‘TWIMC’ จดหมายเปิดผนึกถึงใครคนนั้นจาก thaimilktea

by Montipa Virojpan
410 views
thaimilktea TWIMC YEEZA interview

หลังจากอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเพื่อน ๆ ร่วมก๊วน YEEZAA มาหลายปี ตอนนี้ก็ได้เวลาของ ยิ้ม—ประวิทย์ ฮันสเตน โปรดิวเซอร์หัวเรี่ยวหัวแรงที่ได้ฤกษ์ปล่อยผลงานของตัวเองภายใต้ชื่อ thaimilktea สักที ซึ่งก่อนหน้านี้ชื่อของเขาก็ไปอยู่ในสองเพลงจากอัลบั้มเต็มของ Daynim ดังนั้นแล้วเขาก็เลยชวนนักร้องนำอย่าง เพลง—วัศยา ตรรกไพจิตร มาร่วมโปรเจกต์ ‘TWIMC’ กับ EP 5 เพลงที่เป็นเหมือนจดหมายรักเปิดผนึกถึงอดีตรสหวานปนขมที่ทำให้พวกเขาได้กลายมาเป็นตัวเองในทุกวันนี้

เพลง และ ยิ้ม thaimilktea

ทำไมใช้ชื่อว่า thaimilktea

ยิ้ม: ชื่อนี้มานานมาก ๆ แล้วตั้งแต่อยู่วงเก่า เหมือนคุยกับเพื่อนสนิทแล้วโดนบิลด์ว่ามึงชอบเพลงหลายแบบ น่าจะทำงานเดี่ยวนะ แล้วก็มีคนประธานชื่อมาให้ว่าเป็นชื่อ thaimilktea ไหมล่ะ เพราะตอนนั้นก็เป็นช่วงเลิกกาแฟแล้วกินแต่ชาเย็นทุกวันเลย (หัวเราะ)

มาร่วมงานกันได้ยังไง

ยิ้ม: โดนเพลงบิลด์ตั้งแต่ตอนที่ทำอัลบั้มของ Daynim แล้วแหละว่าควรทำงานของตัวเองบ้างนะ แล้วก็ทำแบบ spontaneous เลย ไม่ต้อง OCD ไม่ต้องคิดเยอะ แล้วเราก็เหมือนโดนฝังข้อมูลนี้บ่อยมาก จนมันมีจังหวะแก๊ปนึง …ช่วงสงกรานต์รึเปล่าวะเพลง

เพลง: ใช่ เหมือนเพลงคุยกับพี่ยิ้มแหละว่าจะทำเมื่อไหร่ มีเวลาแค่ไหนที่จะพอทำซัก EP นึง 4-5 เพลง คิดว่ากี่วีคเสร็จ จำได้ว่าตอนนั้นพี่พูดว่า 3 วีค เราก็แบบ ‘เชี่ย… ไม่กดดันเลยยยย’ แต่แล้วก็ทำได้จริง (หัวเราะ)

ยิ้ม: เอาจริงไอเพลงมันบิลด์ยาวข้ามปีมาแล้วอะ แล้วพอมาเป็นช่วงสงกรานต์ ก็เป็นช่วงว่างที่ทุกคนในค่ายเบรกกันหมด นี่ก็อยู่คนเดียว ไฮเปอร์ หาอะไรทำ เลยคุยกับเพลง คุยไปคุยมา ด้วยคิวนู่นนั่นนี่จาก 3 วึคก็เหลือ 10 วัน แบบ ก็เอาเหอะ ถ้าไม่ทำตอนนี้ก็ไม่รู้จะทำตอนไหน จังหวะมาบรรจบพอดีด้วย ก็เลยเป็นที่มาของสิ่งนี้

ทั้งที่ก็ชอบหลายแนว ทำไมถึงเลือกทำเพลงฟังสบาย

ยิ้ม: ส่วนผสมมันมาจากการทำงานกับน้องเพลงด้วยแหละ ตอนนั้นทำเสร็จก็คุยกันอยู่ว่าถ้ากูไม่ได้ทำกับมึง กูคงไม่ได้ทำสไตล์นี้ล่ะมั้ง… จริง ๆ มันมาจากคอนเซ็ปต์อัลบั้มก่อนเลยแหละ เรากับเพลงยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำแนวไหน เพราะต่างคนต่างก็ชอบหลายสไตล์มาก แล้วก็ไม่อยากตัดกรอบ คุยไปคุยมาเพลงบอก เอ้ย พี่ มีเพลงนึงที่เพลงเขียนไว้นะ แล้วช่วงที่เริ่มทำก่อน 10 วันนี้ เราจะทวนทุกอย่างก่อน เอา text นั้นมาอ่าน พอดูแล้วรู้สึกว่า เออว่ะ หรือว่าเราทำคอนเซ็ปต์อัลบั้มนี้จากสิ่งที่เราเจอและเรารู้สึกในช่วงก่อนหน้านี้ทั้งหมดไหม ก่อนที่จะไปคิดว่าจะทำแนวเพลงอะไร แล้วไหน ๆ เพลงเขียนในมุมมองของแมนดี้แล้ว เพลงอื่น ๆ ใน EP เรา เราลองเขียนเรื่องที่เกิดขึ้นกับเราทั้งสองคน ในแง่ว่าเป็นการที่เราพยายามเข้าใจเขา ในมุมมองที่เขามองเรา แล้วก็คิดว่าจะพูดยังไงให้ bias น้อยที่สุดและจริงใจ ตรงไปตรงมา ให้อีกฝ่ายเขาไม่ได้รู้สึกว่าเราอคติเขาขนาดนั้น ว่าเรา appreciate กับทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หวยเลยไปตกที่แนวนี้ ตั้งพื้นฐานมาจากแนวโฟล์กเหล่านี้ละกัน

เพลง และ ยิ้ม thaimilktea

ที่มาของชื่อ ‘TWIMC’

เพลง: เหมือนวันนึงพี่ยิ้มโทรมาคุยกับเพลงเรื่องชื่อ EP ว่าจะเป็นอะไรดีนะ แล้วพี่ยิ้มก็ไปรีเสิร์ชเจอตัวย่อนี้มา แล้วความตลกคือเพลงถามว่า มาจากอะไร ‘The Way It May Cause’ หรอ (หัวเราะ) แล้วพี่ก็บอกว่า ไม่ใช่

ยิ้ม: เราก็รู้สึกว่า มันเป็น reflection ดีนะ คือมันจะเป็น ‘To Whom It May Concern’ หรือ ‘The Way It May Cause’ ก็ได้ ตรงกับเนื้อหาที่เราจะเขียนทั้งหมด ทั้ง 5 เพลง

เพลง: เหมือนพอเราเขียนงานในมุมมองของคนอื่น มันก็คือการตีความของเราอยู่ดี แล้วเพลงก็รู้สึกว่า ‘เชี่ยเอ๊ย ถ้างานออกไปมันจะเกิดผลอะไรบ้างวะ’ หมายถึงว่าคนฟังจะรู้สึกแย่ไหม เพลงคิดอย่างนี้เยอะก็เลยไปตีความตัวย่อนั้นเป็นแบบนั้น (ยิ้ม: เหมือนเขียนจดหมาย แต่เป็นจดหมายที่ไม่ private อะ) ไม่ private และก็เป็นในแง่มุมของคนอื่นที่มองเราอีก ก็คือซับซ้อนไปอีก

YEEZAA จริง ๆ ก็มีความเป็นสนามเด็กเล่นที่ชวนเพื่อน ๆ มาสนุก มาลองทำอะไรใหม่ ๆ กัน อยากรู้ว่าใน EP นี้เป็นแบบนั้นด้วยไหม แล้วทำไมถึงเลือกคนเหล่านี้มาร่วมงาน

ยิ้ม: อาจจะเริ่มมาจากจุดเริ่มต้นของ YEEZAA ที่เราเป็นแก๊งเพื่อน รุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทกันมากแล้วรวมตัวกันทำอะไรอย่างนึง แล้วพอคนใดคนนึงอยากจะทำโปรเจกต์อันนึงขึ้นมา ทุกคนก็จะเฮโลมาอะไรก็ไม่รู้อะ แบบ งเฮ้ย พี่เดี๋ยวผมตีให้’ ‘เดี๋ยวผมเล่นอันนี้’ เอาคนนู้นคนนี้มา เป็นลักษณะอย่างนั้น ที่เราเลือกนัท neptember กับ เฟิร์ส Dogwhine มา เพราะช่วง 10 วันนั้นมันเริ่ม develop เดโม่สลับเพลงไปเรื่อย ๆ ต่อวัน แล้วเรารู้สึกว่าแต่ละเพลงเริ่มเห็นภาพที่จะมารวม EP กันมากขึ้น

Track by Track

‘A Beautiful Human of Mine’

ยิ้ม: คือเดโม่เพลงนี้ ณ ตอนนั้นมันเริ่ม develop ไปทาง chamber pop อย่างชัดเจนแล้วแหละ แล้วเพลง Daynim เนี่ยก็มองว่าเพลงที่เขียนในมุมมองที่แมนดี้มองพี่ แมนดี้คือแมว เป็นพระของบ้าน และเป็นเซเล็บของทุกคน จริง ๆ มีโมเมนต์นึงที่เราแชร์ให้เพลงฟังแหละว่า ช่วงดาวน์ ๆ เจอเรื่องแย่ ๆ แล้วเราอยู่คนเดียว แมวมันจะมีวิธีเข้าหาอีกแบบนึง ปกติแล้วคนเลี้ยงหมาจะรู้กัน เหมือนหมาแสดงออกความรู้สึกอย่างชัดเจนว่า ฉันอยากเล่นกับเธอ ฉันเป็นห่วงเธอ ฉันรักเธอ ฉันงอนเธอ แต่ว่าแมวมีวิธีแสดงออกแบบแสดงออกไม่เป็น มันจะมีวิธีอ้อนของมัน เช่นมานั่งมองเรา แล้วอยู่ดี ๆ ก็ร้องขึ้นมา เออ รู้นะว่าแฮปปี้อยู่หรือเศร้าอยู่ ชั้นให้โอกาสเธอเล่นกับชั้นก็ได้ พอมันเป็นเพลงที่เล่าในมุมแมวที่แสดงออกไม่เป็น แล้วเราก็คิดว่าเสียงกูและมึงอาจจะไม่ได้รู้สึกน่ารักแบบแมว เราก็เลย เฮ้ย มีคนนึงที่เสียงเขาน่ารักมาก ก็นึกถึง neptember เขาก็อินสาย chamber pop สายเพลงเก่า พวก The Carpenters อะไรอย่างเงี้ย ก็เอาเขามาเลยไหม

เรารู้จักน้องนัทเป็นการส่วนตัวและเป็นแฟนเพลงของ neptember อยู่แล้ว เราเลยโทรชวนนัท นัทถามว่ามีตัวอย่างให้ฟังไหม เราก็บอกมี แต่เป็นเดโม่หยาบ ๆ เลยนะ ส่งให้ฟังละเขาชอบ แล้วถามว่ามีเนื้อเพลงมั้ย อ๋อมี แต่เนื้อเพลงคือไม่ลงท่อนอะไรเลยนะ (หัวเราะ) เราก็มีแค่กระดาษแผ่นนั้นที่เพลงเขียนมา มันไม่มีท่อนด้วยซ้ำ เป็นเรียงความ ถามว่าพรุ่งนี้มาอัดเลยไหม แล้วเรา นัท กับเพลง จะมาจับทุกอย่างลงท่อนแล้วคิดเมโลดี้พร้อมกัน น้องนัทก็โอเค

ทุกอย่างมันด่วนมาก กลายเป็นว่าตอนอัดกันอยู่ดี ๆ ท่อนบริดจ์เงี้ยก็คิดว่าเราจะเขียนเนื้อไปอีกทางนึงไหม ก็ได้ไอเดียจากนัทมา เราก็ตั้งใจทำให้มันเป็นแบบที่เพลงตั้งโจทย์แหละว่า พี่ห้าม OCD ห้ามคิดเยอะ พอพี่ตั้งใจทำแล้วทำเลย ไม่ต้องย้ำคิดย้ำทำ ทำสเกตช์ไว้ก่อนเยอะ ก็เลยกลายเป็นว่าน้องนัทมาแจมเมโลดี้ด้วยกัน คิดหน้างานใน session นั้น ใครอยากคอรัสตรงไหน คอรัสกับใคร อันนี้ก็อัดพร้อมกันไปเลย มีท่อนนึงที่ว่างอยู่ไม่มีเนื้อใส่ เราก็ให้นัทช่วยเขียนเนื้อเพลงร่วมกันเลย 3 คน ไวบ์ตอนนั้นเบิกบานมาก อาจจะเพราะเคมีน้องนัทด้วย สนุกเหมือนกันนะ มันลงตัว

‘Clueless’

เพลง: ‘Clueless’ จริง ๆ ก็แต่งไวมาก ความจริงแทบจะแต่งวันเดียวเสร็จ เป็นเพลงท้าย ๆ ที่เราทำ เนื้อเพลงมารองสุดท้ายเลยเพราะเพลงเพิ่งไปเที่ยวกับเพื่อนมา

เพลงนี้แต่งให้เพื่อนคนนึงชื่อทับทิม เป็นเจ้าของร้าน Gaginang ที่เราจัดงาน listening party แหละ เพลงเพิ่งมาสนิทกับทับทิมได้ประมาณเกือบปีเพราะเขาเป็นเพื่อนของเพื่อนอีกทีนึง พอได้คุย เริ่มสนิทขึ้น ได้แชร์มุมมองในการเล่นดนตรีและวงการดนตรี ทับทิมก็เป็นคนซัพพอร์ตวงไทยที่ดีอีกคนนึง แล้วก็เป็น supporter ในแง่ของเพื่อนที่ดีอีกคนนึง นอกจากเรื่องานก็แชร์กันเรื่องจิตใจ ความสัมพันธ์ กลายมาเป็นว่าคุยกันค่อนข้างบ่อย สนิทกันได้ยังไงก็ไม่รู้ ทีนี้มันก็จะมีกิจกรรมหลาย ๆ อย่างที่เพลงเอ็นจอยจะใช้ร่วมกับทับทิม เช่นการไปดูคอนเสิร์ต หรืออย่างไปดู Pelupo ทับทิมก็ชวนเที่ยวต่อ เราก็ไปเพราะต่างฝ่ายเป็นคนคล้าย ๆ กัน ทับทิมชอบทำงาน เพลงก็ชอบทำงาน แต่เป็นงานคนละแบบกัน แล้วก็จะชอบพูดต่อกันว่า เนี่ย พักบ้างนะ นางสาวทำงาน นักทำงาน แต่ต่างฝ่ายก็รู้ว่าบ้างานกันทั้งคู่ไม่มีใครได้พัก แล้วพอถึงเวลาได้พักจริง ๆ ก็จะพักไปเลย แล้วเราจะสลับกันคอยให้กำลังใจเวลาเพลงดาวน์ หรือมีเรื่องอะไรที่ไม่โอเคกับตัวเองหรือรู้สึกว่าตัวเองห่วย เราก็จะชอบพูดขึ้นมาเล่น ๆ ว่า เออ เราห่วยอะ จัดการตัวเองไม่ได้ แล้วทับทิมจะคอยเบรกแบบ ‘หยุดนะ เธอมันตัวแม่ สุดยอดที่สุดแล้ว’ แบบเพื่อนหญิงพลังหญิง แล้วตลกว่าเวลาทับทิมเป็นอย่างนี้ เพลงก็จะพูดแบบเดียวกันทุกครั้ง เหมือนเรามีกันอยู่แค่นี้ก็ให้กำลังใจกันไปมาเรื่อย ๆ คำว่า ‘Clueless’ จริง ๆ ยกขึ้นมาในเวย์ที่ว่า ‘เรามันช่างไม่รู้อะไรซะเลย’ อีกฝ่ายก็จะคอยบอกว่า ‘หยุดนะ สิ่งที่เธอทำคือมันดีแล้ว’ ก็กลายมาเป็นเพลงนี้

ก่อนนี้เหมือนไปค้นเดโม่ตัวเอง จะมีช่วงนึงที่เพลงเล่นเปียโนเป็นลูปไว้ แล้วคิดอยู่ว่าถ้าอยากให้เป็นเพลงที่เล่าเรื่องจริง ๆ ถ้าให้มันเป็นลูปไปเรื่อย ๆ ได้ไหม ก็เลยส่งลูปเปียโนที่กดไม่ต้องเยอะเล่นไปเรื่อย ๆ ลองร้องเอาเนื้อเพลงที่แต่งคร่าว ๆ เข้าไปเป็นเมโลดี้นิดหน่อยให้พี่ยิ้มฟัง พี่ยิ้มบอกเอาเลย ก็เลยแต่งมาจนจบ มีเปลี่ยนนิดเดียวช่วงเปลี่ยนท่อน พี่ยิ้มอยากให้มันน้อยแต่มากเหมือนเพลง ‘Carnival Town’ ของ Norah Jones แต่มันก็ไม่ได้เหมือนกันหรอก

ยิ้ม: เพราะอันนี้เราว่ามันน่าจะเอามาจากส่วนเนื้อเพลงด้วยแหละ ไม่ว่าจะเราหรือเพลงถ้าเป็นคนเริ่มเขียน ก็อยากให้มันมีสิ่งที่มันเชื่อมโยงกันทั้งเนื้อหาและสไตล์ดนตรี ถ้าเจ้าน้องเพลงมันมาเป็นเพลงอีกแบบเลยเราอาจจะไม่ได้อินเท่าอันนี้ จุดเริ่มต้นความมินิมัลก็มาจากนาง

เพลง: แล้วสาว Swifties อย่างเราก็เลยอินเลย (หัวเราะ) เพลงนึกถึง Taylor Swift ชุด ‘Folklore’, ‘Evermore’ ตอนทำเพลงนี้เทย์เลอร์ก็เป็นอีกคนที่ทำให้เราลองคิดในเวย์นี้บ้าง เพราะเพลงก็ไม่ใช่คนที่เล่นเปียโนน้อยได้เก่ง

IHYFN’

ยิ้ม: เพลงนี้เริ่มมาเป็นเดโม่แรก ๆ ช่วง 10 วันจะมีเพลง ‘A Beautiful Human of Mine’ มาก่อน แล้วอันนี้เป็นอันที่สองช่วงที่เพลงไม่ค่อยว่าง แล้วเราไม่อยากน้อยหน้าน้องเพราะน้องมีเนื้อเพลงแรกมาแล้ว งั้นเพลงนี้กูจะไม่ให้มันช่วยสักคำ เขียนจากตัวเอง 100% โดยที่ไม่ให้นางตรวจด้วย

ปกติเราเป็นคนที่มีเรื่องอะไรแล้วไม่ค่อยเล่าให้ใครฟังเลย เป็นคนเล่าความรู้สึกตัวเองไม่เป็น คือพอเล่าแล้วจะตีความตัวเองไปอีกแบบ กับด้วยกลัวว่าคนที่ฟังเราจะตีความเราเปลี่ยนไปเพราะเราชอบเจอปัญหาเรื่องนี้บ่อย เรากลัว ก็เลยหยิบเรื่องที่คิดว่าจะไม่กล้าเล่าที่สุดมาเล่า มันก็เป็นเรื่องความสัมพันธ์ที่ผ่านมานานมาแล้ว แต่เราก็ยึดคอนเซ็ปต์ EP เราก็เล่าในมุมมองของเขา เราอยากจะเข้าใจสิ่งที่เขาทำกับเรา ที่ทำให้เราเบรกดาวน์มาก ๆ มันเป็นเพราะอะไรวะ ก็คิดอยู่นานมาก มันก็ได้ประโยคแรกมาว่า ‘กูพยายามจะเขียนในมุมมองของเขาแล้วแหละ แต่กูไม่เข้าใจเหตุผลของมึงเลยจริง ๆ’ แล้วมันก็กลายเป็นว่า พอได้ประโยคแรกนั้นมา จะเล่าอะไรต่อดี เราพบว่าสิ่งที่มันค้างอยู่ทำให้เรามีแผลใหญ่มาก และอีกทางนึงคือมันทำให้เราเหมือนมีความเป็นคนมากขึ้น เราได้ฝึกในการที่จะแสดงออกความเศร้า appreciate คนรอบข้างมากขึ้น แสดงออกกับคนรอบตัวได้ดีขึ้น งั้นเราคิดว่าอยากจะพูดกับเขาไปตรง ๆ ว่า ถ้าสมมติเรื่องราวทั้งหมดที่มันเกิดขึ้น ถ้าเราเห็นสัญญาณแม้แต่นิดเดียว เห็นแสงจากมู่ลี่สักนิด เราก็คงจะแก้มันแต่แรก เพราะว่าสุดท้ายแล้วก่อนหน้านี้ ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น เราว่าเราอยู่ด้วยกันในความรักที่ดี เราโตด้วยกันมาได้หลาย ๆ ปี เอาจริงมันเป็นความสัมพันธ์ที่ดีมากอันนึง เลยเขียนออกมาในมุมมองนี้ เป็นจดหมายรักส่งไปแบบเขิน ๆ และกึ่ง ๆ จะบอกว่า ไอ้เหี้ย กูเกลียดมึงนะ แต่เอาจริง ๆ แล้วอะ เรื่องนี้กูให้อภัยมึงไปตั้งแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะว่าบางมุมก็เข้าใจมันมากเหมือนกัน แล้วเราก็รู้สึกว่ามันก็รักเราเหมือนกัน

ไอเดียก็คล้าย ๆ กับ ‘Clueless’ แหละ อยากให้เป็นโฟล์กที่มันนุ่มนวล โฟล์กเมืองหนาว เราก็โตมากับ Glen Hansard เนาะ อยากมีเพลงมู้ดแบบ Bon Iver ยุคแรก โฟล์กแบบมีจูนนิงต่ำ ๆ เล่นเมโลดี้เรียบง่าย โน้ตไม่ต้องสูงมาก เหมือน spoken words พูดกับเขาอย่างจริงใจ แสดงความนับถือเขาด้วย

‘Minute Waltz’

ยิ้ม: ข้ามจากนัท ก็เป็น เฟิร์ส Dogwhine ในเพลง ‘Minute Waltz’ ตอนเราทำสเกตช์เพลง เราก็รู้สึกเหมือนทำเพลงจบปริญญา เราอุทิศให้ศิลปินที่เราชอบประมาณนึง แล้วเพลงนี้เราก็อยากได้มู้ดเหมือน Herbie Hancock มาอยู่ในนี้ แล้วเราก็รู้สึกว่ามันมีอัลบั้มนึงของเขาที่เขาเอาเพลงของ Joni Mitchell มาคัฟเวอร์ทั้งอัลบั้ม แล้วมันมีเพลงนึงชื่อ ‘River’ มันก็เป็นโฟล์กแจ๊สแบบนี้แหละ แล้วมันมีเสียงนึงที่เหมือนฝังเราตั้งแต่เด็ก ๆ เลย มันก็คือเสียงแซ็กโซโฟน น่าจะเป็นเทเนอร์มั้งถ้าจำไม่ผิด เราก็เลยคุยกับแบงค์ Dogwhine ว่าอยากได้เสียงแซ็กโซโฟนแบบนี้ มีใครบ้างวะ แบงค์ก็บอก ‘พี่ มือแซ็กผมไง’ คือเราไม่ได้รู้จักเฟิร์สเป็นการส่วนตัว พอคุยกับแบงค์เสร็จ วันรุ่งขึ้นเราได้ไปดู Dogwhine พอดี เราก็เลยได้ดูเฟิร์ส แล้วให้แบงค์คุยกับเฟิร์ส วันถัดมาเฟิร์สก็มาอัดแซ็กให้เลย ทุกอย่างด่วนอีกแล้ว ก็คุยกับเฟิร์สว่าอยากได้เขาเพราะเขามีวิธีการเล่นเฉพาะตัว ให้ดีไซน์ได้เลยเพราะเขามีวิธีการบรรเลงโน้ตแบบที่กูไปดูมึงเล่นสด เพราะอยากได้เสียงแบบนั้นมาอยู่ในเพลงของกูเว่ยเพื่อน เฟิร์สก็เลยอัดหลาย ๆ เทค แล้วเรามาเลือกอันที่ชอบกัน

เพลง: ด้วยความที่มันเป็นมู้ดคันทรี ๆ หน่อย เป็นกีตาร์โปร่งให้ความรู้สึกเหมือนการไปเที่ยว ไปชานเมือง เพลงก็อยากหยิบความรู้สึกตัวเองของความสัมพันธ์อันนึงที่เคยเจอมา เป็นความสัมพันธ์ที่สำหรับเพลงมันทั้งดีและแย่ มันจบที่ว่า โอเคความสัมพันธ์นี้มันไม่ได้มาถึงทุกวันนี้แหละ แต่มันมีสิ่งที่สวยงามและมี aesthetic บางอย่างที่เราจำมันได้ เพราะเพลงเป็นคนที่โคตรขี้ลืมรายละเอียด หรือเหตุการณ์สำคัญ สิ่งที่จำได้มันคือสี ไวบ์ ต่อความสัมพันธ์นี้ ไวบ์ของเพลงคือชอบความที่สิ่งที่เราเสพมันคือความยุโรป การเอ็นจอยกับการกินไวน์ นั่งฟังเพลง Bon Iver …ดูน่าขนลุกนิดนึงนะ (หัวเราะ) แต่มันก็หลอมรวมให้เป็นอะไรบางอย่างในตัวเพลง ณ ขนะนั้น (ยิ้ม: เหมือนเที่ยวอิตาลีตลอดเวลา อยู่ซานโตรินี) เออ ๆ เป็นฟีลนั้น แล้วที่มันชื่อ ‘Minute Waltz’ เพลงอยากเล่าในแง่มุมที่ว่า ตอนที่เราอยู่กับเขาในความสัมพันธ์นี้ มันทำให้ตัวเองอยากจะทำอะไรที่มู้ดมันฟิตอินกับไวบ์เขา

เพลงเคยเรียนเปียโนคลาสสิก แล้วมีช่วงนึงกลับไปบ้าน รู้สึกว่าไม่ได้เล่นเปียโนนานมากเลย โอเค กลับไปเล่นเพลงที่เคยเล่นได้ มันก็มีเพลงของโชแปงเป็น Waltz in Key… อะไรจำไม่ได้ แต่ฉายามันคือ Minute Waltz ก็เลยเล่นเพลงนี้ ทุกอย่างคือความทรงจำที่ดีมาก ๆ ที่เราเล่นแล้วมีเขาอยู่ตรงนั้น เขาก็ appreciate เรามาก ๆ ไม่นึกว่าวันนึงจะได้ฟังเพลงคลาสสิกดี ๆ เพลงก็แบบ ‘หูย ขนาดนั้นเลยหรอ’ เราก็จำสิ่งที่เขาบอกเรา สิ่งที่เขาชื่นชมเราได้ไง แล้วพอถึงจุด ๆ นึงมันก็ทำให้ต้องแยกกันก็จริง แต่ลึก ๆ แล้วเพลงก็ชอบความสัมพันธ์นี้ เพลงไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อนเลยในชีวิตของเพลง เพลงรู้สึกว่าความรู้สึกในเพลงนี้เป็นความรู้สึกดี ๆ มากกว่า เลยกลายเป็น ‘Minute Waltz’... ขนลุกเลย Swifties สุด ๆ (หัวเราะ)

‘It’s The Season Somehow’

ยิ้ม: YEEZAA รวมตัวกันในเพลงสุดท้าย จากตอนแรกเราทำเป็นเดโม่กีตาร์โปร่ง อยากได้มู้ดแบบสาวชาวร็อกห่วย ๆ เล่นหลังบ้านกับเพื่อน ๆ ไฮสคูลที่สูบบุหรี่ กินเหล้า ตัวเหม็น ๆ อยู่ในนั้น ชิล ๆ ดิบ ๆ ตามสไตล์วงหญิงล้วน เราเห็นภาพกันแบบนั้น ก็เลยอัดเป็นกีตาร์โปร่งพาวเวอร์คอร์ดกับเพลง พอฟังสเกตช์แรกในวันนั้นเลยมั้งที่อัดร้องกัน แล้วเรารู้สึกว่า เฮ่ย แล้วถ้าอยากให้มันเห็นภาพในห้องซ้อมนั้นมากขึ้นอะ เราก็ชวนคนที่อยู่ข้างล่างตึกเราที่ทำงานอื่นกันอยู่ คือตึกเรามีสามชั้น ข้างล่างจะเป็นออฟฟิศ ข้างบนเป็นห้องอัด ชวนมันขึ้นมาอัดดนตรีหน่อย อยากได้กลอง กีตาร์ เบสด้วย ก็เลยขึ้นไปแจม YEEZAA กันทั้งหมดตรงนั้น ใครอยากเล่นอะไรก็เล่น ตัวเท็ดดี้ Panician เขาก็ถนัดเสียงแตกอยู่แล้ว ให้เขาอัดฟัซเต็มที่ จากภาพเพลงนั้นที่ตีกีตาร์โปร่งแบบชาวร็อกชิล ๆ กลายเป็นเพลงที่ distortion หนักมาก ๆ ในนั้น

เพลง: เพิ่งมาคิดตามที่พี่ยิ้มบอกว่า มันเป็นสิ่งที่เราทำให้มัน co-related กันได้เหมือนกัน มันเป็นนิสัยอะไรบางอย่างที่มีร่วมกันของเรา ที่เราจะไม่ชอบให้คน overprotect เรา ประโยคที่ว่า ‘It’s The Season Somehow’ เพลงคิดขึ้นมาในความเชื่อหรือความรู้สึกที่ว่า ทุกครั้งที่เวลาเราดาวน์ หรือเราจะต้องวิ่งหนีอะไรสักอย่าง หรือคนรอบข้างที่อยู่กับเรา ณ ช่วงโมเมนต์นั้น เขาก็จะพยายามปลอบหรือพูดกับเราว่า เฮ้ย มันก็แค่ช่วงนึง มันไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป จริง ๆ มันคือมีทั้งดีและไม่ดีในประโยคนั้น ช่วงเวลาที่เพลงรู้สึกแย่มาก ๆ แล้วรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจอะ เราจะรู้สึกว่าเหมือนเขาพยายามปลอบใจเราว่า ‘ไม่เป็นไรนะ ยังมีทุกคนอยู่ตรงนี้’ แต่เราไม่อยากมีเขาอยู่ด้วย ณ ตอนนั้นอะ แต่ในอีกแง่มุมนึงคือเรามองย้อนกลับไปตอนที่เราคิดได้แล้ว ว่าสิ่งที่เขาทำได้มากที่สุดคือเขาก็พูดกับเราได้เท่านี้ ประโยคนี้มันกลายเป็น positive มาก ๆ เหมือนกัน เพราะเราพยายามจะวิ่งหนีอะไรบางอย่างตลอด เราพยายามจะกันคนอื่นจากตัวเอง ปิดกั้นในบางมุมตลอดเวลา ท่อนฮุกมันเลยพูดว่า ‘I don’t want you to run anymore.’ ซึ่งความรู้สึกมันก็ ไม่ใช่ว่าเราเป็นมนุษย์ที่ไม่มีคนอื่นใส่ใจเลย กลับกันคือทุกคนใส่ใจเรามาก ๆ

เพลง และ ยิ้ม thaimilktea

คนที่ไม่ได้รู้จักเพลงดีจะรู้สึกว่าเป็นคนห้าว ๆ แต่พอมาเป็นเพลงแล้วจะมีความ feminine มาก

เพลง: แต่ละช่วงชีวิตจะแล้วแต่เลย มีสวิตช์โหมดให้ตัวเองค่อนข้างเยอะ ฟังสวยก็ได้ หนักก็ได้ ได้หมด (หัวเราะ)

ได้อะไรจากการทำค่ายเอง ต่างกับตอนเป็นศิลปินมีค่ายยังไงบ้าง

ยิ้ม: มันหนังคนละม้วนเลย ทั้งทัศนคติ การตัดสินใจ คนละเรื่องที่รับรู้ด้วย ตอนนั้นเราเป็นศิลปิน โอเคพาร์ตโปรดักชันเราก็ได้ช่วย เราได้โอกาสทำบ้าง จะได้แตะ ฝั่งอาร์ต ทำบิล ไปพีอาร์ พอรู้เรื่องบ้าง คุยนู่นคุยนี่ แม้กระทั่งการพรีเซนต์โปรเจตก์กับผู้ใหญ่ แต่ว่าพอมาเป็นคนทำจริง ๆ มันคนละแบบกันเลย

พอต้องมาทำเองแล้วยากไหม

ยิ้ม: ส่วนตัวเราไม่เลย เพราะว่าเรามีทีมที่ดีด้วยแหละ รู้จักกันมาก่อน และเป็นแก๊งที่ไม่ได้รู้เรื่องมาก แต่ก็เนิร์ดมากพอที่จะศึกษาหาข้อมูลที่จะทำมัน แล้วก็มีพิมพ์ไลน์ปรึกษาคนอื่นบ้างว่าอันนี้ทำยังไง เราก็โชคดีว่าคนรอบตัวให้ข้อมูลช่วยสอนเรา

งาน listening party ที่ Gaginamg ที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง

ยิ้ม: นี่ก็คุยกับเพลงอยู่ว่า ‘เชี่ย เราจะไม่ร้องไห้นะ’ เพราะทุกคนเหมือนมาเชียร์ มาให้กำลังใจเรา สุดท้าย น้องเพลงหนึ่งน้ำตา แต่ทั้งหมดทั้งมวลงานนี้โดนแย่งซีนโดยคนคนเดียว คืออีเปอ! (เปอติ๊ด ญาดา) มันแย่งซีนยังไงรู้ปะ คือพอเราพูดจบ มันเดินมาตรงกลางเลย แล้วร้องไห้เลย (หัวเราะ)

เพลง: กลายเป็นว่าเราสองคนคือปลอบใจพี่เปอ ‘ไม่เป็นไรน้าาาา’

ยิ้ม: แต่โดยรวมคือไวบ์ดีมากเลย อบอุ่นมากเลย เหมือนเขามาให้กำลังใจ ถึงเปอจะแย่งซีนร้องไห้ แต่สิ่งที่มันพูดดีกับเรามากเลยนะ เหมือนแบบ ‘เห็นมึงมาตั้งแต่ day 1 แล้วฮือ ๆๆๆ กูยินดีกับมึงมากเลยที่มึงกล้าทำงานตัวเองแล้ว’ (ล้อเลียนเสียง)

ทำไมตอนแรกไม่กล้าทำเพลงตัวเอง

ยิ้ม: เอาจริงนะ คือเราแทบไม่ทำเพลงไปแล้วก่อนหน้านี้ ตั้งแต่เรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างที่เรารู้ ๆ กัน แล้วก็ป่วยเป็นมะเร็งด้วย ยายก็เป็นมะเร็ง หลาย ๆ อย่างมันมาพร้อมกัน ทั้งความ OCD ความซึมเศร้าบอยอยู่แล้ว พอรวมกันมันหงุ่ยมาก กลายเป็น anxiety กลายเป็นคนไร้ซึ่งความมั่นใจในตัวเองไปเลย แล้วก็ดูถูกงานตัวเองและสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ตลอดเวลา มีแต่พลังงานลบเลย มันก็เลยกลายเป็นว่า Daynim เปอติ๊ด แล้วก็ Bellythebear เขาจะมาอยู่ด้วยกันกับเราบ่อย ๆ มากินเหล้ากันที่ห้องทั้งที่ไม่ใช่วันทำงาน มาเชียร์อัปกันตลอดเวลา

ตอนแรกเราไม่ทำเพราะเหมือนมันเป็นปมไปแล้วแหละ แต่พอมันต้องทำเพราะมันยังมีงานค้างอยู่ แล้วพอเราเต็มที่มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนี่ ก็ค่อย ๆ กระเถิบ โชคดีด้วยแหละเรามีคนรอบตัวที่ดีมาก ก็ทำให้เราฝึกประทับใจกับคนรอบข้างมากขึ้น แม้กระทั่งเพลงเหมือนเป็นจิตแพทย์ประจำตัวเลย ปรึกษากันบ่อยมาก ก็ทำให้กล้ารับงานโปรดิวซ์มากขึ้น กล้าเริ่มทำค่าย กล้าเริ่มทำเพลงตัวเอง แล้วก็คิดว่าน่าจะกล้าไปเล่นสดแล้วแหละ มันก็เห็นมา 3-4 ปีแล้วเนาะ มันก็น่าจะรู้สึกภูมิใจในตัวเรา

ตอนนี้อาการเป็นยังไงบ้าง

ยิ้ม: สบายมาก เอาจริง ผ่ามาสามรอบ สามครั้ง คนละเหตุผล ครั้งแรกเพราะอะไรไม่รู้ หมอบอกสาเหตุมันกว้าง ลักษณะก้อนเนื้อมันไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเกิดจากอะไร เราเป็นที่กระเพาะ ลำไส้ สองที่ เขาบอกว่าแทบจะเป็นเรื่องปกติด้วยซ้ำ คนมีสิทธิ์จะเป็นตรงนี้ได้ง่ายมาก ๆ อยู่แล้ว แต่รอบที่สองเหมือนเป็นเพราะวัคซีนเพราะเหมือนหายจากรอบแรกแล้วก็ไปฉีด ‘เฮ้ยวัคซีนมาไทยแล้ว ก็โมเดอร์นาดิวะ’ พอไปฉีดวัคซีนปุ๊บ ข้างในมันเหมือนรู้ว่ามีอะไรผิดปกติตรงที่เดิม ก็เลยไปหาหมอ พอตรวจเจออีกรอบก็ผ่าอีกรอบ แต่ครั้งนี้รอบที่สาม สรุปเราผ่าสามรอบมั้ง ช่วงก่อนหน้านี้ที่ฝุ่นมันหนักมาก ๆ เราเป็นเพราะฝุ่น PM2.5 แบบ เชี่ยอะไรวะ

แต่พอมันผ่านรอบแรกมาแล้ว เจอจุดที่เรากลัวที่สุดมาแล้ว กับเจอจุดที่มันงี่เง่ามาก ๆ เราเลยรู้สึกว่ามันก็แค่เราไปเซเว่นอะ มันไม่มีอะไรผิดแปลกมาก เรารู้สึกว่ามันค่อนข้างจะง่ายมากถ้ายิ้มป่วย ยิ้มไปหาหมอ แล้วหมอรักษาได้ รักษาดี โอเค กลับมารักษาตัวต่อ แล้วก็อย่าไปหงุ่ยกับอาการมาก มันก็จะกลับไปที่เพลงที่ 5 แหละ พอเราเห็นว่าคนรอบตัว overprotect มาก เราเข้าใจนะ รักเขามากด้วย appreciate มากด้วย แล้วบางมุมเราเป็นแบบผู้ป่วยติดเตียง เราก็อยากคึกบ้าง ไม่อยากหดหู่หรือห้ามตัวเองไปตลอด แล้วเรารู้สึกว่ามันไม่มีอะไรซับซ้อนด้วยแหละ มันก็แค่ป่วย ก็รักษา รักษาหายปุ๊บ ก็ดูแลตัวเองให้ดี ดูแลความสัมพันธ์ให้ดี โชคดีที่คนรอบตัวดีมาก ๆ ไม่งั้นผ่านไม่ได้

ฝากผลงาน

เพลง: ฝากติดตาม EP นี้ด้วยนะคะ ออกวันที่ 25 นี้แล้ว มี 5 เพลง โคตรจะภูมิใจ อยากปรบมือให้ตัวเองและพี่ยิ้มดัง ๆ จริง ๆ เฝ้ารอการเล่นสดของพวกเราด้วย

ยิ้ม: งานแรกมีดีลแล้ว ตื่นเต้นมาก มันเป็นงานใหญ่เฉยเลย ไวมาก งงมาก แต่เดี๋ยวว่ากัน งานนี้เราตั้งใจกันทำมาก หวังว่าจะประกอบกิจกรรมระหว่างวันของคุณได้ ไม่ว่าจะเป็นการชงกาแฟ อาบน้ำ หรือนั่งเบื่อ ไถเน็ตฟลิกซ์ไปเรื่อย ๆ แล้วไม่รู้จะดูอะไรก็เปิด EP นี้ฟังระหว่างนั้นก็ได้

รับฟัง TWIMC จาก thaimilktea ได้แล้ว ที่นี่ ฝากแปะลิงก์จ้า

ปก EP ‘TWIMC’

Related Articles

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy