หากให้เราลองนึกถึงวงดนตรีไทยที่กำลังมาแรงและหมายมั่นปั้นมือว่าพวกเขาจะ Rising ในไม่ช้านี้ สำหรับเรา หนึ่งในนั้นคือ TOFU วงดนตรีอัลเทอร์เนทีฟร็อกจากค่าย Smallroom Bangkok Pop Music Label ที่พึ่งปล่อยอัลบั้มเต็มชุดแรกในชื่อ PALE BLUE DOT ที่กระโดดจากวงโคจรเพลงนุ่มอร่อยลื่นหู มาสู่ผลงานหลากหลายอารมณ์ซึ่งเต็มไปด้วยสไตล์ดนตรีที่พวกเขาชอบ และอยากให้ทุกคนเปิดใจฟังเพื่อทำความรู้จักกันใหม่อีกครั้ง เราเลยขอถือโอกาสสัมภาษณ์วงเกี่ยวกับเบื้องหลังอัลบั้มและมุมมองต่อวงการเพลงไทยในตอนนี้
สมาชิก
บิ๊ง-วฐา อุ่นอัมพร (ร้อง,กีตาร์)
โบ-วรรธนะ ธราวัฒนธรรม (ร้อง,กีตาร์)
พีช-ภูริภัทร์ กลั่นเรืองแสง (เบส)
ออม-ธิติสรร ภูคงนิน (กลอง)

อ่านรีวิว PALE BLUE DOT อัลบั้มที่ว่าด้วยปรัชญามนุษย์ผ่านมุมมองของจักรวาลและดนตรีหลากหลายรูปแบบจาก TOFU
หลังจากที่ปล่อยอัลบั้มเต็มชุดแรกไป สมาชิกแต่ละคนรู้สึกยังไงกัน? หรือฟีดแบ็คส่วนหนึ่งที่ได้รับกลับมาเป็นอย่างไรบ้าง?
บิ๊ง: ผมว่ามันเป็นภาพที่เราอยากให้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เเรกที่เริ่มทำวง เเล้วเรารู้สึกก็ตื้นตันมาก ๆ ที่ในที่สุด หลังจากพยายามกันมานาน ตอนนี้มันสามารถปล่อยออกมาให้ทุกคนฟังได้แล้วสักที บางคนที่ได้ฟังอัลบั้มนี้แล้วมาแชร์กับเราก็บอกว่า แอบเอาไปป้ายยาให้คนอื่นจนชอบกันหลายเพลง ดูเป็นอัลบั้มที่ธีมชัดเจนและมีอะไรที่หลากหลายดีครับ
โบ: ในส่วนของฟีดแบคที่ได้รับกลับมา ผมรู้สึกว่าแฟนเพลงของพวกเรามีความ Royalty มากขึ้น ส่วนหนึ่งที่เคยติดภาพจำเก่าจาก EP NAM TAO HU (2022) ก็มาทำความเข้าใจในสิ่งใหม่ที่ทางวงต้องการจะนำเสนอ และยอมรับในความวาไรตี้หลากหลายของวงครับ
พีช: รู้สึกโล่งใจกับมันว่าเสร็จสักที เพราะเราทำกันมานานมาก นานจนอยากทำอัลบั้มใหม่แล้ว
ออม: ดีใจมากที่อัลบั้มได้ปล่อยออกไปสักที พวกเราตั้งใจทำในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ก่อนปล่อย จนถึงวันที่มันออกไปสู่คนฟัง ดีใจที่หลายคนชอบสิ่งที่เราเป็น และเข้าใจในสิ่งที่เราตั้งใจจะสื่อออกไปจริง ๆ ครับ
อัลบั้มนี้มีที่มาจากอะไร? แล้วทำไมถึงเลือกใช้คำว่า ‘PALE BLUE DOT’ มาเป็นชื่ออัลบั้ม หรือก่อนหน้านี้มีชื่ออื่นมาก่อนไหม?
พีช: มันมีที่มาจากตอนที่พวกเราไล่นั่งเช็คทั้งอัลบั้มกัน แล้วรู้สึกว่ามันต้องชื่อ ‘PALE BLUE DOT’ ที่หยิบภาพถ่ายจากยานอวกาศที่กำลังลอยออกนอกระบบสุริยะแล้วหันกลับมาถ่ายโลก ภาพนั้นมันทำให้เราเห็นว่าทุก ๆ เรื่องราวไม่ว่าจะดีหรือร้ายในชีวิต มันก็เป็นแค่เศษเสี้ยวฝุ่นผงที่ล่องลอยอยู่ในอวกาศ ไม่ต่างจากความรู้สึกที่ผ่านเข้ามาและมันจะผ่านออกไป
ออม: ก่อนหน้านี้เราเคยเปลี่ยนชื่อมาแล้วสองครั้งคือ ‘WABI SABI’ และ ‘Cosmic Symphony’ ซึ่งจริง ๆ ทั้งสองชื่อนี้ก็เป็นเพลงที่ใส่เข้ามาในอัลบั้มครับ แต่เนื่องด้วยหลาย ๆ เหตุผลในตอนนั้นก็เลยเลือกใช้ชื่อแบบนี้ไปก่อน แต่พอถึงช่วงท้ายของอัลบั้มที่กำลังจะปิดจริง ๆ พวกเราได้นั่งฟังเพลงทั้งหมดในอัลบั้มกันทั้งวง แล้วพีชก็ผุดชื่อ ‘PALE BLUE DOT’ ขึ้นมา เพราะรู้สึกว่าชื่อนี้มันครอบคลุมในส่วนของวิชวล และเนื้อหาของอัลบั้มได้ทั้งหมดได้จริง ๆ สุดท้ายวงก็เลยตกลงใช้ชื่อนี้เป็นชื่ออัลบั้มครับ
สังเกตว่าทิศทางดนตรีในอัลบั้มนี้มันเริ่มมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ตอนนี้เลยแอบอยากรู้นิดนึงว่าทุกคนชอบฟังอะไรกันบ้าง?
บิ๊ง: ปกติผมชอบฟังแจ๊สเป็นทุนเดิมครับ ด้วยความที่เราเรียนดนตรีมาด้วยแหละมั้ง ไม่ก็จะเป็นศิลปินแบบ King Krule, black midi, Kikagaku Moyo และอื่น ๆ
โบ: ส่วนตัวผมจะฟังเพลงค่อนข้างหลากหลายหน่อยครับ ตั้งแต่ อัลเทอร์เนทีฟ เซิร์ฟ การาจร็อก ชูเกส แจงเกิลป๊อป แล้วแต่ช่วงเลยว่าตอนนั้นอินหรือไปเจออะไรบ้าง
พีช: โพสต์พังค์ Fontaines D.C. ประมาณนั้นครับ
ออม: ส่วนใหญ่คือผมชอบฟังเพลงจากเพลย์ลิสต์ของคนอื่น ไม่ได้มีความตายตัวมากว่าตัวเองชอบอะไรเป็นพิเศษ แต่ถ้าย้อนไปช่วงเรียนมหา’ลัยก็จะฟังอินดี้ป๊อป ฟังตามเพื่อน เหมือนช่วงที่ทำอีพีชุดแรกก็จะชอบฟัง Boy Pablo


ขั้นตอนและแรงบันดาลใจเบื้องหลังในเพลง “ของมีตำหนิ (WABI-SABI)”
บิ๊ง: เพลงนี้ได้อิทธิพลมาจาก Led Zeppelin เลยลองทำมันออกมาให้มันมีโครงสร้างของเพลงโพรเกรสซิฟ ไซคีเดลิก และฮาร์ดร็อก ส่วนในด้านเนื้อหามันมาจากประสบการณ์ส่วนตัวที่ตอนแรกผมไม่เข้าใจถึงการที่ใครสักคนเคยเปรียบตัวเองเป็นส้มช้ำ ๆ เป็นของมีตำหนิ ด้วยคำถามที่ว่า “เราจะรับเขาที่เป็นตัวเองในแบบนั้นได้ไหม?” จนกว่าผมจะเข้าใจและตกตระกอนได้ก็ผ่านมาหลายปีเหมือนกันครับ
มุมมองที่มีต่อวงการเพลงไทยในตอนนี้? (ยกตัวอย่างเช่น มาตรฐานการทำเพลง สไตล์เพลง ไปจนถึงเรื่องของดนตรีที่เกี่ยวข้องกับสังคมการเมืองที่ศิลปินบ้านเรายังต้องได้รับการสนับสนุนอยู่)
โบ: ตอนนี้วงการเพลงไทยพัฒนาไปไกลมาก ทั้งในด้าน Production Standard การทำเพลง และแนวทางที่ศิลปินแต่ละคนกล้าแสดงตัวตนมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ศิลปินหลายคน โดยเฉพาะศิลปินหน้าใหม่ก็ยังต้องการพื้นที่และการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้เสียงของพวกเขา และเรื่องราวที่ต้องการจะสื่อสาร ได้มีโอกาสถูกได้ยินมากขึ้น
ส่วนตัวผมมองว่า วงการดนตรีไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่น่าสนใจ หลาย ๆ ศิลปินเริ่มพูดถึง วิถีชีวิตสังคม การเมือง หรือเรื่องที่ลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี เพราะดนตรีก็เป็นกระจกสะท้อนยุคสมัยของเราอยู่แล้วครับ
บิ๊ง: หรืออย่างศิลปินที่ทำเพลงแมส ผมมองว่ามันคือวิธีการเอาตัวรอดของเขา ขึ้นอยู่ที่ความต้องการของแต่ละคนด้วยว่าเขาอยากจะไปในทิศทางไหน ไม่ใช่เรื่องที่ผิดครับ ส่วนเรื่องมาตรฐานการทำเพลง เขียนเพลงก็ทำกันได้ดีอยู่แล้ว เว้นแต่ส่วนตัวผมอยากให้เราเริ่มปลดแอกกันหน่อย อยากได้ความแปลกใหม่ที่มากขึ้นครับ ไม่ได้อยากแปลกคนเดียว (หัวเราะ)
ทางวงมีมุมมองต่อการเขียนเนื้อเพลงเป็นภาษาอังกฤษยังไง หรือความท้าทายของมันคืออะไร และในฐานะศิลปินไทย คิดว่าจำเป็นไหม ที่ศิลปินจะต้องทำเพลงสากลสักเพลง?
บิ๊ง: สำหรับผม การเลือกภาษาไม่ได้เริ่มจากความ “จำเป็น” แต่เริ่มจาก ความรู้สึก และ พื้นที่ของอารมณ์ ที่เราต้องการเล่า บางความรู้สึกมันพูดออกมาเป็นภาษาไทยแล้วไม่ใช่ แต่พอเป็นภาษาอังกฤษ มันมี “โทน” และ “ระยะห่าง” บางอย่างที่พอดีกับอารมณ์ของเพลงนั้น
ความท้าทายของการเขียนเพลงอังกฤษสำหรับวงไทย คือ การไม่หลุดพ้นจากตัวตน ภาษาอังกฤษอาจช่วยให้ฟังเป็นสากลขึ้นจริง แต่ถ้าเราใช้มันแค่เพื่อให้ดูอินเตอร์ มันจะฟัง “ลอย” ทันที เพราะฉะนั้นเราพยายามให้การใช้ภาษาอังกฤษของเรา ยังมีมุมมองแบบคนไทยที่คิดเป็นภาษาไทยก่อน แล้วค่อยแปลความรู้สึกนั้นออกมาเป็นภาษา ไม่ใช่แปลแค่คำศัพท์ตรงตัวอย่างเดียวครับ
และสำหรับคำถามที่ว่า “จำเป็นไหมที่ศิลปินไทยต้องมีเพลงสากล” ผมว่าไม่จำเป็น แต่ศิลปินควรมี “อาณาเขตใหม่” ให้ตัวเองไปถึงเสมอ ภาษาอังกฤษเลยเป็นเหมือนพื้นที่ทดลอง ที่ทำให้เราก้าวออกจากกรอบเดิม แล้วได้เห็นว่าเรา “เป็นใคร” เวลาพูดด้วยภาษาอีกแบบหนึ่ง


ถ้าให้เลือก 3 เพลงที่บ่งบอกความเป็น TOFU จากอัลบั้มนี้ เพลงที่ว่าของแต่ละคนคืออะไร?
บิ๊ง: ‘Multiverse’ เรียกว่าเป็นหนึ่งในเพลงที่ผมได้โชว์ทักษะด้านดนตรี มันจะมีสิ่งที่เรียกว่า model-interchange (ถ้าไม่ใช่คนที่เคยเรียนดนตรีอาจจะงง ๆ หน่อยครับ) อธิบายคือเราใช้วิธีทดคีย์ไปเรื่อย ๆ 3-5 พอเจอเสียงอะไรที่เราได้ยินแล้วชอบ เราจะก็สามารถกดคอร์ดแล้วไหลตามไปได้ บ้างครั้งก็มีนอกคีย์ด้วย, ‘Simple Song’ เพลงนี้เรียบง่ายแต่โคตรอิมแพคข้างใน มันเป็นโทฟุในแบบใหม่ที่เติบโตขึ้น, ‘X9:12’ เพลงนี้พวกเราท้าทายด้วยการอะเรนจ์แบบใหม่และพยายามทำออกมาให้ช่วงทรานสิชันของเพลงสมูท โดยไม่พยายามหรือฝืนไป เพื่อเล่าถึงเล่าถึงการเดินทางในอารมณ์แบบลึก ๆ (เพื่อนเสริม: จริง ๆ ชื่อเพลงตอนแรกมันคือ Space X แต่มาเปลี่ยนเป็นชื่อนี้เพราะเบื้องหลังเราเซฟเพลงตอน สามทุ่มสิบสองนาที)
โบ: ‘Noise Cancelling’ เป็นเพลงแรกที่ได้ทำพร้อมกันทุกคน และมีความเป็นกลางในฐานะที่เรามาช่วยแจมกันครับ เพลงนี้จะมีทั้งกลิ่นอายไซคีเดลิก ฟังก์กี้ ร็อก โดยรวมมันจึงออกมาแปลกดี, ‘X9:12’ ผมให้ในแง่ซาวด์ดีไซน์กับ Potential ที่จะไปต่อของมัน รวมถึงเป็นสิ่งที่วงอยากพรีเซนต์ด้วยครับ, ‘บ่น (FUZZY)’ เป็นเพลงที่ผมได้ทำอะไรที่เราชอบตอนเด็ก ๆ ทั้งดนตรีโพสต์พังค์ กรันจ์ ที่ใช้เบสคม ๆ ดำเนินเรื่อง ประกอบกับเนื้อหาขบถกึ่งแร๊ป (บิ๊งไม่เคยแต่งเพลงพังค์มาก่อน แต่มันเป็นตัวอย่างที่ดีของสิ่งใหม่ที่มีคนเคยคิดไปแล้วครับ)
พีช: ‘Noise cancelling’, ‘Shattered Illusion’ และก็เพลง ‘Cosmic Symphony’ ครับผม
ออม: ‘Save As Houses’ เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าวงจะมีเพลงแบบนี้ ทั้งซาวด์และมู้ดแอนด์โทนที่ฟีลเกมส GTA เท่ดีครับ, ‘Multiverse’ (พีช: เอาจริง ๆ เพลงนี้โคตรยาก ไม่แน่ใจว่าจะเล่นกันยังไงดี เพราะเล่นไม่ซ้ำกันสักโชว์ แต่มันคือเพลงแจ๊สที่บิ๊งอยากให้ทุกคนได้สัมผัสดู เข้าใจง่าย และแม่ออมชอบด้วยครับ) สุดท้ายเป็นเพลง ‘Shattered Illustion’ ที่พอทำเสร็จจนจบแล้วฟูลฟิลมากครับ
อยากร่วมงานกับศิลปินไทยคนไหนเป็นพิเศษ?
โบ: สำหรับผมอยากลองทำงานกับพี่รัศมี Rasmee Isan Soul ไม่ก็วงรุ่นราวคราวเดียวกันอย่าง Doorplant ดูครับ
ออม: สำหรับผมคือวง SALAD เพราะชอบพาร์ทริทึ่ม และคิดว่าซาวด์น่าจะเบลนด์เข้าหากันได้ รู้สึกว่าเขาจะมีความเป็น UK สายบริทร็อก-บริทป๊อปดีครับ
แพลนในอนาคต อัลบั้มชุดถัดไป และข้อความที่อยากฝากถึงแฟนคลับ
ทุกคน: เมื่อไม่นานมานี้ พวกเราพึ่งนั่งคุยถึงอัลบั้มชุดถัดไปด้วยกันครับ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของการพยายามปรับภาพจำเดิม ๆ หรือเอาเพลงเก่าที่เคยทำออกไป ณ ตอนนั้น มาทบทวนใหม่ ส่วนหนึ่งพวกเราคิดว่าอยากลองทำอะไรที่ส่งให้ภาพวิชวลมันชัดขึ้น ให้มันมีโครงสร้าง ความเป็นหัวขบถ และคอนเซ็ปต์ที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งจะไม่เหมือนตอนทำอีพีกับอัลบั้มนี้ รวมถึงพาร์ทการทำงานที่จะต้องเวิร์คด้วยกันมากขึ้น อย่างการคุยกันเพื่อ develop ขึ้นไปเรื่อย ๆ แลกเปลี่ยนกันว่ากำลังอินอะไร อยากทำอะไรบ้าง
พวกเราไม่อยากเสียใจในภายหลังที่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำจริง ๆ อยากให้ทุกคนลองเปิดหัวใจฟังเพลงแนวทางใหม่ ๆ เพราะทุกคนอาจจะได้พบเจออะไรใหม่ ๆ ในชีวิตก็ได้ครับ ในทุก ๆ การทำเพลง พวกเราพยายามที่จะซื่อสัตย์กับมันให้ได้มากที่สุดแบบไม่หลอกตัวเอง ยังไงก็ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาฟัง หรือกระทั่งคนที่ชอบน้ำเต้าหู้ในตอนนั้น พวกเราก็ยังเชื่อว่าเขาก็ยังติดตามเราอยู่ อยากเห็นการเติบโตของคนนึง และยังรออัลบั้มแรกของพวกเรา พวกเราเองก็จะรอคอยให้เพลงมันทำงานใน ณ ที่ใดที่หนึ่ง

แบม นักเขียนน้องเล็กที่ชอบอ่านหนังสือและฟังเพลงในเวลาเดียวกัน ปัจจุบันกลับมาทำเพจ Listenist
