกว่ามันเป็นเสน่ห์ในยุคนั้น
ไวน์: ของผมก็คล้ายที่เพื่อนพูดเมื่อกี้อะครับ ถ้ายุคนั้นที่ผมชอบก็คอมจอแก้วเลยครับ รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้นเลยนะ แต่ว่าแบบมันก็คนละแบบกับตอนนี้ เพราะตอนนั้นเรารู้สึกว่าเรายังเชื่อมต่อกับสังคม แต่ว่าสมัยนี้มันง่ายไปหมดเหมือนเราไม่ได้เชื่อมต่อกับคนอื่นเลย
เล็ก: ทามาก็อตจิครับ ผมโตมากกับพี่สาว เพราะที่บ้านผมผู้หญิงเยอะแล้วผมก็ไปเล่นที่อื่นไม่ได้ ผมก็ต้องเล่นกับเขา
ทำไมถึงเลือกมาอยู่บ้าน Shuffle Records
ซัน: อย่างที่บอก เรายังเป็นเด็กครับ เราไม่กล้าพรวดพราดไปทำอะไรที่มันใหญ่เกินตัว Shuffle Records มันดู เขาเพิ่งนับ 1 นะ เราเพิ่งนับ 1 อายุวงกับอายุค่ายมันก็ไล่เลี่ยกัน ก็คิดว่าน่าจะโตไปด้วยกันได้

วงเคยมีความกังวลไหมว่าพออยู่ค่ายใหม่แล้วเอกลักษณ์ของ Sukid458 จะเปลี่ยนไป
ซัน: กังวลครับ เพราะรู้สึกว่าจุดเดียวที่เรามีและสู้คนอื่นได้ คือจุดนี้เลยครับ เอกลักษณ์มันคือจุดเดียวที่เรากล้าไปเล่น มันเหมือนเป็นอาวุธชิ้นเดียวของพวกเราก็เลยกลัวมาก ๆ แต่พอได้คุยหลาย ๆ ครั้ง การเปลี่ยนแปลงมันไม่ใช่เรื่องแปลกการที่เราจะทำ 458 แนวเดิมแบบอัลบั้มแรกตลอดมันก็ไม่ใช่ เรารู้สึกว่าเราจะโตไปในแนวทางของเรา เราจะเป็นไงก็เป็นงี้เราจะโตยังไงเราก็จะโตอย่างนี้แหละ ก็เลยคิดว่าอยู่กับ Shuffle ก็สบายใจ ผมรักค่ายนี้จริง ๆ ครับ ผมคุยกับเพื่อนยังไงก็มีแต่ค่ายนี้ ชั่งน้ำหนักดูแล้วรู้สึกว่าค่ายนี้คือทางที่เดินไปแล้วยังไงก็ไม่เสียใจ
พอเปลี่ยนค่ายใหม่วิธีการทำเพลง การทำงานหรือเรื่องความคิดสร้างสรรค์เปลี่ยนหรือแตกต่างไปจากเดิมไหม
ซัน: ให้เต็มที่เลยครับ แทบจะเหมือนเดิมแค่มีค่ายซับพอร์ตครับ ก็เรื่องในพาร์ททำเพลงก็ได้อัพเกรดขึ้น ได้ลองการทำงานในแบบใหม่ ๆ ผสมกับการทำงานที่เราอยากทำด้วย ตอนแรกก็กลัวว่า เฮ้ย ถ้าไปทำกับเขาต้องทำวิธีเขาทั้งหมดเลยไหม หรือเราปรับเปลี่ยนวิธีตัวเองได้ด้วย พี่เขาบอกได้เต็มที่เลยซัน เอาเลย ๆ จัดการเลยซัน ๆ
วงมีเป้าหมายต่อไปคืออะไร จะมีอัลบั้มใหม่ให้พวกเราได้ฟังกันเร็ว ๆ นี้หรือยัง
ซัน: มีเพลงในคลังค่อนข้างเยอะ แต่ต้องคัดเลือกอีกทีปรับคอนเซปต์มากขึ้น แล้วก็ดูแนวทางว่าเพลงไหนจะได้อยู่ต่อ หรือเพลงจะเก็บไปพัฒนาต่อเพิ่ม
SUKID 458 ก็มีฐานแฟนคลับใหญ่อยู่เหมือนกัน ในมุมมองของวง คือไวรัลอย่างเดียวเหรอ หรือมันมีอะไรที่ทำให้สู่คิด สร้างฐานแฟนได้เร็วขนาดนี้
ซัน: ไวรัลส่วนนึงครับ แต่ตอนไวรัลพวกเราพวกเราไม่รู้ตัวกันเลยสักคนครับ ผมยังงงอยู่เลยว่าตอนนั้นเพลงไปอยู่ใน Tiktok นะ เรายังไม่มี Tiktok เลยสักคน แล้วก็งงเลยไปอยู่ใน Tiktok ได้ยังไง พอมีคนใช้มันก็เรื่อย ๆ ถ้าตอบว่าไวรัลอย่างเดียวไหม จริง ๆ ไวรัลช่วยเยอะ มีคนเข้าออกบ้าง คนมาฟังชอบเพลงนั้นเพลงนี้ บางคนชอบก็ฟังต่อ หรือบางคนชอบแค่บางเพลงมันเป็นเรื่องปกติเลยครับ วงผมแปลกเรื่องโชเชียลมาก เพราะผมไม่ได้คิดเรื่องไวรัลจริง ๆ นะครับ ไอจีเราเพิ่งมาสร้าง ติ๊กต่อกก็เพิ่งสร้างครับ เราทำอะไรช้ากว่าคนอื่นมากเลยครับ พอมันไวรัลได้ เราคงไม่หาเหตุผลที่มันไวรัลได้หรอก เราคงขอบคุณอย่างเดียว ขอบคุณมาก ๆ ไวรัลอีกสักครั้งก็ได้นะ จะกราบงาม ๆ เลย เพลงนี้ก็ดีนะ มันไม่น่าเบื่อหรอก
เรามีชื่อไว้เรียกแฟนเพลงไหม
ซัน: ไอ้หนุ่ม ไอ้หนู ส่วนใหญ่ถ้าเป็นรวม ๆ ก็ 458 แหละครับ คุณ 458
ช่วงปีสองปีที่ผ่านมา มันก็มีเทรนด์ที่ศิลปินเขาอยากออกไปข้างนอก SUKID 458 เราอยากออกไปนอกประเทศไหม
ซัน: คิดไว้นะครับ แต่ผมไม่รู้ว่าแต่ละคนคิดเท่ากันไหม มันเป็นเรื่องของอนาคตล้วน ๆ เลย แต่สุดท้ายตอนนี้เป้าหมายของเรา เรายังมองไทยอยู่ รู้สึกว่าเพลงเราภาษาไทยนะ เพลงเรามีอังกฤษแค่สองเพลง ถ้าเราไปประเทศอื่น เราก็คงอยากสื่อสารด้วยภาษาที่เขาเข้าใจได้ แต่ถามว่าอยากไปไหม ก็แน่นอนครับอยากไปอยู่แล้วมาก ๆ ผมว่าความฝันของวงเล็ก ๆ ก็อยากไปเล่นต่างประเทศ ผมคิดว่าทุกคนอยากไป พวกเราให้คุณค่ากับการเป็นอมตะมาก ๆ ผมไม่อยากสร้างอะไรที่มันฉาบฉวย ไม่อยากเป็นวงที่ดังแล้ว ฮิต ดังแล้วก็หายไป อยากเป็นวงที่เพลงดังเฉลี่ย ๆ กันก็ได้ เป็นวงที่ทุกเพลงมันมีความหมาย ทุกเพลงมันมีหน้าที่ของมัน มันควรจะเป็นงานศิลปะ งานเพลงอะครับ สรุปง่าย ๆ คือเราไม่อยากทำเพลงที่ฉาบฉวย เราอยากทำเพลงอมตะ
ถ้าให้เลือก 1 เพลงที่แต่ละคนชอบที่จะเป็นเพลงอะไรกัน เพราะอะไร
ซัน: ของผม ผมตอบก่อนก็ได้ครับ 31 สิงหา คิดถึงแม่ก็เลยเขียนถึงแม่ ง่าย ๆ เลยครับ
บีม: ถ้าเป็นผม ผมเลือกเพลง เพราะเธอ ครับ เพราะว่าเพลงมันตรงกับผมด้วยที่ไม่ใช่แบบชายรักหญิง วัยรุ่นจีบกัน แต่ผมมองว่าซันเข้ามาเปลี่ยนชีวิตผม ชวนผมมาเล่นดนตรี มาสนุกกัน ตามในเนื้อเพลงเลยครับ เพราะเธอได้เข้ามาเปลี่ยนชีวิตผม ทำให้ได้มีอะไรทำโฟกัสมากขึ้นจริงจังกับชีวิตมากขึ้นด้วย
เล็ก: ของผมเพลง อยากจะถาม ครับ จริง ๆ ผมชอบเพลงนี้เพราะหลาย ๆ เพลงในอัลบั้มป็อป // เนทีฟ . มันมีความอัลเทอร์ มีความตะโกน แต่เพลงนี้ทุกอย่างมันดูนุ่มไปหมดเลยครับ มันดูเป็นเพลงแบบน่ารัก ผมก็เลยชอบ
ไวน์: ชอบเพลง ร้องไห้ให้ตะโกน ครับ เป็นเพลงหนึ่งที่ชอบที่สุดตอนเล่นสด เนื้อเพลงอาจจะไม่ได้ตรงเราทุกอย่างแต่มันก็บ่งบอกความเป็นช่วงวัยรุ่นของเราครับ
อะไรคือเสน่ห์หลักของเพลง เธอเชื่อฉันหรือเปล่า? ที่อยากให้คนที่ยังไม่เคยฟังได้ลองฟัง
ซัน: เพลงนี้มีความ เมโลดี้ฟังง่ายมาก ๆ ครับ เข้าขั้นแบบว่าเด็กร้องตามได้เลย
เล็ก: ร้องว่าไง
ซัน: อ่า ปะ ป่า (พูดแบบเด็กทารก) ครับ เพลงนี้เนื้อหาก็มีความเข้าใจง่ายแต่ก็ซับซ้อน ถ้าคนมันจะคิดให้ซับซ้อนก็คิดได้ หรือส่งไปจีบสาวก็ยังได้ โซโล่ก็มันส์ดีครับ หลาย ๆ อย่างเราชอบกันมาก เป็นเพลงที่บีมอัดกลองฝึกกลองจริง ๆ อย่างที่ถามว่าเราได้ทำงานร่วมกันยัง อันนี้ก็เป็นในพาร์ทแรกเลยครับ ของเรื่องกลองที่บีมคิดเองหมดเลย เพราะหลักจากเพลงภาพหลอกหรืออัลบั้มป็อป // เนทีฟ . เราไม่ได้ขึ้นเพลงจากคอมแล้ว เราขึ้นเพลงจากห้องซ้อม เราขึ้นเพลงจากฟีลเราจริง ๆ อะครับ ก็เลยรู้สึกว่าน่าจะเป็นส่วนที่เด่นของเพลงนี้ แล้วก็การที่ผมตั้งใจร้องมากขึ้น น่าจะเป็นฟีลที่แตกต่าง แต่ยังเป็นฟีลเดิมมีความเป็นผมเหมือนเดิม เธอเชื่อฉันหรือเปล่า ไม่เชื่อลองไปฟังดูครับ
ฝากอะไรถึงชาว 458 หน่อย
ซัน: ก็ขอบคุณมาก ๆ ครับ ชาว 458 ก็เป็นเหตุผลเดียวที่พวกเราต้องออกไปเล่นเลยครับ หรือในอนาคตคนที่ยังไม่ได้เป็น คนที่ยังไม่ได้ชอบวงพวกเรา อันนั้นก็เป็นหน้าที่ที่พวกเราต้องไปทำให้พวกคุณเห็นว่าเราเป็นยังไงครับ หลังจากนั้นจะชอบไม่ชอบแล้วแต่เลย ก็ขอบคุณ พอจะพูดว่าชาว 458 แล้วเขิน (หัวเราะ) ก็ขอบคุณแฟนเพลงนะครับ 458 กรุ๊ป ที่ยอมรับในตัวตนพวกเรานะครับ บางคนก็มีที่มาช่วงแรกบ้าง แล้วก็หายไปบ้าง เราก็ไม่ได้โกรธนะมันเป็นเรื่องปกติเลยครับ แต่ตอนนี้ใครที่ยังอยู่ใครที่ยังติดตามก็ขอบคุณมาก ๆ ครับ เรายืนยันว่าเราจะเดินแนวทางนี้ต่อแน่นอน และก็หวังว่าทุกคนจะโตไปในแบบที่ทุกคนเป็นครับ

ติดตาม Sukid458 ได้ที่ Facebook และ Instagram
